วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๓๖ (จบ)


cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย




ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๓๐



ห้องสตูดิโอ ในสถานีโทรทัศน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง

ขณะนี้กำลังบันทึกเทปรายการ ผู้หญิงมีกึ๋นโดยสัตตบงกช พิธีกรสาวชื่อดังที่หวนกลับมารับงานอีกครั้ง ส่วนแขกรับเชิญวันนี้คือท่านโอภาส อดีตประธานศาลฎีกา ซึ่งปัจจุบันท่านได้มารับตำแหน่งประธานมูลนิธิ ทรงพล

หนูดีอยากทราบจุดมุ่งหมายของมูลนิธิทรงพลค่ะ พิธีกรสาวส่งคำถามแรกให้แขกรับเชิญ

มูลนิธิของเราตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย แก่คนที่ขาดความรู้ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือกับกลุ่มคนที่เราเรียกกันว่าเป็น แพะ ในคดีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางกฎหมายแก่ทุกคนอย่างเสมอภาค โดยไม่ยอมให้มีอิทธิพลอื่นใด มาแทรกแซง

ฟังดูน่าชื่นชมจังเลยค่ะ...แล้วที่มา หรือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดมูลนิธินี้ล่ะคะ เป็นอย่างไร พอจะบอกเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ

ได้ครับ...อืม...แต่ผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ถึงผมจะเป็นประธานมูลนิธิก็จริง แต่คนก่อตั้งมูลนิธินี้ รวมถึงเป็นผู้สนับสนุนให้ทุนทั้งหมดไม่ใช่ผม แต่เป็นท่านศักดิ์ชาย อดีตนายกรัฐมนตรีของเรานี่เอง

อุ๊ย...จริงหรือคะ แต่หนูดีทราบว่า ท่านศักดิ์ชาย เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้เกือบปีแล้วนี่คะ แสดงว่าท่านคงริเริ่มก่อตั้งมูลนิธินี้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

ใช่ครับ

แล้วท่านมีแรงบันดาลใจอะไรคะถึงตั้งมูลนิธินี้ ซึ่งดูแปลก ๆ ที่ท่านใช้ชื่อมูลนิธิ ทรงพล แทนที่จะใช้ชื่อของท่านเอง

อืม...งั้นผมขอเล่าถึงที่มาของชื่อมูลนิธิก่อนดีมั้ย

ค่ะ...ได้เลยค่ะท่าน

ถ้าคุณหนูดีได้ตามข่าวเมื่อปีที่แล้ว ก็คงจะทราบว่า ก่อนท่านศักดิ์ชายจะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายปิดผนึกไว้ฉบับหนึ่ง ให้ผมเปิดอ่าน และเผยแพร่มันหลังจากท่านเสียชีวิตแล้ว

ค่ะ พิธีกรสาวตอบรับ สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย

พอจะจำได้ไหมครับว่าเนื้อความในจดหมายฉบับนั้นพูดถึงเรื่องอะไร ผู้ให้สัมภาษณ์กลับเป็นฝ่ายถามพิธีกร

ค่ะ...ท่านศักดิ์ชายเขียนสารภาพความผิดของตนเอง ที่ท่านได้วางแผนใส่ความท่านทรงพล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เมื่อ ๖ ๗ ปีก่อน จนทำให้ท่านทรงพลและครอบครัวต้องหนีออกนอกประเทศ จนเครื่องบินตก เสียชีวิตทั้งหมด

ครับ...นั่นถือเป็นข่าวใหญ่ในรอบปีที่ใครก็คิดไม่ถึง ซึ่งเรื่องนี้มีเบื้องหลังอยู่

เบื้องหลังยังไงคะ

ก่อนท่านศักดิ์ชายจะเสียชีวิตได้ประมาณสองเดือน ท่านได้มาพบผมเพื่อสารภาพความผิดของตัวเอง ท่านรู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินนาน จึงต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นสารภาพผิด และไถ่โทษ

สิ่งนั้นคือการก่อตั้งมูลนิธินี้

ใช่แล้ว...มูลนิธินี้ตั้งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจอยากจะไถ่โทษ สำนึกผิด และขอขมาต่อท่านทรงพล ทำให้มูลนิธินี้มีชื่อว่า ทรงพลไม่ใช่ ศักดิ์ชาย อย่างที่ใคร ๆ คิดว่าควรจะเป็น

เสียงพูดคุย ซักถามยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ถึงบทบาท ผลงานของมูลนิธิ หลายคนในสตูดิโอนิ่งฟังอย่างตั้งใจ มีแต่ทีเกื้อที่หลบยืนฟังในเงามืดด้านหลังแอบถอนใจเบา ๆ ก่อนเดินเลี่ยงออกมา

เบื้องหลังของมูลนิธิทรงพลนั้น ทีเกื้อน่าจะรู้จริงกว่าใคร



เมื่อปีที่แล้ว...เหตุการณ์ที่เซฟเฮาส์ในรีสอร์ตแห่งนั้น...คือจุดเริ่มต้น

ท่านศักดิ์ชายเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย แต่ก็ยังต้องหลบหนีทรงกลด หรือฆาตกรคิม มายังเซฟเฮาส์แห่งนี้ โดยมีตำรวจเกือบร้อยนายคอยคุ้มครองป้องกัน

ทรงกลดสามารถฝ่าด่านตำรวจเหล่านั้นมาจนถึงตัวท่านศักดิ์ชายได้ แต่กลับเปลี่ยนใจไม่ฆ่าในวินาทีสุดท้าย หนำซ้ำยังใช้อาคมที่มีช่วยยับยั้งเซลมะเร็ง ยืดอายุที่เหลือจากเจ็ดวันเป็นสองเดือน เพื่อให้สะสาง จัดการเรื่องราวที่ค้างคาใจ

ทรงกลดกับทีเกื้อไม่หวังว่าท่านศักดิ์ชายจะใช้เวลาที่เหลือทำเรื่องดีงามอะไร เพราะฟังจากคำคาดการณ์ของฮันเตอร์ คิมแล้ว คิดว่าคนที่มีเวลาเหลือน้อยเช่นนี้น่าจะไปจัดการเรื่องมรดกของตัวเองมากกว่า

ถึงอย่างนั้น ทีเกื้อก็ยังนำคำพูดสุดท้ายที่ทรงกลดฝากไว้ มาบอกแก่ท่านศักดิ์ชายครบทุกคำ ไม่มีผิดเพี้ยน

ถ้าคุณใช้เวลาสองเดือนที่เหลือนี้ให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นได้...มันก็จะเป็นสองเดือนที่มีค่า มากกว่าเวลาตลอดชีวิตของคุณเอง

อาจเพราะคำพูดของทรงกลด อาจเพราะมั่นใจในความตายที่จะมาถึง หรืออาจเป็นเพราะได้ยินคำคาดการณ์อนาคต ถึงเหตุการณ์ภายในครอบครัว หลังจากตนเองตาย ท่านศักดิ์ชายจึงปิดประตูห้องครุ่นคิด ใคร่ครวญอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนเกิดการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต

ก่อนท่านศักดิ์ชายจะกลับกรุงเทพฯ ได้ฝากคำพูดบางคำแก่ทีเกื้อ

ถ้าเธอมีโอกาสพบ คนคนนั้น อีกครั้ง ฝากบอกเขาด้วยว่า...เวลาสองเดือนที่เขาให้ฉันมานั้น มันไม่สูญเปล่าแน่นอน

ทีเกื้อรับฟัง และคอยเฝ้าดู จึงได้เห็น...คนอย่างท่านศักดิ์ชาย กล้าทำจริงอย่างที่พูด!

เขาใช้ช่วงเวลาสองเดือนในการแบ่งสมบัติแก่ลูกเมียอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อย พอกินอยู่ไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ขาดแคลน หากไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป

ส่วนทรัพย์สินส่วนใหญ่ รวมถึงกิจการที่มีผลประโยชน์รายเดือนถูกนำมารวมเป็นทุนก่อตั้งมูลนิธิทรงพล ต่อให้ลูกเมียคัดค้าน ไม่พอใจ ก็ไม่สามารถขัดขวางได้

ท่านศักดิ์ชายรู้ว่าตนเองมีเวลาเหลือไม่มากนัก จึงระดมนักกฎหมายฝีมือดีมาร่างระเบียบ อุดช่องโหว่ทางกฎหมายของทรัพย์สินในมูลนิธิ โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ลูกเมียสามารถฟ้องร้องยกเลิกภายหลังได้ อีกทั้งยังไปเชิญท่านโอภาส อดีตประธานศาลฎีกา ที่ทุกคนยอมรับในความใจซื่อ มือสะอาด และมีบารมีมากพอ ให้มาเป็นประธานมูลนิธิแห่งนี้

หลังจากภารกิจต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยด้วยดี เวลาก็งวดมาจนถึงช่วงสุดท้าย ท่านศักดิ์ชายได้เขียนจดหมายปิดผนึกฝากให้ท่านโอภาสเป็นคนอ่าน และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนหลังงานศพของตนเอง

ท่านโอภาสรับรู้เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ตอนได้รับคำเชิญให้มาเป็นประธานมูลนิธิแล้ว จึงรับปาก และปฏิบัติตามคำสั่งเสียก่อนตายของท่านศักดิ์ชายอย่างเคร่งครัด

จดหมายปิดผนึกของท่านศักดิ์ชายไม่ได้พาดพิง ซัดทอดความผิดเหล่านี้กับใคร เพียงยอมรับแผนการทั้งหมดเป็นฝีมือของตนผู้เดียว

การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยรักษาชื่อเสียงของคนที่ตาย และไม่ให้เกิดผลเสียแก่คุณหญิงอัปสร ผู้ร่วมลงขันคนเดียวที่ยังเหลืออยู่

เหนือสิ่งอื่นใด เจตนาสำคัญของจดหมายฉบับนั้น กับการตั้งมูลนิธิฯ ก็เพื่อกู้ชื่อเสียงให้แก่ท่านทรงพล และครอบครัวที่เสียชีวิตให้กลับคืนมา เป็นการแสดงความสำนึก เสียใจครั้งสุดท้ายก่อนตาย



การสัมภาษณ์เรื่องมูลนิธิทรงพล ระหว่างสัตตบงกช พิธีกร กับท่านโอภาส ประธานมูลนิธิยังดำเนินต่อไป ก่อนโยงเข้าสู่การแจ้งข่าวจัดงาน วันระลึกถึงการเสียชีวิตของท่านทรงพลและครอบครัว เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คนดีที่ถูกใส่ความจนเสียชีวิต และเป็นแรงผลักดันให้เกิดมูลนิธินี้

ทีเกื้อยืนดูการสัมภาษณ์ผ่านจอมอนิเตอร์ด้วยรอยยิ้ม รู้สึกปลื้มใจทั้งเรื่องที่กำลังสัมภาษณ์ และตัวพิธีกรที่กำลังสัมภาษณ์ จนกระทั่งมีมือมาสะกิด

ว่าไงผู้กอง มาหลบทำอะไรแถวนี้

ไอ้เกี้ยง!” ทีเกื้อทัก นึกแปลกใจที่เห็นหนุ่มตี๋วินมอเตอร์ไซค์ สายสืบตนมาอยู่ที่นี่

เอ...ยังเรียก ผู้กองได้หรือเปล่า ได้ข่าวว่าเลื่อนยศแล้วนี่...เป็นสารวัตรหรือยังครับทั่น หนุ่มหน้าตี๋ทำเสียงล้อเลียน

มึงมาทำอะไรที่นี่... ทีเกื้อไม่สนใจตอบคำถามมัน ปีก่อน พอออกจากโรงพยาบาลก็หายต๋อมเชียว กลัวโดนกูเรียกใช้อีกหรือไง

ปีที่แล้วเกี้ยงช่วยทีเกื้อสืบคดีของคิม จนถูกทำร้ายบาดเจ็บ เข้าโรงพยาบาล พอรักษาหายก็ไม่ส่งข่าวคราวมาอีก

ผมก็มีชีวิตของผมบ้างเซ่ ผู้กอง...เอ๊ย...สารวัตร ผมกำลังเบื่อขับมอไซค์หากิน พอดีมีเพื่อนมันชวนมาทำงานที่นี่ก็เลยลองมาทำดู

มาทำงานอะไรในนี้วะ

ก็...เป็นผู้ช่วยช่างไฟ ผู้ช่วยสเตจ ผู้ช่วยหาพร็อบ ผู้ช่วยตากล้องฯลฯ

สรุปว่ามึงเป็นเบ๊เขา...ว่างั้นเหอะ

อย่าดูถูกน่าสารวัตร ยังไงมันก็มีอนาคตกว่าขับมอไซค์ นั่นแหละ ได้เจอดารา พิธีกรสาว ๆ สวย ๆ ทุกวัน ชื่นตาชื่นใจจะตาย

หนุ่มตี๋ยักคิ้ว พลางเหล่มองพิธีกรสาวสวยในจอมอนิเตอร์ ที่กำลังสัมภาษณ์ใกล้เสร็จ

อย่างคุณหนูดีนะ...โอ้โห...ให้มองทุกวันยังไงก็ไม่เบื่อ

ทีเกื้ออมยิ้ม แววตาขำขัน

เออแน่ะ พูดยังกะมึงสนิทกับเขาดี

โอ๊ย...ผมไม่มีวาสนาสนิทกับนางฟ้าขนาดนั้นหรอก แต่คุณหนูดีเธอน่ารัก พูดจาทักทายสนิทสนมกับทุกคนเสมอกันหมด ไม่หยิ่ง ถือตัวเหมือนดาราสวย ๆ บางคน

อ๋อ... ทีเกื้อแกล้งลากเสียงยาว แล้วมึงรู้เรื่องอะไรของเขาบ้างล่ะ

รู้ซี่ หนุ่มสารพัดผู้ช่วยทำเสียงสูงเหมือนได้รู้เรื่องสำคัญ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้ว่าเธอยังโสดนั่นแหละ เพราะเพิ่งถอนหมั้นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว...ได้ข่าวว่ามีมือที่สาม ก็แหม...อดีตคู่หมั้นคุณหนูดีเขาทั้งหล่อ ทั้งรวยขนาดนั้น สาว ๆ ที่ไหนก็อยากงาบ

ทีเกื้อพยักหน้า พยายามกลั้นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ

เจ้าเกี้ยงดูท่าจะติดลมจึงเล่าต่ออย่างเมามัน

งานนี้ยายคุณหญิงที่เป็นแม่ของว่าที่เจ้าบ่าว ถึงขนาดยอมยกสินสอดให้หมด เพื่อเป็นการขอโทษแทนลูกชายตัวเองที่ไม่รักดี ทิ้งนางฟ้าอย่างคุณหนูดีไปชอบยายดาราหน้าศัลยกรรมคนนั้น

ทีเกื้อพยายามนึกถึง ดาราหน้าศัลยกรรม คู่ควงบังหน้าคนปัจจุบันของธีรภูมิ แล้วต้องยอมรับว่าเจ้าเกี้ยงวิจารณ์ได้ชัดเจนไม่เลว

อดคิดไม่ได้ว่า ถึงคุณหญิงอัปสรจะยอมให้โอกาสระหว่างเขากับสัตตบงกชแล้ว แต่ก็ยังพยายามรักษาภาพพจน์ของลูกชายคนเดียวไว้อย่างสุดฤทธิ์

คุณหนูดีถอนหมั้น ก็กลับเข้าวงการอีกครั้ง เป็นพิธีกรรายการใหม่อย่าง ผู้หญิงมีกึ๋น เมื่อต้นปีนี้เอง

นัยน์ตาทีเกื้อพราวระยับด้วยรอยยิ้ม

ท่าทางมึงจะรู้เรื่องคุณหนูดีเยอะจังนะ แล้วตอนนี้เขามีแฟนใหม่หรือยัง?

เจ้าเกี้ยงทำท่าเหมือนกำลังพูดเรื่องสำคัญคอขาดบาดตาย

จุ๊ ๆ ๆ อย่าเอ็ดไปนะสารวัตร คนแถวนี้เขาลือ ๆ กันว่าแฟนใหม่คุณหนูดีเป็นหนุ่มนอกวงการ หล่อโคตร ผมเพิ่งมาทำงานไม่นาน ยังไม่เคยเห็นหน้าสักที...แต่ว่าก็ว่าเถอะ คุณหนูดีสวยขนาดนั้น นิสัยก็ดี น่ารัก ผมเห็นยังหลงเลย หนุ่ม ๆ ที่ไหนจะไม่ชอบบ้าง ยิ่งตอนนี้ยังไม่มีการประกาศตัวชัดเจน ผมว่าคงจะมีหนุ่มโพรไฟล์ดี ๆ มาต่อคิวยื่นใบสมัครเป็นแฟนยาวเป็นกิโลแน่

ทีเกื้อหัวเราะเบา ๆ

แล้วนอกจาก หนุ่มนอกวงการที่แกบอกว่าหล่อโคตรแต่ไม่เคยเจอนี่ ยังมีหนุ่มคนอื่นมาเกาะแกะคุณหนูดีอีกมั้ย

มีถมไป แต่เธอไม่เล่นด้วย แถมวางตัวดีจนใคร ๆ ก็เกรงใจ...อย่างผมเนี่ย ถึงอยากจะเป็นแฟนคุณหนูดี ใจจะขาด แต่ก็เป็นได้แค่แฟนคลับเท่านั้นแหละ

ที่เกื้อหัวเราะนัยน์ตาพราวระยับจนคู่สนทนามองอย่างสงสัย ไม่เคยเห็นนายตำรวจขาลุยจะมีอารมณ์ดีขนาดนี้มาก่อนเลย

พอนายตำรวจหนุ่มหยุดหัวเราะก็เปิดรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตามองข้ามไหล่เจ้าเกี้ยง จนหนุ่มหน้าตี๋นึกสงสัย ต้องเหลียวกลับไปมอง และพบว่าหญิงสาวที่เป็นเป้าของการสนทนากำลังยืนอยู่เบื้องหลัง

สวัสดีค่ะเกี้ยง สัตตบงกชทักทายเสียงสดใส

ขะ...ขะ ครับ...หวัดดีครับคุณหนูดี อดีตหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์จอมกะล่อน กลับกลายเป็นคนติดอ่าง พูดไม่ออก เมื่อมายืนต่อหน้านางฟ้าของเขา

คุยอะไรกันหรือคะพี่เกื้อ คราวนี้หญิงสาวหันไปทักทายชายหนุ่มที่แกล้งยืนยิ้มแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

คุยเรื่องหนูดีนี่แหละ ไอ้เกี้ยงมันเพิ่งบอกว่า เป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่งของหนูดี ทีเกื้อพูดหน้าตาเฉย

อะ...อะ...ไอ้ผู้กอง... เป็นครั้งแรกที่อดีตสายสืบกล้าด่านายตำรวจด้วยความเขินอายแบบนี้

อ้าว...ไหนบอกว่ากูเป็นสารวัตรแล้วไง...คุณเกี้ยง ทีเกื้อล้อเลียน

เจ้าเกี้ยงมองชายหนุ่มหญิงสาวที่ยืนประกบหน้าหลังตนเองแล้วก็รู้ว่า หนุ่มนอกวงการ หล่อโคตร ที่คนแถวนี้เขาลือกันนั้นเป็นใคร

ผมไปล่ะ พูดจบก็หายแวบเข้าไปในสตูดิโออย่างรวดเร็ว

สองหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสัตตบงกชมีรอยคาดคั้นแกมตำหนิ แกล้งพูดดัก

นินทาผู้หญิงไม่ดีนะคะ

ไม่ได้นินทา เจ้าเกี้ยงมันกำลังชื่นชมหนูดีต่างหาก

หนูดีหมายถึงพี่เกื้อ... พูดพลางทำตาดุใส่

พี่ก็ชื่นชมนะ ไม่เคยนินทาสักที แต่แอบหาข่าวกับเจ้าเกี้ยงนิดหน่อย ว่ามีใครแอบมาจีบหนูดีลับหลังพี่หรือเปล่า

แล้วยังไงล่ะคะ หญิงสาวท้าทาย

ก็...ไม่มีอะไร ชายหนุ่มยิ้มประจบ ไปกันเถอะ...เดี๋ยวเอื้อรอนาน มันจะโทรมาด่าพี่

ชายหนุ่มรีบตัดบท เอาชื่อพี่สาวมาอ้าง ทั้งที่จริงฝ่ายนั้นไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย

ถ้าจะว่าไป การกลับมาคบกันอย่างราบรื่นของสองหนุ่มสาว ต้องขอบคุณเอื้อกานต์เป็นพิเศษ เพราะหลังจากสะสางคดีของคิมเรียบร้อย คุณหมอสาวผู้กลายเป็นคนป่วยในโรงพยาบาลก็ได้นำคำพูดของคุณหญิงอัปสรมาบอก

มีบางเรื่องที่ฉันน่าจะช่วยน้องชายเธอได้...ไปคิดมาให้ดีก็แล้วกัน...ฉันไม่เร่งรัดเวลา

คุณหญิงอัปสรรับปากจะช่วยเอื้อกานต์เป็นการตอบแทนที่เธอช่วยชีวิต แต่ถ้าเอื้อกานต์ไม่ใช้โอกาสนี้ก็สามารถยกมันให้ทีเกื้อได้

เมื่อทีเกื้อได้ฟังเรื่องราวจากเอื้อกานต์จนจบก็รู้ทันที คุณหญิงอัปสรมีเจตนาอะไร และเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ทีเกื้อยอมลดอัตตาของตนไปขอร้องคุณหญิงอัปสร ให้ปล่อยสัตตบงกชเป็นอิสระ

ให้ฉันยกเลิกการหมั้นระหว่างตาภูมิกับสัตตบงกชไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าแกจะกลับไปคบกันอีก คิดเหรอว่ายายคุณนายปทุมมาแม่ของสัตตบงกชเขาจะยอม ฉันว่ายายนั่นคงเอาลูกสาวไปเร่ขายคนอื่นอยู่ดี

ทีเกื้อจึงได้คิด และรู้ว่าคุณหญิงอัปสรมีเจตนาส่งเสริมเขากับสัตตบงกช

ถ้าอย่างนั้น ผมควรทำอย่างไรดี ถ้าไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิต ทีเกื้อคงไม่มีวันยอมลงให้คุณหญิงอัปสรขนาดนี้

แกไม่ต้องทำอะไร ฉันจะจัดการเอง

แล้วคุณหญิงอัปสรก็ไปคุยกับแม่ของสัตตบงกชเป็นการส่วนตัวเป็นชั่วโมง ก่อนออกมาบอกว่า

เรียบร้อย คำพูดสั้น ๆ แค่นั้น

แล้วเรื่องราวก็เรียบร้อยจริง ๆ สัตตบงกชได้ถอนหมั้นอย่างราบรื่น คุณนายปทุมมา แม่ของเธอก็ไม่ขัดขวางการคบหาระหว่างเขากับบุตรสาวตนเอง

ทีเกื้อไม่อยากเชื่อว่าเรื่องราวจะง่ายดายขนาดนี้

คนมาขยายความทีหลังคือธีรภูมิ

มันจะไม่ง่ายได้ไงล่ะเกื้อ...ถึงแม่พี่จะไม่เรียกสินสอดคืน แต่ก็ไม่ยอมยกโฉนดบ้าน ที่ดิน รวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ของครอบครัวหนูดี ที่แม่เคยไถ่ไว้ มาคืนให้อยู่ดี

อ้าว... ทีเกื้องง

แม่บอกพวกเขาไปว่า...จะเอาของพวกนี้ไว้ เป็นสินสอดแต่งงานของเด็กในบ้าน

เด็กในบ้าน? ทีเกื้อทวนคำอย่างไม่เข้าใจ ธีรภูมิจึงหัวเราะอย่างขำขัน

ก็...เกื้อไงล่ะ...คิดเหรอว่าแม่พี่จะบอกว่าคุณนายปทุมมาว่า จะเอาของพวกนั้นไว้ให้เป็นสินสอดแต่งงานของลูกชายคุณธีรนัฐ...สามีฉันเอง

ทีเกื้อค่อยพยักหน้า...เข้าใจ...ถึงคุณหญิงอัปสรจะช่วยเขาขนาดนี้ แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับเขาเป็นคนในครอบครัวอยู่ดี

ไม่ว่าคุณหญิงจะพูดอย่างไร จะให้เขาอยู่ในฐานะไหน สุดท้ายมันก็ทำให้เขาดูดี มีค่าในสายตาของมารดาสัตตบงกชพอสมควรแล้ว



มะรืนนี้จะครบรอบวันตายของแม่

ทีเกื้อ เอื้อกานต์นัดหมายกันจะไปนอนค้างบ้านคุณตา เพื่อเตรียมของทำบุญ พอดีเป็นช่วงที่สัตตบงกชมีเวลาว่างจึงขอตามไปด้วย

ทีเกื้อมารอรับหญิงสาวที่สตูดิโอก่อนจะไปรับพี่สาวตนเองที่ คลินิกคนยาก ซึ่งเอื้อกานต์ไปช่วยดูแลคนป่วยแทนอาจารย์หมอชั่วคราว

ชายหนุ่มแกล้งเอาชื่อพี่สาวมาอ้าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังมีงานดูแลคนป่วย ไม่ได้รีบร้อนจะไปบ้านคุณตาเร็วนักหนาเลย

โดยเฉพาะคนป่วยล่าสุดที่กำลังจะเข้ามานั้น เป็นคนป่วยที่เอื้อกานต์ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



คลินิกคนยากเป็นคลินิกเล็ก ๆ เปิดในย่านชุมชนคนหาเช้ากินค่ำ เจ้าของคลินิกเป็นอาจารย์หมอที่ใช้เวลาว่างจากงานสอนนักศึกษาแพทย์มาดูแล รักษาคนป่วยแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย กระทั่งยาบางตัวก็ยังให้คนไข้ไปฟรี ๆ

ช่วงนี้อาจารย์หมอติดไปสัมมนาที่ต่างประเทศ จะปิดคลินิกไปก็ห่วงคนไข้ เอื้อกานต์เลยรับอาสามาช่วยดูแลให้ชั่วคราวจนกว่าอาจารย์หมอจะกลับจากสัมมนา

คนป่วยรายสุดท้ายของวันนี้ เป็นเด็กหญิงตัวน้อย แก้มใส ไม่มีริ้วรอยอาการเจ็บป่วยใด ๆ พอมาถึงก็โผเข้ากอดคุณหมออย่างดีใจ

คุณหมอเจ้าหญิง!” เจ้าตัวน้อยร้องเรียกเสียงใส

หนูผักกาดน่ะเอง มาได้ยังไงคะ หญิงสาวช้อนรับร่างเล็ก ๆ ขึ้นมานั่งตัก พลางเห็นชายหนุ่มร่างสูงเพรียว แข็งแรง แต่งตัวเซอร์ ๆ เดินตามเข้ามา

ผักกาดมากับน้าหมาก แม่หนูชี้มือไปยังชายหนุ่มเซอร์ ๆ คนนั้น

เอื้อกานต์ยิ้มให้ และค่อยมีโอกาสสังเกตรูปร่างหน้าตาเขาชัด ๆ อีกที

น้าหมาก เป็นชายตัวสูงเพรียวแบบฝรั่งหุ่นดี ผิวขาวแต่เกรียมด้วยแดดลม ผมยาวปรกต้นคอดูรุงรังแบบคนไม่สนใจหวีให้เรียบร้อย นัยน์ตาเรียวรี จมูกโด่งเป็นสันชัดคล้ายหนุ่มญี่ปุ่น หนวดเคราเขียวครึ้มบอกลักษณะไม่ค่อยสนใจตัวเองเท่าไหร่

อ๋อ... เอื้อกานต์พยักหน้ารับทราบหลังเก็บรายละเอียดครบ ผักกาดไม่สบายเป็นอะไร...แล้วรู้ได้ยังไงว่าหมออยู่ที่นี่

ผักกาดปวดหัว เจ้าตัวเล็กจีบปากบอก ไปที่โรงพยาบาลแล้ว พี่พยาบาลบอกว่าคุณหมอลาพัก แต่มารักษาคนป่วยที่นี่ ผักกาดเลยตามมา

อ้าว...แล้วทำไมไม่ให้คุณหมอที่โน้นรักษาล่ะคะ คุณหมอสาวพูดแกมตำหนิ แววตารู้ทัน

ก็... แม่หนูน้อยพยายามหาข้ออ้าง

อย่าโกหกคุณหมอนะ เอื้อกานต์ยิ้มหวาน ดวงตาอ่านทะลุจิตใจเด็กน้อย

ก็...ผักกาดปวดหัวเพราะคิดถึงคุณหมอ...พอได้เจอก็หายแล้ว เจ้าตัวตอบเสียงอ่อย

เอื้อกานต์หัวเราะเบา ๆ หอมแก้มหนูผักกาดอย่างเอ็นดู รู้สึกตนเองตกอยู่ในสายตาของ น้าหมาก ตลอดเวลา

ว่าแล้ว...เป็นโรคสำออยจริง ๆ ด้วย เจ้าผักกาดตัวร้าย น้าชายบ่นแกมหยอก

เค้าไม่ได้สำออย ผักกาดไม่สบายจริง ๆ แม่หนูน้อยยื่นหน้าไปเถียง น้าหมากเป็นหมอใช้มีดเฉือน ๆ ...รักษาโรคให้ผักกาดไม่ได้หรอก

พอได้ยินหนูผักกาดบอกว่าน้าชายเป็นหมอเหมือนกัน แถมเป็น หมอใช้มีด เสียด้วย เอื้อกานต์จึงมองชายหนุ่มเซอร์ ๆ คนนี้อีกครั้ง...นัยน์ตาเรียวรี หนวดเคราเขียวครึ้มแบบนี้น่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ขอโทษด้วยนะครับคุณหมอ ที่หลานสาวผมมากวนแบบนี้ เขาพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทำให้ใบหน้านั้นดูสว่างไสว แววตาเป็นประกายชัดจนสะดุดความรู้สึกหญิงสาว

ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ... เอื้อกานต์ตอบ... แล้วชื่อ ๆ หนึ่งก็กระโดดขึ้นมาในความทรงจำ

ดอกเตอร์ M…คนไทยที่เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดมือหนึ่งระดับโลก ภาพของเขาปรากฏในวารสารการแพทย์เมื่อเดือนที่แล้ว

โอ๊ย อย่าเรียกผมว่าหมอเลยครับ แค่รักษาหลานสาวจอมดื้อคนเดียวยังไม่ได้เลย เขาพูดถ่อมตัวทั้งน้ำเสียงและกิริยาแววตา

ค่ะ...รักษาหลานสาวไม่ได้ แต่ผ่าตัดสมองในเคสที่ยากที่สุดของมหาเศรษฐีชาวยิวเมื่อสามปีก่อนจนโด่งดัง ศัลยแพทย์มือหนึ่งในอเมริกายังยกย่อง

พอได้ยินคำทักรู้ทันอย่างนั้น เขาแค่ยิ้ม ตอบมาง่าย ๆ

ผมก็แค่หมอใช้มีดเฉือน ๆ เหมือนเจ้าผักกาดว่านั่นแหละครับ

เมื่อเจ้าตัวดูจะถ่อมตน ไม่คิดพูดจาโอ้อวดความสามารถ เอื้อกานต์จึงแค่อมยิ้ม ไม่พูดย้ำเรื่องเดิมอีก

ตอนนี้คุณหมอกลับมาทำอะไรที่เมืองไทยหรือคะ

เอื้อกานต์ถาม เพราะได้ข่าวว่าหลังจากฝีมือผ่าตัดของเขาโด่งดัง ก็มีโรงพยาบาลดัง ๆ หลายแห่งอยากซื้อตัวไว้ แต่เขากลับไปทำงานให้มูลนิธิแห่งหนึ่ง ซึ่งส่งคณะแพทย์ไปช่วยเหลือ รักษาคนป่วยในประเทศด้อยพัฒนาในแถบแอฟริกา

มาเลี้ยงหลานครับ เขาตอบพลางยิ้มเหมือนเด็กชายซน ๆ คนหนึ่ง พี่สาวผมเมลไปบอกว่า เจ้าหลานสาวตัวแสบชักดื้อขึ้นทุกวัน ช่วยกลับมากำราบหน่อย

ผักกาดไม่ดื้อซักหน่อย น้าหมากแหละหัวดื้อ แม่บอกว่า กลับมาแล้วจะไปทำงานอะไรก็ไปซะที...น้าหมากก็บอกว่าไม่ทำหรอก...ขี้เกียจ...นอนอยู่บ้านดีกว่า

โดนหลานสาวเผาแบบนี้คนเป็นน้าชายก็อดไม่ได้

อ้าว...ก็ใครล่ะบอกให้น้าอยู่บ้านนาน ๆ ผักกาดจะได้มีเพื่อน ไม่เหงาตอนคุณแม่ไปทำงานคุณหมอชื่อดังเถียง

เห็นผู้ใหญ่ตัวโต ๆ เถียงกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้แล้วเอื้อกานต์ก็อดขำไม่ได้ ภาพในความคิดขณะอ่านเรื่องราว บทความเกี่ยวกับดอกเตอร์ M ในหนังสือ กับตัวจริงที่ได้พบ ผิดกันเป็นคนละคน

ถ้าผักกาดไม่เป็นอะไร ก็กลับบ้านได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวคุณหมอจะปิดคลินิกแล้ว

เอื้อกานต์ตัดบทสนทนา เพราะคิดว่าทีเกื้อน่าจะใกล้มาถึง

คุณหมอจะไปไหนคะ ผักกาดถาม

หมอมีนัดจ้ะ คุณหมอสาวตอบตามตรง

กับผู้ชายตัวโต ๆ รูปหล่อ ๆ ที่โรงพยาบาลเหรอคะ ผักกาดจำทีเกื้อได้

ชั่วขณะนั้น เอื้อกานต์เห็นแววตาผิดหวัง เสียดาย ผ่านวูบในดวงตาของน้าชายเจ้าตัวเล็ก

จ้ะ...น้องชายคุณหมอเอง นัดกันว่าจะไปทำธุระ ที่จริงเอื้อกานต์ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับเด็กหญิงขนาดนั้นก็ได้ แต่เพราะแววตาวูบนั้นของชายหนุ่ม ทำให้อดไม่ได้ ต้องพูดให้กระจ่าง ชัดเจน

ซึ่งเห็นผล...ดวงตาของเขาเป็นประกายกลับมาทันที

ปกติที่นี่มีหมอกี่คนครับ คำถามฟังดูกระตือรือร้น

มีคนเดียวค่ะเอื้อกานต์ตอบ เป็นอาจารย์หมอ แต่ตอนนี้ท่านไปสัมมนา ดิฉันเลยมาทำแทนชั่วคราว

คนไข้เยอะมั้ยครับ

ก็พอสมควรค่ะ

คุณหมอทำคนเดียวไหวเหรอ

ก็ทำเท่าที่ทำได้นั่นแหละค่ะ

ให้ผมมาช่วยมั้ย

หา... เอื้อกานต์อุทานอย่างแปลกใจ ส่งผลให้ดวงตาเรียวรีนั้นมีรอยยิ้มระยับขึ้น

ผมพูดจริงนะครับ เขายิ้มอย่างจริงใจ แล้วหยิบกระดาษปากกาบนโต๊ะมาเขียนชื่อ เบอร์โทรศัพท์ยื่นให้ นี่ครับ...ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของผม...ถ้าคุณหมอต้องการให้มาช่วยเมื่อไหร่ ก็โทรตามได้เลย ช่วงนี้ผมว่าง นอนอยู่บ้านเฉย ๆ เหมือนเจ้าผักกาดนินทานั่นแหละ

พูดจบก็อุ้มเจ้าตัวเล็กลงจากตักเอื้อกานต์

ผักกาด...สวัสดีลาคุณหมอได้แล้ว...เดี๋ยวเราค่อยมาใหม่วันหลังนะ

ผักกาดไหว้พร้อมกับยิ้มสวย นัยน์ตาพราวระยับคลับคล้ายดวงตาของน้าชาย



สองน้าหลานออกจากคลินิกไปแล้ว เอื้อกานต์ถึงเข้าใจเจตนาการมาครั้งนี้ของสองน้าหลาน นับว่าเป็นความเข้าใจที่ออกจะช้าไปสักเล็กน้อย

ปกติหนุ่ม ๆ ที่มาจีบเอื้อกานต์ ไม่เคยมีใครใช้เด็กบังหน้ามาก่อน แถมเด็กคนนั้นก็คุ้นเคยกับหล่อนเสียด้วย กว่าจะรู้ตัวก็ได้เบอร์โทรศัพท์ของเขามาแล้ว

น่าแปลก ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น เอื้อกานต์คงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ หรือนามบัตรสวยหรูของพวกเขาไปแล้ว แต่กับชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ เป็นระเบียบแบบนี้ เธอกลับมองมันด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ในใจรู้สึกถึงความเบิกบานบางอย่าง ที่ไม่แสดงออกมานานหลายปี

ความรู้สึกนั้น ทำให้เอื้อกานต์มองเห็นรอบตัวสว่างไสวขึ้นมา



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



ความรู้สึกของเอื้อกานต์เช่นนี้ เชื่อมต่อกับทีเกื้อโดยไม่ตั้งใจ

นายตำรวจหนุ่มกำลังขับรถมากับสัตตบงกช เกือบถึงคลินิกคนยาก ในใจก็สัมผัสกับความเบิกบานจากใจเอื้อกานต์ เป็นความรู้สึกสวยงามที่หญิงสาวเคยมีแค่ครั้งเดียว ตอนที่เริ่มรู้จักกับทรงกลด

เจอหนุ่มที่ไหนมาน่ะเอื้อ ทีเกื้ออดไม่ได้ที่จะรีบส่งสัญญาณทางใจไปถาม

ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ย เสียงตอบสวนมาเกือบจะทันที

ทีเกื้อหัวเราะเบา ๆ นึกถึงหน้าพี่สาวตอนนี้ได้

พี่เกื้อหัวเราะอะไรคะ สัตตบงกชเอ่ยถาม สัญญาณการติดต่อจึงขาดหาย

หัวเราะเอื้อ...แต่ในใจกำลังนึกสงสารไอ้นภ

พูดอะไรคะ หนูดีไม่ยักเข้าใจ

ทีเกื้ออมยิ้ม เขาเชื่อว่าวันนี้เอื้อกานต์น่าจะเจอผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกดี ใกล้เคียงกับการเจอทรงกลดครั้งแรก ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่เคยเกิดขึ้นยามอยู่ต่อหน้านภ เพื่อนของเขาเลย

กลับจากทำบุญให้แม่คราวนี้...ทีเกื้อคงต้องหาวิธีช่วยให้นภตัดใจจากพี่สาวเขาอย่างเด็ดขาดเสียทีแล้ว

หิวมั้ย ทีเกื้อถามหญิงสาวในรถแทนการอธิบายเรื่องที่เขาตอบได้ยาก

นิดหน่อยค่ะ สัตตบงกชตอบ

ทีเกื้อหยิบถุงกระดาษที่มีโลโก้ของโดนัทชื่อดังติดอยู่ยื่นให้

ขอบคุณค่ะ

หญิงสาวรับมา แล้วรู้สึกว่าของในถุงน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าโดนัท จึงหยิบมาออกมาดู พบกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงบุผ้านุ่ม

รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าหญิงสาว

มีโดนัทเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วยหรือคะ หล่อนถาม

รุ่นพิเศษน่ะ อยู่ในกล่อง ต้องเปิดดูเอาเอง ทีเกื้อเหลือบตามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ในกล่องนั้นเป็นแหวนทองสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษสวยงาม S-T สัตตบงกช ทีเกื้อ

ขอบคุณค่ะ คำตอบราบเรียบ ฟังดูปกติจนฝ่ายชายร้อนใจ กระวนกระวายเอง

อะไร...แค่ขอบคุณเอง เขาบ่น

อ้าว...จะให้หนูดีพูดอะไรล่ะคะ

ก็... ทีเกื้อชักขัดใจ พอเหลือบเห็นรอยยิ้มที่มุมปากหญิงสาวก็เข้าใจทันที

ก็... ทีเกื้อพูดย้ำคำเดิม ริมฝีปากมีรอยยิ้มกริ่ม

จังหวะที่รถจอด ติดไฟแดง เขาก็หันหน้าไปจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเธอ...

ก็...น่าจะทำแบบนี้ไงจ๊ะ...

รอยยิ้มจากริมฝีปาก และดวงตากระจ่างใส บอกแทนความจริงใจ แทนคำพูดนับร้อยพัน

ใบหน้าสัตตบงกชมีรอยซ่านแดงจาง ๆ พูดอะไรไม่ออก สัมผัสจากใจถึงใจ มันล้นขึ้นมาถึงหัวอก แหวนที่กำอยู่ในมือ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับหัวใจอันอบอุ่นด้วยความรัก จากผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

ก่อนที่เราจะไปหาคุณแม่...พี่ก็อยากแสดงให้หนูดีมั่นใจในความรู้สึกของพี่จริง ๆ เพราะพรุ่งนี้ พี่อยากจะสวมแหวนวงนี้ให้หนูดีต่อหน้ารูปของคุณแม่ กับคุณตา...ให้ท่านทั้งสองเป็นพยานหมั้นของเรา...

สัตตบงกชพูดอะไรไม่ออก ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกตันที่ลำคอ หยาดน้ำใส ๆ เอ่อคลอนัยน์ตาคู่สวย หัวใจเต็มอิ่ม เบิกบานไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถแล่นไปข้างหน้า ในขณะที่มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มยังเกาะกุมมือเรียวบางของหญิงสาวเอาไว้ เสมือนสัญญาจากใจ จะไม่มีวันทอดทิ้งกัน...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



ทรงกลดยืนอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามคลินิกคนยาก อาศัยหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้า ขณะรถของทีเกื้อแล่นมาจอด

เขาเห็นสองหนุ่มสาวลงจากรถ เข้าไปในคลินิกคู่กันด้วยสีหน้าแช่มชื่น มีความสุข

รอยยิ้มผุดบนใบหน้าทรงกลดจาง ๆ เชื่อว่าอีกไม่นานเขาคงได้ยินข่าวดี

ครู่หนึ่งก็มองเห็นทีเกื้อ สัตตบงกช ออกมาจากคลินิกพร้อมกับเอื้อกานต์

หัวใจทรงกลดเจ็บแปลบ กึ่งสุข กึ่งเศร้า ฝืนยืนมองจนกระทั่งรถยนต์แล่นจากไป

จำใจต้องยอมรับ...เขาทำได้แค่นี้ แค่มองดูเอื้อกานต์อยู่ห่าง ๆ ซุกงำพลังของตนไม่ยอมให้สองพี่น้องฝาแฝดสัมผัส รู้สึกได้ว่าเขายืนอยู่ใกล้ ๆ



ถ้าจะมีเรื่องราวดี ๆ ใดที่ได้กระทำในยามชีวิตอยู่ในเงามืดเช่นนี้ ก็คงเป็นการแอบช่วยเหลือมูลนิธิทรงพลอย่างลับ ๆ

หลักฐาน หลายชิ้น ที่ช่วยให้เหล่าจำเลย แพะหลายรายพ้นข้อหา ล้วนเป็นฝีมือช่วยเหลือจากเขา...จากปณิธานที่เคยบอกต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า...

ผมจะเป็นตัวแทนกฎแห่งกรรม ในด้านช่วยเหลือคนดียามเขามีภัย ให้พ้นภัย ไม่ต้องรับผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์วาจาของเขาแล้ว

ทว่า...สิ่งนั้นเป็นการชดเชยบาปจากการสังหารชีวิตผู้คนของเขาหรือไม่?

...ไม่...

บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ต่างมีวาระให้ผลของมัน

ใช่ว่าความดีที่เขากระทำ จะล้างบาปผิดจากการฆ่าคนได้!

ทรงกลดเข้าใจ และยอมรับผลของมัน

ถึงเขาจะไม่ยอมติดคุก ชดใช้ความผิดตามกฎหมาย แต่ชีวิตที่อยู่ในเงาเช่นนี้ แทบไม่ต่างอะไรจากอยู่ในกรงขัง

คนที่ติดคุก ยังมีโอกาสได้พบปะ พูดจากับครอบครัว คนรักได้ ตัวเขากลับไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว...ตายไปจากโลกเดิม ๆ ของตน ตายไปจากเพื่อนฝูงครอบครัวสังคม และกำลังจะตาย...จากความทรงจำของผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิต

หากถามว่าเขาพอใจกับชีวิตเช่นนี้หรือไม่...

เขาคงตอบไม่ได้...แต่ถามว่า...ถ้ามีโอกาสเลือกใหม่อีกครั้ง...เขาจะเลือกเดินเส้นทางใด?

เขาคงยอมรับ...ด้วยสภาพการณ์ที่เจอ และจิตใจในปัจจุบัน...เขาก็คงเลือกอย่างเดิม

ไม่มีเรื่องราวใดสมบูรณ์ดีพร้อม...ไม่มีใครได้ทุกอย่างตามใจต้องการ

ทรงกลดเลือกที่จะสละอดีต ตัวตนเดิม ๆ เพื่อความสุขในปัจจุบันของผู้หญิงที่เขารัก...

นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาพอใจที่สุดแล้ว



มันเป็นความรู้สึกของทรงกลดในปัจจุบัน...มันไม่ใช่ความสุข และไม่ถึงกับเป็นทุกข์นักหนา

เขาแค่ พอในสิ่งที่เป็น ในเส้นทางที่ดำเนิน รู้อยู่แค่ปัจจุบัน และหากจะมีความสุขใดที่ทำให้หัวใจเขาเบิกบาน ความสุขนั้นก็เกิดจากการได้เห็นรอยยิ้มของเอื้อกานต์

...แม้ว่ามันจะเป็นการได้เห็นจากระยะแสนไกลก็ตามที...



จบบริบูรณ์






แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP