จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
เจอเพื่อนแล้วมีความสุข
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน ๒ คนนะครับ
คนหนึ่งนั้นไม่ได้พบและติดต่อกันมาประมาณเกือบยี่สิบปีแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้พบและติดต่อกันมาประมาณสิบหกปีเห็นจะได้
โดยที่ได้มีโอกาสพบกันคราวนี้ เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งกำลังกลุ้มใจมากในช่วงนี้
เขาได้นึกถึงผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งขึ้นมา
ก็เลยไปค้นหาเบอร์โทรศัพท์เก่า ๆ และก็พยายามทางติดต่อผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งนี้
แล้วก็ติดต่อนัดผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งมาทานอาหารเย็นด้วยกันในวันดังกล่าว
ในตอนแรก ผมเองก็ไม่ทราบว่าเพื่อนกำลังมีปัญหาชีวิตและกลุ้มใจ
ผมก็คิดแต่เพียงว่าเพื่อนเก่าสมัยเรียนนัดมา จึงรับนัดว่าจะไปพบกัน
ส่วนหนึ่งก็ตั้งใจว่าจะนำหนังสือธรรมะและซีดีธรรมะไปให้เพื่อนทั้ง ๒ คน
แล้วก็จะไปคุยเรื่องธรรมะให้ฟังด้วย เผื่อว่าเพื่อนทั้ง ๒ คนจะสนใจ
เพื่อนทั้ง ๒ คนนั้นได้เดินทางไปพบกันยังร้านที่ผมนัดก่อน
โดยผมจะต้องตามไปทีหลังเพราะผมเลิกงานช้ากว่าพวกเขา
ซึ่งเมื่อพวกเขานั่งที่ร้านไปสักพักหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ย้ายร้านไปที่ร้านอื่น
เมื่อผมออกจากที่ทำงาน และโทรศัพท์ไปบอกพวกเขาว่าเพิ่งประชุมเสร็จ
ก็ได้ทราบว่าพวกเขาย้ายร้านจากบริเวณตรงกลางระหว่างบ้านของทุกคน
ไปอยู่ในบริเวณที่แสนจะไกลจากบ้านผม และผมไม่เชี่ยวชาญเส้นทางแถวนั้นด้วย
ผมก็ต้องอาศัย app แผนที่นำทางไป ซึ่งกว่าจะไปถึงที่ร้านนั้น ก็ค่ำพอสมควรแล้ว
พอไปถึงที่ร้าน ก็พบว่าเพื่อนทั้ง ๒ คนกำลังนั่งชนแก้วเบียร์กัน
โดยเพื่อนคนที่กำลังมีปัญหาชีวิตและกลุ้มใจก็เริ่มมีอาการเมาอ้อแอ้แล้ว
เมื่อผมไปถึง ก็สั่งอาหารมาทานเพิ่ม พร้อมกับสั่งน้ำเปล่ามาดื่ม
เพื่อนทั้ง ๒ คนก็ถามผมนะครับว่า ผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์แล้วหรือ
ผมก็บอกเพื่อนไปตามตรงครับว่า เลิกดื่มแล้ว
เพราะเคยดื่มแล้วก็ดื่มอีก ดื่มแล้วก็ดื่มอีก ดื่มไปเรื่อยไม่รู้จักจบจักสิ้น
ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนตกเป็นทาส แล้วก็เห็นแต่ผลเสีย ไม่เห็นผลดีอะไรสักอย่าง
เพื่อนทั้ง ๒ คนก็ไม่บังคับผมนะครับ ผมจึงนั่งดื่มน้ำเปล่าไป
พวกเขา ๒ คนก็นั่งดื่มเบียร์ไป แต่เพื่อนคนที่กำลังเมานี้ดื่มเยอะกว่ามาก
ทีนี้ เพื่อนไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี หรือยี่สิบปี ก็ถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบกันตามปกติ
แต่เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมก็พาเข้าประเด็นเรื่องประโยชน์ของธรรมะ
ซึ่งตอนแรก ผมตั้งใจว่าถ้าคุยแล้วไม่รู้เรื่อง ผมก็จะไม่อยู่นาน จะกลับเร็ว
แต่ถ้าคุยแล้วรู้เรื่อง เพื่อนได้ประโยชน์ ก็จะพิจารณาเวลากลับตามที่สมควร
ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ไม่เมานั้น ฟังเข้าใจครับ เพราะว่าเขาได้ศึกษามาอยู่บ้าง
เพียงแต่ว่ายังไม่เคยได้ฟังหรือได้อ่านเรื่องการเจริญสติเรียนรู้กายใจตนเอง
เขาจึงตั้งใจฟัง และพยายามทำความเข้าใจ
ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งที่กำลังเมาก็คุยไปเรื่อยเปื่อย และบ่นเรื่องชีวิตตนเอง
เมื่อผมคุยไปได้สักพักใหญ่และเห็นว่าเพื่อนคนที่ไม่เมาพอจะเข้าใจได้พอสมควรแล้ว
ผมก็นำหนังสือธรรมะและซีดีธรรมะขึ้นมาแจกให้ทั้ง ๒ คน คนละชุด
แล้วก็บอกว่า ในรายละเอียดนั้น ขอให้พวกเขาไปศึกษาเพิ่มเติมกันเอง
หากไม่เข้าใจตรงไหนแล้ว ค่อยมาสอบถามเพิ่มเติมก็ได้
จากนั้น เพื่อนคนที่กำลังเมาก็บ่นปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจของตนเองต่อไป
ผมจึงแนะนำเพื่อนคนที่กำลังเมาว่า ปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจของเขาต้องมีเยอะอยู่แล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าเขาไม่มีปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจสิ ถึงจะแปลก
เพราะว่าเขาสร้างแต่เหตุปัจจัยที่แย่ ๆ ใส่ลงไปในชีวิตตนเอง
เมื่อเหตุปัจจัยดังกล่าวให้ผล มันก็ย่อมจะให้ผลเสีย ผลที่เป็นปัญหา และทำให้เขากลุ้มใจ
ผมถามเพื่อนคนที่กำลังเมาว่า “ถ้าสมมุติว่ามีน้ำอุณหภูมิห้องอยู่ในตุ่มน้ำใบหนึ่ง
แล้วเรานำน้ำร้อนเติมลงไปในตุ่มน้ำนั้น เติมลงไปเรื่อย ๆ
ถามว่าน้ำในตุ่มนั้นจะร้อนขึ้นหรือจะเย็นลง?”
เพื่อนคนที่กำลังเมาตอบว่า “น้ำก็จะร้อนขึ้นน่ะสิ”
ผมถามต่อไปว่า “เป็นเรื่องธรรมดาเลยใช่ไหม”
เพื่อนคนที่กำลังเมาตอบว่า “ใช่ เรื่องธรรมดา”
ผมจึงสรุปให้ฟังว่า ฉันใดก็ฉันนั้น ในเมื่อนายสร้างเหตุปัจจัยแย่ ๆ มากมาย
เติมน้ำร้อนเยอะ ๆ ลงไปในชีวิต ชีวิตนายก็มีปัญหาเยอะแยะและมีเรื่องร้อนมากมาย
ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดานะ ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรเลย
ถ้านายอยากจะให้ชีวิตนายมีปัญหาน้อย ๆ และมีเรื่องร้อนน้อย ๆ
นายก็พึงสร้างเหตุปัจจัยดี ๆ ให้มาก ๆ และเติมน้ำเย็นเยอะ ๆ ลงไปในชีวิต
แล้วชีวิตนายก็จะมีปัญหาน้อย และมีเรื่องร้อนน้อย ซึ่งก็จะเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน
แต่ทีนี้ ถ้านายเติมน้ำร้อนเยอะแยะลงไปในตุ่มน้ำ แล้วทำให้น้ำในตุ่มร้อนมาก
แล้วนายจะมานั่งบ่นพร่ำเพ้อซ้ำ ๆ ไปมาว่า “น้ำร้อนจังเลย ๆ” แล้วจะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ
ก็ในเมื่อนายเติมน้ำร้อนลงไปเอง น้ำในตุ่มก็ย่อมจะร้อนขึ้นก็เป็นธรรมดา
จะมาบอกว่าฉันอยากจะเติมน้ำร้อนลงไป แต่ฉันขอให้น้ำในตุ่มเย็นขึ้น อย่างนั้นก็เพี้ยนแล้ว
ถ้านายไม่อยากให้น้ำร้อนยิ่งขึ้น นายก็ต้องหยุดเติมน้ำร้อน แล้วก็เติมน้ำเย็นลงไปสิ
จากนั้น ผมก็แนะนำว่าเรื่องอะไรบ้างที่เขาควรลดละเลิก และเรื่องอะไรบ้างที่เขาควรทำ
โดยผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนที่กำลังเมานี้ จะฟังเข้าใจสักกี่เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าจะให้เดาแล้ว น่าจะไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะครับ เพราะท่าทางอ้อแอ้มาก
ส่วนว่าหากเข้าใจแล้ว จะนำไปประพฤติหรือเปล่านั้น ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วล่ะ
ก่อนจะแยกจากกันในคืนนั้น เพื่อนคนที่กำลังเมาบอกว่า
คืนนี้เขามีความสุขมากเลยที่ได้มาเจอผมและเพื่อนอีกคนหนึ่ง
ผมจึงแนะนำว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ชีวิตนายก็ลำบากแล้วล่ะ จะทุกข์มากเลยนะ”
เพื่อนคนที่กำลังเมาถามว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น”
ผมอธิบายว่า “ถามว่านายใช้เวลาอยู่กับใครมากที่สุดในแต่ละวัน?
พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย เจ้านาย ลูกน้องหรือไง? ตอบว่า ไม่ใช่
นายใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากที่สุดในแต่ละวัน นายอยู่กับตัวเองวันละ ๒๔ ชั่วโมง
ในปี ๆ หนึ่ง นายอาจจะได้เจอเราและเพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ถึง ๕ ชั่วโมง
แต่นายต้องอยู่กับตัวเองวันละ ๒๔ ชั่วโมง และทุกวันตลอดทั้งปี
ถ้านายบอกว่าเวลาอยู่คนเดียวกับตัวเองแล้วนายไม่มีความสุข
นายจะต้องรอจนได้มาเจอเราและเพื่อนอีกคนหนึ่งถึงจะมีความสุขแล้วนะ
ชีวิตนายก็จะมีแต่ช่วงเวลาที่ไม่มีความสุขนั่นแหละ
ฉะนั้นแล้วสิ่งที่นายควรทำก็คือ ไปศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตมีความสุข
โดยที่นายมีความสุขได้ โดยที่อยู่กับตัวเอง ไม่ต้องอิงอาศัยคนอื่นหรือสิ่งอื่น
และต้องมีความสุขในเวลาที่อยู่กับตัวเอง มากกว่าเวลาที่เจอเราหรือเพื่อนคนอื่นด้วย”
เพื่อนคนที่ไม่เมานั้นได้บอกผมว่า เขาได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่พบผมในคืนนี้
โดยที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยว่าจะได้มาคุยอะไรกันในเรื่องเหล่านี้
เมื่อผมแยกจากเพื่อน ๆ มาแล้ว ก็ได้ข้อคิดบางประการ
ซึ่งก็ได้นำบางส่วนมาเล่าให้ฟังข้างต้นแล้ว
นอกจากนี้ ผมก็ได้เห็นตัวอย่างที่ยืนยันว่า การคบเพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ
โดยถ้าเพื่อนคนที่ไม่เมาได้นัดเจอแต่เพื่อนที่กำลังเมาแล้ว
เขาก็คงได้แต่พากันไปดื่มเบียร์เสียเงิน เสียเวลา เสียสุขภาพ และสร้างอกุศล
แต่เมื่อได้เจอเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สนใจธรรมะ และแนะนำธรรมะให้เขาด้วยแล้ว
เขาก็ได้ฟังและได้สนทนาเรื่องธรรมะ รวมทั้งได้หนังสือธรรมะไปอ่านและได้ซีดีธรรมะไปฟัง
ฉะนั้นแล้ว เวลาที่เราคบเพื่อนนั้น เราก็พึงพิจารณาด้วยนะครับว่า
เพื่อนเราชักนำเราไปในทางที่เจริญ หรือไปในทางที่เป็นบุญกุศล
หรือเพื่อนเราชักนำเราไปในทางเสื่อม หรือไปในทางที่เป็นบาปอกุศล
แล้วก็พึงเลือกคบ หรือแบ่งเวลาคบเพื่อนให้เหมาะสมครับ
< Prev | Next > |
---|