ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

กสิสูตร ว่าด้วยการทำนาทางธรรม


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๖๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ อยู่ ณ พราหมณคาม
ชื่อว่า เอกนาลา ในทักขิณาคีรีชนบท แคว้นมคธ
ก็ในสมัยนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์เทียมไถมีจำนวน ๕๐๐ ในกาล (ฤดู) หว่านข้าว.


[๖๗๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จเข้าไปยังที่ทำการงานของกสิภารทวาชพราหมณ์ในเวลาเช้า.
สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเลี้ยงอาหาร (มื้อเช้า).
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่เลี้ยงอาหาร (ของเขา)
ครั้นแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนบิณฑบาตอยู่
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระสมณะ ข้าพเจ้าไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว ย่อมบริโภค
ข้าแต่พระสมณะ แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถิด.


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
พราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค.
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ก็ข้าพเจ้าไม่เห็นแอก ไถ ผาล
ประตักหรือโคทั้งหลายของท่านพระโคดมเลย
เมื่อเช่นนี้ท่านพระโคดมยังกล่าวอย่างนี้ว่า
ราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค.


[๖๗๓] ครั้งนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นชาวนา แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นการไถของพระองค์
พระองค์ผู้เป็นชาวนา ข้าพเจ้าถามแล้วขอจงตรัสบอก
ไฉนข้าพเจ้าจะรู้การทำนาของพระองค์นั้นได้.


[๖๗๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ
หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและประตัก
เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร
เราทำการดายหญ้า (คือวาจาสับปลับ) ด้วยคำสัตย์
โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้แล้วเสร็จงาน
ความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ
ไปไม่ถอยหลังยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก.


เราทำนาอย่างนี้ นาที่เราทำนั้นย่อมมีผลเป็นอมตะ
บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.


กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนา
ขอจงบริโภคอมฤตผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด.


[๖๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เราไม่พึงบริโภคโภชนะ ซึ่งได้เพราะการขับกล่อม
พราหมณ์ นี่เป็นธรรมของบุคคลผู้เห็นอรรถและธรรมอยู่
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมรังเกียจโภชนะที่ได้เพราะการขับกล่อม
พราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ ความเป็นไป (อาชีวะ) นี้ก็ยังมีอยู่
แต่ท่านจงบำรุงซึ่งพระขีณาสพทั้งสิ้น ผู้แสวงหาคุณใหญ่
มีความคะนองระงับแล้ว ด้วยข้าวน้ำอันอื่น
ด้วยว่าการบำรุงนั้นเป็นนาบุญของผู้มุ่งบุญ.


[๖๗๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว
กสิภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นได้
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
.


กสิสูตร จบ


(กสิสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๕)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP