วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๙


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๕



             ครบสัปดาห์แรกของการฝึกฝนที่ห้องอสรพิษ

             ในวันแรก ๆ ทรงกลดสามารถฝึกอยู่ในห้องนี้ได้ครั้งละสองสามชั่วโมง แล้วออกมาพัก ก่อนเข้าไปฝึกต่อ พอถึงวันหลัง ๆ เขาสามารถเพิ่มเวลาในห้องนี้ได้คราวละสี่ห้าชั่วโมงขึ้นไป

             จนวันสุดท้ายของสัปดาห์ เขาสามารถฝึกสมาธิ ทบทวนอาคม แผ่อำนาจสะกดฝูงงูได้ยาวนาน ติดต่อกันถึงสิบห้าชั่วโมง กำลังค่อยอ่อนลง

             นอกห้องอสรพิษ อากาศปลอดโปร่ง ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจตั้งมั่นมีกำลัง มองกลับไปในห้องนั้นเห็นงูหลายตัวเซื่องซึม หมดแรง บางตัวนอนนิ่งสลบไสล ดูก็รู้ว่าพวกมันหมดสภาพจะกระตุ้นให้เขาเกิดความกลัวได้อีก ห้องนี้น่าจะหมดความจำเป็นแล้ว

             ชายหนุ่มเดินมาหยิบน้ำบนโต๊ะไปดื่ม มีเศษกระดาษเล็ก ๆ เขียนตัวหนังสือไม่กี่คำด้วยลายมือของอาจารย์วางอยู่ที่นั่น

             ภารกิจต่อไป...น้ำ!”

             ทรงกลดดื่มน้ำจนหมดขวด ร่างกายกระปรี้กระเปร่า จิตแวบรู้ถึงสถานที่อีกแห่ง ซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินนี้ มันถูกเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่สองของเขาแล้ว

             แค่หลับตา ภาพของสถานที่ สิ่งของประกอบการฝึกฝนก็กระจ่างชัด กำลังสมาธิเขาเข้มแข็ง ทรงตัวนาน มีกำลังหนักแน่นพอที่จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งได้รู้

             ความหวาดหวั่น พรั่นพรึงไม่บังเกิดในความรู้สึก ชายหนุ่มเดินออกจากห้องโดยไม่แยแสต่อทุกสิ่งเบื้องหลัง ความมืดสลัวภายนอกไม่เป็นอุปสรรคอย่างใด เส้นทางที่จะพาไปสู่จุดต่อไปชัดเจน เขาก้าวเดินไม่ลังเล




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             แท็งก์น้ำขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า มันอยู่ในห้องกว้างไม่ไกลจากห้องเดิมนัก นอกแท็งก์ต่อท่อนำน้ำเข้าและออกพร้อมสรรพ

             ฝาแท็งก์เปิดรอ มีบันไดพาดพร้อมให้ปีนขึ้นไป ทรงกลดก้าวขึ้นบันไดด้วยความรู้สึกเฉยชา ไม่หวาดกลัว ไม่ยินดี

             กำลังสมาธิจากการฝึกฝนเป็นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อให้จิตใจตั้งมั่น จดจ่อเคล้าเคลียกับมนตรา ไม่ซัดส่ายง่ายดาย เห็นอุปสรรคตรงหน้าเป็นแค่เครื่องมือแห่งการฝึกฝน ไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การหวาดกลัว

             ไม่นาน เขาเข้ามานั่งขัดสมาธิอยู่กลางแท็งก์ที่ปิดทึบ ด้านบนมีช่องน้ำเข้า ส่วนด้านล่างมีท่อปล่อยน้ำออก ทั้งหมดถูกควบคุมจากภายนอก

             ทันทีที่เขาอยู่ในท่าเหมาะสม ฝาแท็งก์ก็ปิดดังปัง น้ำจากท่อด้านบนไหลพรั่งพรู หนักหน่วง รุนแรง กระหน่ำใส่ศีรษะ ความมืดมิดปรากฏเป็นฉากกั้น

             น้ำมีความเย็นผ่านผิวชวนสั่นสะท้าน ความมืดรอบกายยิ่งเน้นให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ระดับน้ำในแท็งก์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว อีกไม่นานคงมิดหัว เต็มแท็งก์

             ทรงกลดสูดลมหายใจยาวลึกติดกันหลายครั้ง เพื่อให้มีอากาศเข้าปอดมากที่สุด จนระดับน้ำสูงเลยไหล่ เขาก็หยุด ระบายลมหายใจยาว แล้วสูดเข้าเพียงเล็กน้อย

             ด้วยสมาธิที่ยังมีหลงเหลือ จึงไม่ยากที่จะทำให้จิตรวมตัวได้เร็ว ลมหายใจแผ่วเบาลง แผ่วเบาลง กระทั่งไม่เหลือลมหายใจ ร่างกายปรับสภาพด้วยการหายใจทางผิวหนังแทน

             วินาทีนั้น น้ำก็ท่วมถึงจมูก และมิดหัวในเวลาไม่ถึงนาที ร่างกายจมอยู่ในน้ำอันเย็นเฉียบ ล้อมรอบด้วยบรรยากาศอันมืดมิด

             น้ำเต็มแท็งก์ก็หยุดไหล ความเงียบอันน่าสะพรึงบังเกิดขึ้น ทรงกลดนั่งนิ่งท่ามกลางความมืดมิด เงียบกริบ หนาวเย็น และถูกห้อมล้อมกดดันด้วยปริมาณน้ำจำนวนมหาศาล

             ความมืด ความเงียบเป็นกำแพงกั้นไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินอะไร เขาจึงหลับตาส่งสัมผัส ความรู้สึกเข้าไปในร่างกาย รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของกระแสเลือด การขยับตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การไหลของน้ำย่อยในกระเพาะ รับรู้การทำงานของกล้ามเนื้อภายในกายที่ขยับตัวเป็นจังหวะของมันเอง

             ในใจเกาะติด ควบแน่นอยู่กับอาคม มนตราทั้งหมดที่เคยฝึกฝน มันถูกทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุด ณ จุดนี้ ไม่มีทางอื่นให้เลือก นอกจากใช้สติสมาธิทั้งมวลจดจ่อกับอาคมที่เคยร่ำเรียน เพราะยามใดที่เผลอไผล ขาดช่วง เว้นวรรค ร่างกับสมาธิไม่อาจรักษาสมดุล เขาก็ไม่อาจทนทานอยู่ในน้ำได้อย่างปกติ

             ร่างกายไม่อาจหายใจทางผิวหนัง พลังน้ำ ความเย็นเฉียบจะแทรกซึมเข้ามาทำร้าย จนไม่อาจรอดชีวิต

             นี่คือเส้นทางการฝึกฝนอันแสนหฤโหด ยากลำบากของฮันเตอร์ คิม

             ทรงกลดรู้ว่าชายคนนี้เคยร่ำเรียนสรรพวิชาเร้นลับมาจากทั่วโลก เท่าที่เจ้าตัวเปิดเผยก็คือ...

             วัยเด็กฮันเตอร์ คิมเคยฝึกสมาธิแบบฤๅษีที่อินเดีย โตมาก็ศึกษาลัทธิมนต์ดำของวูดู เวทย์มนต์ของเหล่าแม่มดอันลี้ลับ คำสาปของพวกยิปซี ข้ามฝั่งมาเรียนเรื่องจุด เส้น ศาสตร์การแพทย์โบราณของจีน วิชาไสยดำ การเล่นของแบบเขมร และอีกหลายอย่างที่ทรงกลดไม่รู้

             ฮันเตอร์ คิมเป็นอัจฉริยะที่เรียนวิชาเหล่านั้นจนชำนาญในระยะเวลาอันสั้น แล้วเขาก็หลอมรวมวิชาอาคม มนต์ดำ ศาสตร์เร้นลับต่าง ๆ มาเป็นวิชาของตนเอง มีรูปแบบการฝึกฝนเฉพาะตัว ยากที่ใครจะเรียนรู้ได้ง่าย ๆ

             แค่ที่ทรงกลดเจอ ยังไม่ใช่ความลำบากที่สุดในการฝึกฝน...สิ่งที่ยากกว่านี้ยังรอเขาอยู่เบื้องหน้า




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อรู้สึกตัวตอนเช้า ได้ยินเสียงแกรกกรากของผ้าม่านที่เลื่อนมาปิดเตียงคนป่วย ลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างค่อนข้างจัดตา ยกนาฬิกาดู เป็นเวลาสายมากแล้ว

             เวลานี้พยาบาลจะเข้ามาช่วยพลิก และเช็ดตัวคนป่วย ทีเกื้อขยับตัวหย่อนขาลงพื้น ตั้งใจออกไปรอนอกห้อง สายตากระทบกับกล่องข้าวจัดเป็นชั้นวางบนโต๊ะใกล้ม้ายาวที่เขานอน

             ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดู กลิ่นหอมของอาหารโชยแตะจมูก พอเปิดออกแยกชั้นมาเห็นข้าว กับข้าววางเรียงแต่ละชั้นเป็นระเบียบ สวยงาม ที่สำคัญ อาหาร กับข้าว ขนมทุกอย่างในนั้น เป็นของโปรดเขาทั้งสิ้น

             ทีเกื้อปิดฝา วางมันไว้ที่เดิม รู้ว่าใครนำมาให้...

             ใจหนึ่งเกิดความยินดี อบอุ่น ซาบซ่าน อีกใจเกิดอาการเจ็บปวด อยากผลักไส

             ม่านบังเตียงเลื่อนออก ทีเกื้อหันไปมอง ตั้งใจยกกล่องอาหารชุดนั้นให้พยาบาลที่มาเช็ดตัวให้เอื้อกานต์

             อ้าว...เอ่อ... คำพูดเขาสะดุดลง เมื่อเห็นคนที่อยู่หลังผ้าม่านไม่ใช่พยาบาล

             หนูดี!”

             หญิงสาวมองเขาอย่างไม่แปลกใจ ยิ้มอ่อน ๆ ราวเห็นเป็นเรื่องปกติ

             พอดีวันนี้มีคนป่วยฉุกเฉินเข้ามาหลายราย หนูดีเลยรับอาสาพยาบาลที่นี่มาเช็ดตัวให้พี่เอื้อแทน

             ขอบใจนะ... ทีเกื้อไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านี้ คำพูดที่ตั้งใจยกกล่องข้าวคืนให้เจ้าตัว กลับตีบตันในลำคอ พูดไม่ออก

             สัตตบงกชมองกล่องข้าวที่ตนเองวางไว้บนโต๊ะ เห็นร่องรอยขยับ เปิดออก ก็ทราบว่าอีกฝ่ายคงดูแล้ว

             ช่วงนี้พี่เกื้อผอมไปนะคะ หนูดีเลยทำข้าวกล่องมาฝาก น่าจะอร่อยกว่าร้านข้าวแกงในโรงพยาบาลแน่ ๆ

             ทีเกื้อมองหญิงสาวด้วยแววตาหนึ่ง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าสบตอบด้วย หญิงสาวจึงแกล้งเลี่ยง ด้วยการขอตัวออกจากห้อง

             เดี๋ยวหนูดีขอตัวไปดูอาการคุณหญิงก่อนนะคะ ใกล้เวลาท่านจะตื่นแล้ว พูดจบก็ขยับตัวไปทางประตู

             หนูดี ชายหนุ่มรั้งไว้

             คะ หญิงสาวชะงัก หันมาส่งเสียงเชิงถาม

             ขอบใจนะ...สำหรับข้าวกล่อง เขาพูดแล้วหยุดชั่วขณะ นึกหาถ้อยคำนุ่มนวล เหมาะสม ไม่ทำร้ายจิตใจฝ่ายตรงข้าม แต่...คราวหน้าไม่ต้องลำบากหรอก พี่กินง่าย ๆ ข้าวแกงแถวนี้ก็พอแล้ว

             สัตตบงกชยิ้ม...ยิ้มด้วยนัยน์ตาหล่อรื้นหยาดน้ำใส ๆ

             หนูดีไม่รับปากได้มั้ยคะ...หนูดีทำ เพราะอยากทำ...พี่เกื้อเคยบอกหนูดีไม่ใช่หรือคะว่า...ข้าวกล่องของหนูดีอร่อยมาก...ได้กินแล้วมีแรง มีกำลังใจต่อสู้กับทุกเรื่อง...หนูดีอยากให้พี่เกื้อเข้มแข็ง มีเรี่ยวแรง กำลังใจมากกว่านี้ค่ะ

             พูดจบก็หันหลัง เดินจากไป

             ทีเกื้อสัมผัสกล่องข้าวนั้น รู้สึกถึงความอบอุ่นจาง ๆ ความจริงใจของคนทำซึมซ่านเข้าสู่หัวใจ

             ถึงจะรู้ว่าไม่ถูกต้องนัก...ทีเกื้อก็ยังอยากให้ความอบอุ่น ความรู้สึกจริงใจเช่นนี้ยังอยู่กับเขา...อย่าได้เปลี่ยนแปลงไปเลย




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             สัตตบงกชก้าวเท้ายาว ๆ เดินรวดเร็วกลับห้องคุณหญิงด้วยหัวใจเต้นตึกตัก ริมฝีปากสั่น น้ำตาเอ่อคลอแทบหยดไหล

             ในที่สุด...หล่อนก็พูดออกไปแล้ว...ได้ทำสิ่งที่ต้องการทำเสียที...

             ทีเกื้อไม่รู้หรอกว่า ข้าวกล่องชุดนั้น เธอต้องรวบรวมกำลังใจ ความกล้าเป็นสัปดาห์ กว่าจะทำออกมา แล้วนำไปวางบนโต๊ะใกล้ที่นอนของเขา

             พอได้ยินคำปฏิเสธอย่างที่คิดว่าจะได้ยิน หัวใจหล่อนก็ร่ำร้องให้ตอบโต้ไปอย่างที่ใจต้องการ

             ที่ทำทั้งหมด อาจไม่มีประโยชน์ใดเลยก็ได้ แต่หากไม่ทำมันเสียเลย จิตใจคงอัดอั้น กระวนกระวาย บางสิ่งในใจก็ยังไม่ถูกสะสางเสียที

             ทีเกื้อไม่รู้เลยว่า ทุกครั้งที่หล่อนมาเห็นเขานอนเฝ้าเอื้อกานต์เพียงเดียวดาย ปฏิเสธความหวังดีของใคร ๆ ใจหล่อนก็ทุกข์ทรมานตามไปด้วย

             อยากช่วยเหลือ อยากอยู่ใกล้ อยากร่วมซึมซับความโดดเดี่ยว เดียวดายจากเขา อยากให้เขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนเป็นห่วงเขากับเอื้อกานต์อีกมาก

             หากเขาจะยอมเปิดใจออกมาดู...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ข้าวกล่องยังไม่เปิด ทีเกื้อเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเอื้อกานต์ มองใบหน้าพี่สาวด้วยความรู้สึกอยากพูด อยากระบาย เอื้อมมือไปกุมมือคนป่วย ขยับปากจะบอกความในใจ... แต่ทว่าสัมผัสที่ได้รับเย็นชืดกว่าปกติ ขยับตัวลุกขึ้นดูสีหน้าพี่สาว เห็นร่องรอยเป็นสีเทาจัดตากว่าเดิม

             ชายหนุ่มสะกดกลั้นความกลุ้มใจของตนเองลงไป ปล่อยใจให้ว่าง สัมผัสมือต่อมือเป็นแรงเหนี่ยวให้เกิดสติ กำหนดแสงสว่างที่กลางอก แล้วค่อย ๆ ปล่อยให้มันไหลผ่านมือตนเข้าสู่มือเอื้อกานต์ทีละน้อย

             พิษอาคมที่ยังค้างคาในร่างหญิงสาว จะกำเริบจนทำให้เสียชีวิตภายในหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นมันจะค่อย ๆกระจายขึ้นมาทีละน้อยทุกวัน ทีเกื้อต้องคอยใช้พลังของตนกดข่มมันไว้ ไม่ให้แผ่ซ่านเต็มที่ อย่างน้อยก็พอช่วยชะลอเวลาไปได้

             นี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องคอยอยู่เฝ้าเอื้อกานต์ชนิดออกห่างไปไหนไกลไม่ได้ทีเดียว

             พิษอาคมถูกสะกดลงไปอย่างยากลำบาก เหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากชายหนุ่ม นับวัน พิษที่เหลือยิ่งมีกำลังกล้ามากขึ้นทุกที สะกดระงับยากกว่าเดิม อีกทั้งยังแผ่ซ่าน กำเริบแบบไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนอีกด้วย

             สีหน้าเอื้อกานต์ดีขึ้น เงาสีเทาจางลงจนมองเกือบไม่เห็น ทีเกื้อปล่อยมือ แล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตนเองพลางถอนใจยาว

             เป็นยังไงบ้างเอื้อ...พอสู้ไหวมั้ย ชายหนุ่มถาม

             พี่กลดไม่ติดต่อมาเลย...ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง

             ขณะพูด ใจที่ระลึกถึงทรงกลดก็มีอาการวูบไหว คล้ายรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หนักหน่วง

             แต่เกื้อก็เชื่อนะ ว่าพี่กลดจะรักษาสัญญา...ไม่เกินสามสัปดาห์

             ถึงแม้เขาจะเห็นทรงกลดเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งใบหน้าที่กลายเป็นอีกคน ความเลือดเย็น ความรู้สึกที่แผ่รังสีดำทะมึนน่ากลัว แต่เขาก็เชื่อในความรัก เชื่อว่าความรักที่ทรงกลดมีต่อเอื้อกานต์ จะเป็นแสงสว่างเดียวที่จะฉุดให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

             ใบหน้าทีเกื้อละมุนลง นัยน์ตามองกล่องข้าวที่วางข้าง ๆ

             เอื้อว่า เกื้อควรกินข้าวที่หนูดีทำมาให้มั้ย เขาถามราวกับอีกฝ่ายจะให้คำตอบได้

             ถ้าเกื้อกินข้าวกล่องนี้...มันจะผิดต่อพี่ภูมิมั้ยเอื้อ... นี่เป็นความรู้สึกที่ค้างคาใจเขา

             ทีเกื้อรู้ว่าธีรภูมิไม่มีทางรักสัตตบงกชได้อย่างที่เขารัก...ต่อให้เขาและหญิงสาวกลับมารักกันเหมือนเดิม ธีรภูมิก็จะไม่เจ็บช้ำ ไม่รู้สึกโดนหักหลัง อาจแสดงความยินดีด้วยซ้ำ แต่ทีเกื้อก็ทำไม่ได้

             เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องรักสามเส้า...มันเป็นเรื่องของเหตุผล และความถูกต้อง!

             คุณหญิงอัปสรประณามแม่เขามาตลอดว่าเป็น นังเมียน้อย เป็นหญิงชู้ที่มาแย่งความรักจากสามีตน...ซึ่งทีเกื้อก็ยอมรับว่ามันเป็นความจริง...ความจริงที่เจ็บปวด ฝังใจเขามาตลอด

             เขาจึงปฏิญาณกับตนเองว่า จะไม่ทำแบบนี้กับใครเด็ดขาด

             บางที...ถ้าหากธีรภูมิเป็นชายแท้ มีความรักให้สัตตบงกชแค่หนึ่งในสิบของที่เขามี ทีเกื้อจะสามารถตัดใจจากสัตตบงกชได้เด็ดขาด ไม่ยอมให้ความรู้สึกฝ่ายต่ำเข้ามารบกวนจิตใจอีก และจะยอมหลีกเลี่ยง ไม่เจอหน้าหญิงสาว จนกว่าหัวใจจะเป็นปกติ

             แต่นี่...เขารู้...ธีรภูมิไม่มีวันรักสัตตบงกช รู้ว่าการหมั้นหมาย แต่งงานเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง และรู้...หญิงสาวจะไม่มีวันมีความสุขเลย หากเข้าประตูวิวาห์

             เพราะรู้...ใจจึงตัดไม่ขาด

             เพราะรู้...หัวใจจึงลังเลนัก

             ไม่อาจใช้ความเด็ดเดี่ยวที่เคยมี เข้าประหารหัวใจ ความคิดฝ่ายชั่วให้ขาดลงได้อย่างเคย

             เพราะหัวใจยังลังเลนี่เอง เขาจึงต้องถามย้ำกับเอื้อกานต์ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางให้คำตอบได้



             เอื้อ...แค่กินข้าวกล่องครั้งนี้ ถือว่ารักษาน้ำใจหนูดี...คงไม่ใช่ความผิดใช่มั้ย

             เอื้อกานต์ไม่ตอบ ต่อให้เธอฟื้นขึ้นมาก็คงยังไม่ตอบอยู่ดี...เพราะรู้ว่าน้องชายมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

             ทีเกื้อเลื่อนโต๊ะมาใกล้ หยิบกล่องข้าวแต่ละชั้นมาเปิด วางเรียงตรงหน้า รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนหวานปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก

             ในความทรงจำยังแว่วเสียงใส ๆ ที่ตนเองไม่เคยลืมเลือน

             ข้าวกล่องนี้ หนูดีทำสุดฝีมือเลยน้า...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำให้ใครสักที...อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าพี่เกื้อกินไม่หมด หนูดีโกรธจริง ๆ ด้วย



             ตอนนั้นเขาอยากหยอกล้อกลับไปว่า...ไม่เห็นอร่อยเลย...แต่เพราะรักนะเนี่ย ถึงต้องกินให้หมด...

             ทว่า...เมื่อข้าวคำแรกเข้าปาก เขาก็ต้องหยุดคำพูดเหล่านั้นไว้ที่ริมฝีปาก เพราะความจริงใจของคนทำ มันชัดเจนอยู่ในรสชาติที่ติดปลายลิ้น

             ดวงตาที่จ้องแป๋วมองเขาอย่างกระตือรือร้นจะฟังคำตอบนั้น ทำให้พูดอะไรไม่ออก นอกจากบอกสั้น ๆ

             อร่อยมากจ้ะ

             หนูดียิ้มแก้มปริ...รอยยิ้มของเธอส่งผ่านมาถึงใบหน้าเขาด้วย...และรอยยิ้มในวันนั้น ก็กำลังปรากฏบนใบหน้าทีเกื้อในเวลานี้ด้วยเช่นกัน




- - - -   - - -   - - -  - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ในน้ำที่มืดมิด เย็นเฉียบ เวลาเคลื่อนผ่านช้า ๆ โดยผู้อยู่เบื้องล่างไม่อาจรับรู้

             ทรงกลดตอบตนเองไม่ได้ว่าจมอยู่ใต้น้ำแบบนี้มากี่วันแล้ว แต่ละวันจะมีการถ่ายน้ำออกให้พักผ่อน แล้วกลับเข้าไปในแท็งก์ใหม่ โดยช่วงเวลาเหล่านั้นไม่เคยเท่ากันเลย

             ที่นี่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ชีวิตถูกควบคุมด้วยการฝึกฝน ตามโปรแกรมของอาจารย์ ผู้ซึ่งไม่ปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง

             ทรงกลดรู้ตัวว่าแข็งแกร่งขึ้น พลังฟื้นฟูกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมองเห็นเส้นทางใหม่ ที่ตนสามารถกระโดดก้าวข้ามไปยังอีกจุดที่สูงกว่าเดิม...เป็นจุดหมายที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมองเห็นมันได้

             เขาจึงคร่ำเคร่งฝึกฝน ช่วงเวลาใต้น้ำถูกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเจ้าตัวก็รู้สึกได้...กระทั่งครั้งนี้ เขารู้ว่า เวลามันนานเกินไปแล้ว...นานกว่าทุกครั้งที่ตนเองลงมาฝึกฝน

             จิตที่รวมเป็นสมาธิคลายออกเล็กน้อย รับรู้ถึงความกดดันของน้ำรอบตัว ความเย็นอันหนาวเสียดกระดูก เขาหันกลับไปใส่ใจกับบทมนตราที่สวดในใจ กำหนดให้เห็นเป็นภาพตัวหนังสือวิ่งผ่านหน้า ที่กึ่งกลางหน้าอกรู้สึกถึงพลังงานที่ถูกเติมเข้ามาเรื่อย ๆ

             นาน...กว่าที่เคยนาน กำลังสมาธิอ่อนตัว คลายลงจนเกือบเหมือนคนปกติ ผิวหนังไม่อาจกรองอากาศเข้ามาได้ ร่างกายถูกกดดันจากพลังน้ำมากขึ้น อีกทั้งยังต้องการอากาศกว่าเดิม

             ทรงกลดรู้ว่าร่างกายเริ่มขาดออกซิเจน จึงพยายามกดข่ม ตั้งมั่น ประคองร่างกายให้นิ่ง ไม่ดิ้นรน กระเสือกกระสนออกจากแท็งก์ รักษาจิตใจไม่ให้หวั่นไหว ถึงอย่างนั้น ร่างกายที่ต้องการออกซิเจนก็เริ่มแสดงอาการอึดอัดทุกข์ทรมานอยู่ภายใน เกิดความกระสับกระส่ายหนักแทบทนไม่ไหว

             เขาเห็นความตายอยู่ไม่ไกล บางขณะที่สติหลุด ความรักตัวกลัวตายก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ส่งเสียงปีศาจในใจให้ดิ้นรน ตะเกียกตะกายออกไปหาทางเอาชีวิตรอด

             ตาย...ต้องตายแน่ ๆ...เสียงปีศาจดังก้องในหัว สั่นคลอนสมาธิที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยให้แตกซ่าน ผลักดันให้ร่างที่สงบนิ่งเริ่มจะขยับตัว

             ไม่! อีกเสียงในใจประกาศก้อง เด็ดเดี่ยว

             ตายเป็นตาย มาถึงตอนนี้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่น...ถ้าจะตายก็ขอตายอย่างคนกล้า ไม่ใช่คนขลาดเขลา...ถ้าจะเป็นศพ ก็ขอให้เป็นศพที่คนเห็นแล้วศรัทธา ไม่ใช่ศพที่มองแล้วชวนน่าสมเพช

             หากไม่สามารถผ่านด่านนี้ได้...ก็ยอมตาย

             อีกแค่เพียงปลายเส้นด้าย สัญญาณชีพจะขาดผึง น้ำก็ถูกปล่อยออก ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างทรงกลดยังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิไม่ต่างจากภูเขาหินไม่โยกคลอน

             ฝาแท็งก์เปิดออก แสงสว่างราง ๆ ส่องเข้ามา ชายหนุ่มลืมตา เงยหน้าขึ้นมอง เรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือ ที่สามารถยันร่างนั่งอยู่ได้ก็ด้วยแรงใจอันหนักแน่นของตน

             เงาร่างของฮันเตอร์ คิมโผล่ขึ้นมาเหนือแท็งก์ คำพูดเรียบลึกดังขึ้น

             ผ่านด่านนี้แล้ว...เหลือแค่ด่านสุดท้าย ถ้าผ่านมันไปได้...แกจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป

             ทรงกลดหลับตา ยอมรับสภาพ ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดช้า ๆ แต่ละด่านเพิ่มความยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด่านสุดท้ายคืออะไร?

             น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่สามารถมองเห็นมันล่วงหน้าได้ คล้ายอาจารย์จงใจปกปิด เพื่อต้องการเป็นผู้นำเขาไปเห็นด้วยตนเอง




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คุณหญิงอัปสรยังอยู่ในโรงพยาบาล สภาพร่างกายโดยรวมไม่น่าเป็นห่วง แต่หมอและครอบครัวต้องการให้เธอพักผ่อน ดูแลสุขภาพอยู่ที่นี่อีกสักระยะ

             ไม่ต้องห่วงเรื่องงานนะครับแม่ เดี๋ยวผมจะดูแลบริษัทให้ รับรองไม่เจ๊งแน่ ธีรภูมิรับปากหนักแน่น

             คุณหญิงค่อยคลายใจ ที่จริงเธออยากหาเวลาพักผ่อนเหมือนกัน เมื่อได้โอกาสเช่นนี้เธอจึงทำเฉย ไม่ปฏิเสธคัดค้านคำสั่งของหมอ

             ยังมีอีกเหตุผล ที่คุณหญิงอยากอยู่โรงพยาบาล เป็นเหตุผลที่เธอไม่กล้าบอกใคร นั่นคือ...เธอกำลังหาโอกาสไปเยี่ยมเอื้อกานต์ ลูกสาวของผู้หญิงที่เธอเกลียดชังที่สุดคนหนึ่ง

             บางสิ่งกระตุ้นรุมเร้าจนจิตใจคุณหญิงอึดอัด กระสับกระส่าย เหมือนมีอะไรคาใจ หากไม่ทำอะไรบางอย่าง เธอคงรู้สึกค้างคา เป็นปมในใจที่ยากคลี่คลาย

             ภาพในฝันมันชัดเจน เหตุการณ์เรื่องราวที่ได้รับรู้หลังจากตื่นยิ่งยืนยันชัด

             เอื้อกานต์...นังเด็กคนนั้น ใช้ชีวิตตนเอง ช่วยชีวิตหล่อน จนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา!

             คุณหญิงไม่เคยรับบุญคุณจากใคร ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร พอต้องมารับบุญคุณจากคนที่เธอเกลียด จึงทำใจไม่ถูก ไม่รู้ควรทำตัวอย่างไร ไม่รู้จะปฏิบัติตัวต่อฝ่ายตรงข้ามแบบไหน



             เช้านี้คุณหญิงตั้งใจไปเยี่ยมดูอาการเอื้อกานต์

             เวลาเช้าขนาดนี้ คงยังไม่มีใครมาโรงพยาบาล อาการคุณหญิงไม่จำเป็นต้องมีพยาบาลพิเศษคอยเฝ้าดูแลเหมือนก่อน เธอจึงออกจากห้องคนป่วยโดยไม่มีคนรับรู้ สนใจ

             คุณหญิงรู้จักห้องเอื้อกานต์จากการสอบถามพยาบาล แต่กว่าจะทำใจกล้าออกจากห้องมาแบบนี้ ก็ใช้เวลาหลายวันเต็มที

             ประตูห้องเอื้อกานต์อยู่ข้างหน้า คุณหญิงลังเลใจชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าเจ้าน้องชายฝาแฝดปากเสียคู่ปรับของเธอยังอยู่เฝ้าพี่สาวของมันหรือไม่

             พอดีเห็นสัตตบงกช ว่าที่ลูกสะใภ้คุณหญิงเดินเปิดประตูเข้าไปก่อน มือถือของลักษณะคล้ายกล่องข้าวเป็นชั้น ๆ เข้าไปด้วย

             คราวนี้คุณหญิงก้าวตามจนยืนอยู่หน้าห้องโดยไม่ลังเล

             ประตูส่วนบนเป็นช่องกระจกใส มองเห็นภายในห้องคนป่วย ภาพที่อยู่ในนั้นปรากฏแก่สายตาคุณหญิง

             สัตตบงกชกำลังยื่นกล่องข้าวให้ทีเกื้อด้วยใบหน้า ดวงตาแจ่มจรัสอย่างที่คุณหญิงไม่เคยเห็นเธอมองบุตรชายตนมาก่อน ส่วนทีเกื้อรับข้าวกล่องมา ไม่แสดงความรู้สึกใด เพียงแค่ขยับริมฝีปากบอกขอบคุณ แล้ววางมันบนโต๊ะ ดูไม่มีอะไรน่าสะดุดใจ

             ไม่มีอะไรจริงหรือ?

             สัญชาตญาณผู้หญิงบอกคุณหญิงว่าสิ่งที่เห็นมีอะไรมากกว่านั้น ความเป็นผู้หญิงด้วยกันทำให้มองสัตตบงกชออก กิริยา ท่าทาง สายตาที่มองทีเกื้อแบบนั้น มันแทบทำให้คิดในแง่อื่นไม่ได้เลย

             คุณหญิงเกิดโทสะในใจ ความลังเลที่จะเยี่ยมเยียนเอื้อกานต์หายไป เธอผลักประตูเปิดออก ก้าวเข้าห้องด้วยมาดนางพญา ตรงมาหาสองหนุ่มสาวพร้อมแววตาพุ่งตรงไม่ต่างจากคมหอกแหลมยาว

             คุณหญิง สัตตบงกชอุทานกึ่งตกใจ เอ่อ...คุณหญิงต้องการอะไรหรือเปล่าคะ

คุณหญิงกวาดตามองว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยแววตาที่ทำให้อีกฝ่ายหนาว ๆ ร้อน ๆ

             ฉันมาเยี่ยมคนป่วย พูดพร้อมเดินตรงไปที่เตียง

             เป็นยังไงบ้าง? คุณหญิงถามลอย ๆ สายตามองเห็นหญิงสาวคนป่วยมีสีหน้าค่อนข้างเผือด รอยสีเทาจาง ๆ ปกคลุม ไม่ต่างจากที่เธอเห็นในความฝัน

             ยังทรงอยู่ค่ะ สัตตบงกชตอบ ทีเกื้อเลี่ยงไปยืนข้างหน้าต่างแสดงกิริยาไม่สนใจ

             คุณหญิงมองตามร่างชายหนุ่ม แล้วตวัดสายตากลับมายังว่าที่ลูกสะใภ้ ดวงตาคู่นั้นฉายถึงความเท่าทัน รู้ลึกถึงความรู้สึกหญิงสาวตรงหน้า

             หมอเขาบอกว่าเป็นอะไร คุณหญิงถามไม่เจาะจงเช่นเคย

             อาการเหมือนเจ้าหญิงนิทราค่ะ หมอยังหาสมมุติฐานของโรคไม่ได้ สัตตบงกชตอบ

             ทีเกื้อทอดสายตามองออกนอกหน้าต่าง ขบริมฝีปากแน่น อยากโพล่งวาจาใส่หน้าคุณหญิงด้วยซ้ำ ว่าที่เอื้อกานต์ต้องมีอาการแบบนี้เป็นเพราะใคร?

             คุณหญิงเห็นกิริยา แววตาชายหนุ่มก็พอเดาออก คนเคยเห็นกันมาหลายปี ตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นวัยรุ่น ประฝีปากกันมาตั้งเท่าไหร่...ทำไมถึงจะไม่รู้ ชายหนุ่มต้องการพูดอะไร

             ขณะมองใบหน้าเอื้อกานต์ เห็นลักษณะอาการแบบนี้ ส่วนลึกในใจคุณหญิงเกิดความรู้สึกผิด แต่พอเลื่อนสายตามองเห็นหนุ่มสาวทั้งสองในห้อง พร้อมข้าวกล่องบนโต๊ะ จิตใจก็หงุดหงิด มีโทสะ

             พาฉันกลับห้องหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย คราวนี้คุณหญิงเจาะจงพูดกับสัตตบงกช

             ทีเกื้อเหลียวกลับมามอง น้ำเสียง กิริยาคุณหญิงส่งสัญญาณบางอย่าง ที่คนคุ้นเคยอย่างเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

             คุณหญิงเห็นเขากับสัตตบงกชอยู่ในห้องสองต่อสอง และอาจเห็นตอนหญิงสาวเอาข้าวกล่องมาให้เขาด้วย... รู้อย่างนี้ชวนให้นึกเป็นห่วง

             ชายหนุ่มขยับเท้าเตรียมจะก้าวตามสองหญิงต่างวัยออกไป แต่ต้องชะงัก ถอนใจยาว...

             บางที...ถ้าเขาอยู่นิ่ง ๆ น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าเข้าไปคอยปกป้องเธอ

             คุณหญิงกำลังสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสัตตบงกช ยิ่งเขาตามไปปกป้อง ออกรับแทน เท่ากับยืนยันความสัมพันธ์ ทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม

             สุดท้าย ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเอื้อกานต์ ส่งคำถามถึงพี่สาวในใจ

             เกื้อทำถูกแล้วใช่มั้ยเอื้อ...

             ในใจไม่มีคำตอบ มีแค่เหตุผลว่าไม่ควรไป เพราะรังแต่จะกระตุ้นโทสะคุณหญิงเปล่า ๆ คนที่โดนเต็ม ๆ คือสัตตบงกช

             ถึงเข้าใจอย่างนั้น ส่วนลึกกลับร่ำร้อง ดิ้นรนให้อยากตามไปช่วย อยากไปขวางกั้น ไม่ให้คุณหญิงทำร้ายผู้หญิงที่เขารักด้วยวาจา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP