จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

เจอเพื่อนแล้วมีความสุข


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

 


129 destination



เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน ๒ คนนะครับ
คนหนึ่งนั้นไม่ได้พบและติดต่อกันมาประมาณเกือบยี่สิบปีแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้พบและติดต่อกันมาประมาณสิบหกปีเห็นจะได้
โดยที่ได้มีโอกาสพบกันคราวนี้ เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งกำลังกลุ้มใจมากในช่วงนี้
เขาได้นึกถึงผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งขึ้นมา
ก็เลยไปค้นหาเบอร์โทรศัพท์เก่า ๆ และก็พยายามทางติดต่อผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งนี้

แล้วก็ติดต่อนัดผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งมาทานอาหารเย็นด้วยกันในวันดังกล่าว


ในตอนแรก ผมเองก็ไม่ทราบว่าเพื่อนกำลังมีปัญหาชีวิตและกลุ้มใจ
ผมก็คิดแต่เพียงว่าเพื่อนเก่าสมัยเรียนนัดมา จึงรับนัดว่าจะไปพบกัน
ส่วนหนึ่งก็ตั้งใจว่าจะนำหนังสือธรรมะและซีดีธรรมะไปให้เพื่อนทั้ง ๒ คน
แล้วก็จะไปคุยเรื่องธรรมะให้ฟังด้วย เผื่อว่าเพื่อนทั้ง ๒ คนจะสนใจ



เพื่อนทั้ง ๒ คนนั้นได้เดินทางไปพบกันยังร้านที่ผมนัดก่อน
โดยผมจะต้องตามไปทีหลังเพราะผมเลิกงานช้ากว่าพวกเขา
ซึ่งเมื่อพวกเขานั่งที่ร้านไปสักพักหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ย้ายร้านไปที่ร้านอื่น

เมื่อผมออกจากที่ทำงาน และโทรศัพท์ไปบอกพวกเขาว่าเพิ่งประชุมเสร็จ
ก็ได้ทราบว่าพวกเขาย้ายร้านจากบริเวณตรงกลางระหว่างบ้านของทุกคน
ไปอยู่ในบริเวณที่แสนจะไกลจากบ้านผม และผมไม่เชี่ยวชาญเส้นทางแถวนั้นด้วย
ผมก็ต้องอาศัย
app แผนที่นำทางไป ซึ่งกว่าจะไปถึงที่ร้านนั้น ก็ค่ำพอสมควรแล้ว


พอไปถึงที่ร้าน ก็พบว่าเพื่อนทั้ง ๒ คนกำลังนั่งชนแก้วเบียร์กัน
โดยเพื่อนคนที่กำลังมีปัญหาชีวิตและกลุ้มใจก็เริ่มมีอาการเมาอ้อแอ้แล้ว
เมื่อผมไปถึง ก็สั่งอาหารมาทานเพิ่ม พร้อมกับสั่งน้ำเปล่ามาดื่ม
เพื่อนทั้ง ๒ คนก็ถามผมนะครับว่า ผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์แล้วหรือ
ผมก็บอกเพื่อนไปตามตรงครับว่า เลิกดื่มแล้ว
เพราะเคยดื่มแล้วก็ดื่มอีก ดื่มแล้วก็ดื่มอีก ดื่มไปเรื่อยไม่รู้จักจบจักสิ้น
ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนตกเป็นทาส แล้วก็เห็นแต่ผลเสีย ไม่เห็นผลดีอะไรสักอย่าง
เพื่อนทั้ง ๒ คนก็ไม่บังคับผมนะครับ ผมจึงนั่งดื่มน้ำเปล่าไป

พวกเขา ๒ คนก็นั่งดื่มเบียร์ไป แต่เพื่อนคนที่กำลังเมานี้ดื่มเยอะกว่ามาก


ทีนี้ เพื่อนไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี หรือยี่สิบปี ก็ถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบกันตามปกติ
แต่เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมก็พาเข้าประเด็นเรื่องประโยชน์ของธรรมะ

ซึ่งตอนแรก ผมตั้งใจว่าถ้าคุยแล้วไม่รู้เรื่อง ผมก็จะไม่อยู่นาน จะกลับเร็ว
แต่ถ้าคุยแล้วรู้เรื่อง เพื่อนได้ประโยชน์ ก็จะพิจารณาเวลากลับตามที่สมควร
ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ไม่เมานั้น ฟังเข้าใจครับ เพราะว่าเขาได้ศึกษามาอยู่บ้าง

เพียงแต่ว่ายังไม่เคยได้ฟังหรือได้อ่านเรื่องการเจริญสติเรียนรู้กายใจตนเอง
เขาจึงตั้งใจฟัง และพยายามทำความเข้าใจ
ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งที่กำลังเมาก็คุยไปเรื่อยเปื่อย และบ่นเรื่องชีวิตตนเอง


เมื่อผมคุยไปได้สักพักใหญ่และเห็นว่าเพื่อนคนที่ไม่เมาพอจะเข้าใจได้พอสมควรแล้ว
ผมก็นำหนังสือธรรมะและซีดีธรรมะขึ้นมาแจกให้ทั้ง ๒ คน คนละชุด
แล้วก็บอกว่า ในรายละเอียดนั้น ขอให้พวกเขาไปศึกษาเพิ่มเติมกันเอง
หากไม่เข้าใจตรงไหนแล้ว ค่อยมาสอบถามเพิ่มเติมก็ได้


จากนั้น เพื่อนคนที่กำลังเมาก็บ่นปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจของตนเองต่อไป
ผมจึงแนะนำเพื่อนคนที่กำลังเมาว่า ปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจของเขาต้องมีเยอะอยู่แล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าเขาไม่มีปัญหาชีวิตและเรื่องกลุ้มใจสิ ถึงจะแปลก
เพราะว่าเขาสร้างแต่เหตุปัจจัยที่แย่ ๆ ใส่ลงไปในชีวิตตนเอง
เมื่อเหตุปัจจัยดังกล่าวให้ผล มันก็ย่อมจะให้ผลเสีย ผลที่เป็นปัญหา และทำให้เขากลุ้มใจ

ผมถามเพื่อนคนที่กำลังเมาว่า “ถ้าสมมุติว่ามีน้ำอุณหภูมิห้องอยู่ในตุ่มน้ำใบหนึ่ง
แล้วเรานำน้ำร้อนเติมลงไปในตุ่มน้ำนั้น เติมลงไปเรื่อย ๆ
ถามว่าน้ำในตุ่มนั้นจะร้อนขึ้นหรือจะเย็นลง?
เพื่อนคนที่กำลังเมาตอบว่า “น้ำก็จะร้อนขึ้นน่ะสิ”

ผมถามต่อไปว่า “เป็นเรื่องธรรมดาเลยใช่ไหม”
เพื่อนคนที่กำลังเมาตอบว่า “ใช่ เรื่องธรรมดา”


ผมจึงสรุปให้ฟังว่า ฉันใดก็ฉันนั้น ในเมื่อนายสร้างเหตุปัจจัยแย่ ๆ มากมาย
เติมน้ำร้อนเยอะ ๆ ลงไปในชีวิต ชีวิตนายก็มีปัญหาเยอะแยะและมีเรื่องร้อนมากมาย

ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดานะ ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรเลย
ถ้านายอยากจะให้ชีวิตนายมีปัญหาน้อย ๆ และมีเรื่องร้อนน้อย ๆ
นายก็พึงสร้างเหตุปัจจัยดี ๆ ให้มาก ๆ และเติมน้ำเย็นเยอะ ๆ ลงไปในชีวิต
แล้วชีวิตนายก็จะมีปัญหาน้อย และมีเรื่องร้อนน้อย ซึ่งก็จะเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน


แต่ทีนี้ ถ้านายเติมน้ำร้อนเยอะแยะลงไปในตุ่มน้ำ แล้วทำให้น้ำในตุ่มร้อนมาก
แล้วนายจะมานั่งบ่นพร่ำเพ้อซ้ำ ๆ ไปมาว่า “น้ำร้อนจังเลย ๆ” แล้วจะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ
ก็ในเมื่อนายเติมน้ำร้อนลงไปเอง น้ำในตุ่มก็ย่อมจะร้อนขึ้นก็เป็นธรรมดา
จะมาบอกว่าฉันอยากจะเติมน้ำร้อนลงไป แต่ฉันขอให้น้ำในตุ่มเย็นขึ้น อย่างนั้นก็เพี้ยนแล้ว
ถ้านายไม่อยากให้น้ำร้อนยิ่งขึ้น นายก็ต้องหยุดเติมน้ำร้อน แล้วก็เติมน้ำเย็นลงไปสิ
จากนั้น ผมก็แนะนำว่าเรื่องอะไรบ้างที่เขาควรลดละเลิก และเรื่องอะไรบ้างที่เขาควรทำ

โดยผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนที่กำลังเมานี้ จะฟังเข้าใจสักกี่เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าจะให้เดาแล้ว น่าจะไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะครับ เพราะท่าทางอ้อแอ้มาก
ส่วนว่าหากเข้าใจแล้ว จะนำไปประพฤติหรือเปล่านั้น ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วล่ะ


ก่อนจะแยกจากกันในคืนนั้น เพื่อนคนที่กำลังเมาบอกว่า
คืนนี้เขามีความสุขมากเลยที่ได้มาเจอผมและเพื่อนอีกคนหนึ่ง
ผมจึงแนะนำว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ชีวิตนายก็ลำบากแล้วล่ะ จะทุกข์มากเลยนะ”
เพื่อนคนที่กำลังเมาถามว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น”

ผมอธิบายว่า “ถามว่านายใช้เวลาอยู่กับใครมากที่สุดในแต่ละวัน?
พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย เจ้านาย ลูกน้องหรือไง? ตอบว่า ไม่ใช่
นายใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากที่สุดในแต่ละวัน นายอยู่กับตัวเองวันละ ๒๔ ชั่วโมง
ในปี ๆ หนึ่ง นายอาจจะได้เจอเราและเพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ถึง ๕ ชั่วโมง

แต่นายต้องอยู่กับตัวเองวันละ ๒๔ ชั่วโมง และทุกวันตลอดทั้งปี
ถ้านายบอกว่าเวลาอยู่คนเดียวกับตัวเองแล้วนายไม่มีความสุข
นายจะต้องรอจนได้มาเจอเราและเพื่อนอีกคนหนึ่งถึงจะมีความสุขแล้วนะ
ชีวิตนายก็จะมีแต่ช่วงเวลาที่ไม่มีความสุขนั่นแหละ
ฉะนั้นแล้วสิ่งที่นายควรทำก็คือ ไปศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตมีความสุข
โดยที่นายมีความสุขได้ โดยที่อยู่กับตัวเอง ไม่ต้องอิงอาศัยคนอื่นหรือสิ่งอื่น
และต้องมีความสุขในเวลาที่อยู่กับตัวเอง มากกว่าเวลาที่เจอเราหรือเพื่อนคนอื่นด้วย”


เพื่อนคนที่ไม่เมานั้นได้บอกผมว่า เขาได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่พบผมในคืนนี้
โดยที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยว่าจะได้มาคุยอะไรกันในเรื่องเหล่านี้

เมื่อผมแยกจากเพื่อน ๆ มาแล้ว ก็ได้ข้อคิดบางประการ
ซึ่งก็ได้นำบางส่วนมาเล่าให้ฟังข้างต้นแล้ว
นอกจากนี้ ผมก็ได้เห็นตัวอย่างที่ยืนยันว่า การคบเพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ
โดยถ้าเพื่อนคนที่ไม่เมาได้นัดเจอแต่เพื่อนที่กำลังเมาแล้ว
เขาก็คงได้แต่พากันไปดื่มเบียร์เสียเงิน เสียเวลา เสียสุขภาพ และสร้างอกุศล
แต่เมื่อได้เจอเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สนใจธรรมะ และแนะนำธรรมะให้เขาด้วยแล้ว
เขาก็ได้ฟังและได้สนทนาเรื่องธรรมะ รวมทั้งได้หนังสือธรรมะไปอ่านและได้ซีดีธรรมะไปฟัง
ฉะนั้นแล้ว เวลาที่เราคบเพื่อนนั้น เราก็พึงพิจารณาด้วยนะครับว่า
เพื่อนเราชักนำเราไปในทางที่เจริญ หรือไปในทางที่เป็นบุญกุศล
หรือเพื่อนเราชักนำเราไปในทางเสื่อม หรือไปในทางที่เป็นบาปอกุศล
แล้วก็พึงเลือกคบ หรือแบ่งเวลาคบเพื่อนให้เหมาะสมครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP