วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๒


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงบอกต่อ ๆ กันว่าประธานในพิธีและภริยามาถึงแล้ว...

             ออกไปรอรับคุณพ่อคุณแม่กันเถอะ ธีรภูมิพูดพลางแตะข้อศอกหญิงสาวเบา ๆ

             สองหนุ่มสาวเข้าไปอยู่ในแถวรอรับประธาน...ไม่นานก็เห็นแสงแฟลชสว่างวาบ ๆ เสียงอื้ออึง ทักทายดังมาเป็นระยะ พร้อมกับการปรากฏตัวของท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ และคุณหญิงอัปสรผู้เป็นภริยา

             ทั้งสองโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางผู้คนที่เข้ามาห้อมล้อม นักข่าวรุมมาถ่ายรูป สัมภาษณ์ ทำให้การเดินเข้างานล่าช้าไปบ้าง

             ธีรภูมิเห็นอย่างนั้นแล้วอดถอนใจไม่ได้...นับจากวินาทีนี้ไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง...เขาไม่กล้าคาดเดา




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๑๙



             หลังประตูบานสีขาวมีอะไร?

             ภายในบ้านหลังใหญ่ เพดานสูง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านที่มีราคาแพงโดนยกออกไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลือคือความว่างโล่ง วังเวง แดดยามบ่ายส่องลอดช่องระบายลมเข้ามาจับฝุ่นที่ลอยฟุ้ง

             บนพื้นมีฝุ่นจับหนา สามารถสังเกตเห็นรอยเท้าย่ำเป็นทางบนกองฝุ่นนั้นชัดเจน

             รอยเท้าที่ทีเกื้อมองหาไม่เห็นจากบริเวณรอบบ้าน รอยเท้าที่ยืนยันว่า ที่นี่ต้องมีใครสักคนล่วงหน้ามาถึง หรืออาจใช้สถานที่นี้หลบซ่อนตัวจริง ๆ

             นายตำรวจหนุ่มเดินตามรอยเท้านั้นไปเรื่อย ๆ มันไม่ได้พาเขาขึ้นบันไดชั้นบน กลับวกมาทางด้านหลังของตัวบ้าน บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ซ่านมาจาง ๆ

             รอยเท้านำเขาไปยังหลังบานประตูที่เปิดแง้ม ชายหนุ่มหรี่ตาระแวงชั่วขณะ ก่อนผลักบานประตูก้าวตามอย่างไม่นึกเกรง

             อากาศในห้องเย็นกว่าด้านนอก แสงสว่างกระจ่างชัดตา ผนังด้านหนึ่งเป็นชั้นโล่ง อาจเคยวางหนังสือ หรือโชว์ของประดับมีค่ามาก่อน ส่วนผนังอีกด้านโล่งว่าง พื้นผนังเป็นสีซีด ตุ่น ๆ ภายในห้องโล่ง ไม่มีข้าวของอะไร

             รอยเท้าค่อนข้างจาง มีหลายรอยดูสับสน เหมือนเจ้าของจะเดินไปเดินมาอยู่ในนี้จนยากกำหนดทิศทาง

             ทีเกื้อค่อย ๆ สังเกตรอยเท้าบนพื้น สลับกับเคาะผนังว่าง กวาดสายตาดูชั้นหนังสือในแต่ละช่อง เห็นมีฝุ่นจับหนา กำลังมองผ่านไปสำรวจตรงจุดอื่น พอดีสังเกตเห็นช่องหนึ่งฝุ่นบางกว่า หนำซ้ำมีรอยมือปรากฏ

             ชายหนุ่มเข้าไปมองมันอย่างพิจารณา นอกจากรอยมือแล้ว ยังมีปุ่มนูนโผล่ออกมา หากไม่ดูใกล้ ๆ จะไม่สามารถมองเห็น

             เขาลองกดปุ่มนั้นแรง ๆ แล้วจับขยับเลื่อนไปมา ตอนแรกปุ่มไม้ค่อนข้างแข็งไม่ขยับตามมือ จนในที่สุด มันลงล็อกพอดี ปุ่มยอมเลื่อนตามมือ พร้อมเสียงดังครืด ครืดจากพื้นด้านหลัง

             บนพื้นหน้าผนังฝั่งตรงข้าม กำลังเลื่อนออก ปรากฏช่องเล็ก ๆ ความกว้างขนาดพอดีให้คนตัวใหญ่สามารถเดินลงไปได้สะดวก

             ทีเกื้อถอนใจ ขมวดคิ้ว สัญชาตญาณเตือนถึงอันตรายเบื้องล่าง ความเย็นแปลก ๆ ไหลออกมาจากช่องนั้น รวมกับบรรยากาศรอบตัวชวนให้รู้สึกยะเยือก น่าขนลุก

             ...ถึงมีอันตราย ก็ต้องลองเสี่ยงลงไป...นายตำรวจบอกต่อตนเอง

             มือล้วงลงในกระเป๋า หยิบถุงยาสมุนไพรแก้มนต์สะกดออกมา หยิบยาใส่ปากสองเม็ดแล้วก้าวไปยืนอยู่เหนือช่องลับนั้น

             เบื้องล่างมีบันไดทอดลงไปสู่ความมืด แสงสว่างบนห้องช่วยพอให้เห็นพื้นข้างล่างเพียงรำไร ความเย็นแผ่ขึ้นมาปะทะหน้า กลิ่นฉุนที่คุ้นเคยโชยแทรกมาจาง ๆ ทีเกื้อเทยาทั้งถุงใส่มือ แล้วกรอกเข้าปากทั้งหมด

             ...เป็นไงเป็นกัน...ต่อให้เป็นกับดักก็ต้องเสี่ยงลงไปดู...

             จากนั้นหยิบไฟฉายปากกามาจากกระเป๋า ส่องนำลงไปข้างล่าง กวาดแสงดูคร่าว ๆ ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติ จึงก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง

             แต่ละก้าว...แต่ละก้าวชวนให้เกิดความเครียด เขม็งตึงทุกขณะ บันไดทอดยาวสู่พื้น ความเย็นหนาแน่นขึ้น กลิ่นยาฉุนรุนแรงจนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาคาดปิดจมูก

             ถึงพื้นเบื้องล่าง ส่องไฟฉายกราดทั่ว มองหาสิ่งมีชีวิต หรืออันตรายใดที่จะโผล่มาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

             ที่นี่ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่แอบซุ่มทำอันตรายแก่คนแปลกหน้า

             มันเป็นห้องใต้ดินไม่กว้างนัก ใช้เก็บของเก่าวางระเกะระกะไปทั่ว ด้านที่อยู่ใกล้ช่องลมเป็นพื้นโล่ง มีการปัดกวาดเรียบร้อย หลอดไฟเก่าติดบนผนัง กับเสาบางต้นสภาพฝุ่นจับเขรอะ ไม่มีใครใช้งานเป็นปี ๆ บ้านนี้น่าจะถูกตัดไฟมานานแล้ว

             ทีเกื้อพบตะเกียงดวงหนึ่งวางอยู่มุมห้อง สภาพของมันดูใหม่ ปลายไส้มีรอยดำ เพิ่งผ่านการใช้งาน พอยกขึ้นเขย่าได้ยินเสียงกระฉอกของน้ำมันภายใน จึงวางลงยกแก้วครอบตะเกียงออก หยิบไฟแช็กในกระเป๋ามาจุด แสงสว่างค่อยเรื่อเรือง ขับไล่ความมืดออกไป

             นายตำรวจหนุ่มวางตะเกียงไว้บนโต๊ะกลางห้อง มองไปตามผนังรอบ ๆ พบด้านหนึ่งมีรอยดำติดอยู่ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ค่อยเห็นชัดว่าเป็นรอยไหม้ของบางสิ่ง มีเศษขี้เถ้าติดจาง ๆ

             เขากวาดสายตา สนใจพื้นโล่งที่มีการปัดกวาดใกล้ช่องลม แสงสว่างส่องให้เห็นผ้าผืนใหญ่พับเรียบร้อย ซึ่งน่าจะใช้ปูนอน วางกองข้าง ๆ กับกระเป๋ากล้องสีดำใบใหญ่ที่ตนเองเคยเห็นในนิมิต

             นัยน์ตาฉายแววยินดี เข้าไปก้มลงหยิบมันขึ้นมา ตั้งใจเปิดค้นดูภายใน...แต่แล้วศีรษะก็มึนวูบ เข่าอ่อนทรุดฮวบ กลิ่นฉุนที่สัมผัสตอนแรกมันรุนแรงขึ้น ความหนาวเย็นรอบตัวเริ่มแผ่ซ่านจับกระดูก

             อะไรบางอย่าง ที่ปกคลุมห้องนี้ กำลังเพิ่มปริมาณความรุนแรงกว่าเดิมนับสิบเท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที!

             ชายหนุ่มเกร็งมือจับกระเป๋า พยายามลุกขึ้น แข้งขากลับไม่ทำตามคำสั่ง ต้องนั่งแปะลงกับพื้น สายตาพร่าเลือนริบหรี่ ตั้งสติใช้จิตสัมผัสบรรยากาศทั้งหมดในห้อง หาที่มาของเหตุเปลี่ยนแปลงนี้

             ความเย็นเฉียบ และกลิ่นยาฉุนจมูกเป็นยาสลบที่ถูกกำกับด้วยอาคมร้าย แต่เขาสามารถป้องกัน ต้านทานมันได้แล้วด้วยยาสมุนไพรของคุณตา

             เหตุใดมันจึงทวีความรุนแรงขึ้นมากมายโดยไม่มีสาเหตุ...

             ต้องมีสิ...ต้องมีสาเหตุ...

             ทีเกื้อวางใจนิ่ง หลับตา รับรู้ถึงแสงสว่างจากตะเกียง ไม่นานความเข้าใจก็บังเกิดขึ้น

             ตะเกียง...ตะเกียงดวงนั้นเองคือคำตอบ

             แรกที่เขาลงมา มีการวางยาสลบพร้อมม่านอาคมอยู่แล้ว ที่ทนทานไหวเพราะอาศัยยาของคุณตาช่วย พอจุดตะเกียงขึ้นมา ความรุนแรงของยาสลบก็มากกว่าเดิม แสดงว่าตะเกียงดวงนี้มีปัญหา ในน้ำมันนั้นอาจมีตัวยาเร่งผสม ไม่ก็แสงไฟจากตะเกียงสามารถเร่งเร้าความแรงของยา ให้รุนแรงกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

             ทีเกื้อรู้แต่แรกว่าที่นี่มีกับดัก เขามั่นใจว่าเอาตัวรอดได้ เพื่อลงมาหาหลักฐาน เพียงคาดไม่ถึง กับดักจะถูกวางไว้หลายชั้น คิมคำนวณแบบไม่ยอมให้ผิดพลาด เพื่อกักขังเข้าไว้ในนี้จนไม่อาจไปช่วยพ่อได้

             คิมคาดไม่ถึงแค่อย่างเดียว คือไม่รู้ว่าเขามียาแก้การสะกด อีกทั้งยังไม่คิดว่าเขาจะกินมันทีเดียวหมดถุง

             นายตำรวจหนุ่มกัดฟัน คว้าสายกระเป๋ากล้องมาสะพายคล้องไหล่ คืบคลานไปที่ตะเกียง สติวูบวาบ ดับ ๆ หาย ๆ พอถึงก็ฝืนเอื้อมมือไปไขไส้ตะเกียงลงจนมิด

             ทั้งห้องมืดมิด กลิ่นยา บรรยากาศอาคมไม่รุนแรงกว่าเดิม สายตาคุ้นชินกับความมืด อาศัยแสงที่ส่องมาจากช่องทางออก พอจับทิศทางไปที่บันไดได้ ค่อย ๆ ตะเกียกตะกายอย่างช้า ๆ จนถึง จากนั้นก็เหนี่ยวตัวคลานขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเล แข้งขาแทบไม่ยอมทำตามคำสั่ง

             ทีละขั้น ทีละขั้น เหมือนช่องทางออกข้างบนจะอยู่สูงเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มเกือบหน้ามืด หมดสติหลายครั้ง พยายามฝืนกาย ฝืนใจกัดฟันทน เกาะบันไดแล้วคืบตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่ยอมทำตามคำสั่ง สติเหลือเพียงน้อยนิด คอยควบคุมสั่งการตนเองอย่างเข้มงวด ไม่ยอมให้หยุดพัก

             ความหนาวเย็นม้วนตัวเป็นวง โอบรัดร่างจนหนาวสั่นระริก อีกไม่กี่ขั้นจะถึงทางออก ทีเกื้อรู้สึกกระแสความเย็นบิดตัวเป็นเกลียว ม้วนพันรัดดึงขาของเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้หลุดรอดจากห้องนี้ได้

             ทีเกื้อตั้งสติมั่น รวบรวมกำลัง ความรู้สึกเข้าเป็นหนึ่ง กำหนดให้กลางอกเป็นจุดศูนย์รวม บังเกิดขุมพลัง ความอบอุ่นขึ้นมาหล่อเลี้ยง แล้วซึมซ่านทั่วร่างกาย

             กระแสความเย็นที่บีบรัดค่อยคลายตัวลง ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งมวลดึงตัวเองขึ้นมาจากช่องลับ นอนแผ่อยู่กลางห้องจนสำเร็จในที่สุด

             ปลดผ้าเช็ดหน้าที่ปิดจมูกออก หอบหายใจถี่ เรี่ยวแรงค่อยคืนกลับตามแขนขา กลิ่นยาฉุน ๆ เบาบาง ความเย็นคลายตัว แผ่กระจายออก ไม่หนาวเสียดกระดูกเหมือนตอนอยู่ในห้องใต้ดินนั้น

             ทีเกื้อขยับตัวชิดผนัง ยันกายขึ้นนั่ง มองกระเป๋ากล้องที่สะพายติดตัว ถอนใจหนัก ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรง จิตใจจะเปิดมันออกมาดู มือเกาะผนังอาศัยพิงตัว ขยับยืน แล้วค่อย ๆ เดินป้อแป้ แข้งขาอ่อน พยายามออกจากบ้านหลังนี้อย่างเร็วที่สุด

             เขายังมีเวลาเปิดดูของในกระเป๋า แต่ไม่สามารถกลับลงไปหาหลักฐานอื่นเพิ่มเติมในเวลานี้ได้อีก

             สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือ รีบออกจากบ้าน ไปงานคอนเสิร์ตให้เร็วที่สุดเท่านั้น




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คอนเสิร์ตเริ่มแล้ว...

             เสียงปรบมือเกรียวกราวหลังจากท่านรัฐมนตรี ประธานในงานกล่าวเปิดงานเสร็จเรียบร้อย คณะผู้จัดงาน และผู้ใหญ่ต่างทยอยลงจากเวที ปล่อยหน้าที่ให้พิธีกรดำเนินงานต่อไป

             ธีรภูมิ สัตตบงกช และเอื้อกานต์นั่งเก้าอี้ด้านหลังท่านประธาน ระหว่างรอผู้ใหญ่เดินลงจากเวทีมานั่งประจำที่ ธีรภูมิก็เอี้ยวตัวไปกระซิบถามน้องสาว

             เกื้อติดต่อกลับมาหรือยัง

             เอื้อกานต์หยิบโทรศัพท์มาดู ทั้งที่รู้มันไม่มีสัญญาณเรียกเข้า

             ยังค่ะ ตอบอย่างนี้ยิ่งทำให้พี่ชายกระวนกระวายใจ

             ธีรภูมิถอนใจหนัก มองบิดามารดาเข้ามานั่งประจำที่ด้วยแววตาหนักใจ

             ถ้ามีอะไรฉุกเฉิน พี่ต้องพึ่งเอื้อแล้วล่ะนะ

             ได้ค่ะพี่...เอื้อไม่ปล่อยให้พ่อเป็นอะไรแน่

             นัยน์ตาดอกเตอร์หนุ่มยังไม่คลายจากความกังวล

             สัญญาได้มั้ยว่ายังไงก็จะช่วย

             แน่นอนค่ะ วางใจได้

             เอื้อกานต์เอื้อมมือบีบมือพี่ชาย ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจ...ขณะมือสัมผัสมือ ความรู้สึกในใจบอกต่อหล่อนว่า...คำรับรองของตน แทบไม่ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นเลย




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ก่อนเริ่มคอนเสิร์ต ทีเกื้อยังอยู่บนรถ ซึ่งติดการจราจรอันคับคั่งบนถนนกรุงเทพ เขาพยายามโทรศัพท์หาเอื้อกานต์และธีรภูมิหลายครั้ง แต่ไม่ติด เครื่องของเขาไม่มีสัญญาณ ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไปอยู่จุดใดของถนน

             ตอนออกจากบ้านหลังสีขาว ทีเกื้อไม่เห็นลุงคนดูแลบ้านแล้ว เขารีบตะเกียกตะกายออกจากบ้าน ทั้งที่สภาพร่างกายไม่อำนวย

             กว่าจะขึ้นรถมาได้แทบหมดแรง ฝืนขับออกจากที่นั่นได้ไม่กี่ร้อยเมตร ก็เกิดอาการผะอืดผะอม ต้องรีบจอดรถลงไปอาเจียนที่ข้างทางเสียแทบหมดไส้หมดพุง รู้สึกเหมือนยาสมุนไพรที่กินเข้าไป กับปริมาณยาสลบที่ได้รับมันจะตีกันจนร่างกายปั่นป่วน รับไม่ไหว

             อาเจียนเสร็จก็ลากสังขารกระปลกกระเปลี้ยขึ้นรถ เตรียมจะขับต่อ แต่ร่างกายดื้อด้าน ไม่ยอมทำตามคำสั่ง มันอ่อนเพลียเสียจนไม่มีแรงทำอะไร ไม่ต่างจากตุ๊กตาหมดลาน สติดับวูบ สลบไสลบนรถโดยไม่รู้ตัว



             ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแสงแดดอ่อนโรย บอกเวลาเย็น ร่างกายได้พักผ่อนมีเรี่ยวแรงกำลัง สติปัญญากระปรี้กระเปร่า ยกนาฬิกาขึ้นดูแทบตาเหลือก...มันใกล้เวลาเริ่มคอนเสิร์ตแล้ว

             เตรียมสตาร์ทรถ สายตาเหลือบเห็นกระเป๋ากล้องที่นำมาด้วยกำลังเปิดอ้า ใจหล่นวูบ มั่นใจว่าระหว่างที่สลบไสล ต้องมีใครแอบมารื้อกระเป๋าค้นเอาหลักฐานสำคัญไปแน่ ๆ

             สงสัยแค่ว่า...ทำไมมันไม่เอากระเป๋าไปเลย ทิ้งไว้ที่นี่ทำไม?

             หรือว่ามีบางสิ่ง...ที่มันอยากให้เขารู้...

             ทีเกื้อคว้ากระเป๋ากล้องมาเปิดออก มองดูของที่อยู่ภายใน ก่อนล้วงเข้าไปหยิบมันออกมาทั้งปึก

             มันเป็นเอกสาร ข้อมูลเกี่ยวกับคดีท่านทรงพลที่เขาเคยไปค้น เสาะหามาจากที่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเคยอ่านมาหมดแล้ว

             ถึงอย่างนั้นก็มีเอกสารบางชิ้นที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนกองรวมอยู่ในนี้ด้วย

             ทีเกื้อแยกเอกสารที่ตนไม่เคยอ่านออกมาสองสามฉบับ นั่งอ่านรายละเอียดอย่างตั้งใจ ใช้เวลาชั่วครู่ในการประมวลผล วิเคราะห์ พอความเข้าใจภาพรวมเกิดขึ้นก็ต้องสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาเบิกกว้าง คาดไม่ถึง ใจเต้นรัวแรงบอกไม่ถูก

             เอกสารที่ได้นอกจากจะบอกถึงเหตุเชื่อมโยงไปสู่เหยื่อรายที่หกของคิมแล้ว ยังประกาศชัดแบบกราย ๆ ด้วยว่า เหยื่อรายที่เจ็ดของคิมเป็นใคร!

             เหยื่อรายที่เจ็ดเป็นบุคคลที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน

             พอสรุป ประมวลผลจนเกิดความเข้าใจจากเอกสารที่ได้รับเพิ่มเติม รวมกับเอกสารเก่า ๆ ที่เคยอ่านมาทั้งหมด ทีเกื้อก็ได้ข้อสมมุติฐานในการแก้ปมปัญหาเรื่องคดีของท่านทรงพลทันที

             ถ้าข้อสมมุติฐานนั้นเป็นจริง เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม...ท่านทรงพลถึงต้องตาย...ใครคือตัวการแท้จริงเบื้องหลังการระเบิดของเครื่องบินลำนั้น

             ทีเกื้อขบริมฝีปาก ครุ่นคิดชั่วขณะ หรี่ตาก่อนตัดสินใจ กดโทรศัพท์หาใครบางคน...ปรากฏว่าเครื่องไม่มีสัญญาณ เขามองรอบตัว คิดว่าที่นี่คงอับคลื่น จึงสตาร์ทรถและขับมุ่งหน้าไปศูนย์ประชุมฯ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานคอนเสิร์ต

             ระหว่างทางก็กดโทรศัพท์ซ้ำ ๆ หาคนหลายคนรวมทั้งเอื้อกานต์ และธีรภูมิ ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถติดต่อใครได้สักคน คล้ายตนเองตกอยู่ในแดนสนธยา ไม่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์

             พอติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้ ทีเกื้อก็สำรวมจิต ส่งสัญญาณบอก ข่าวสำคัญ บางอย่างแก่เอื้อกานต์ แต่จิตใจเขาว้าวุ่น ร้อนรน กระวนกระวายมากเกินไป จึงไม่อาจเชื่อมต่อจิตใจ ส่งข่าวไปได้

             ความว้าวุ่นนี้ทั้งเกิดจากการได้รับข้อมูลเกินคาด และจากฤทธิ์ยาสลบที่ยังไม่คลายเต็มที่ มีผลให้สติมึน เบลออยู่บ้าง

             บุคคลที่จงใจทิ้งหลักฐานให้เขานั้น แค่ต้องการให้เขา รู้ ไม่ได้ต้องการให้ติดต่อ บอกข่าวแก่ใคร เหมือนต้องการประลองกำลังฝีมือแบบตัวต่อตัว ด้วยเงื่อนไขสำคัญสองข้อ...

             ข้อแรก...เขาสามารถช่วยเหยื่อรายที่หกได้หรือไม่

             ข้อสอง...เขาจะป้องกันอันตรายแก่เหยื่อรายที่เจ็ดได้อย่างไร

             หลังจากบอกสถานที่ เวลาในการสังหารเหยื่อรายที่หกไปแล้ว ฝ่ายนั้นก็ประกาศท้าทายเขาอีกครั้ง ด้วยการให้ข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยง บอกชัดว่าใครคือเหยื่อรายที่เจ็ด รวมถึงชี้เบาะแส ภาพรวมของเบื้องหลังการ ล้ม ท่านทรงพลอย่างชัดเจน

             ทีเกื้อไม่แน่ใจว่า ฝ่ายนั้น มั่นใจฝีมือตนเองเหลือล้น หรือกำลังเล่นเกมหยอกล้อเขาอย่างสนุกสนานกันแน่

             มันอาจคิดว่าเขาเป็นเด็กน้อย ไร้เดียงสา ไม่มีความสามารถกระมัง

             พอมั่นใจว่าโทรศัพท์ยังไงก็ไม่ติด นายตำรวจหนุ่มก็โยนเครื่องทิ้งไว้ที่เบาะข้างตัว เหยียบคันเร่งเร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงงาน ขัดขวางฆาตกรอย่างเร็วที่สุด

             ทั้งที่รู้ การจราจรกรุงเทพในเวลานี้ มันติดแสนสาหัสขนาดไหน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คอนเสิร์ตอัญมณีวันวาน เป็นคอนเสิร์ตการกุศลที่รวบรวมบทเพลงไทยในอดีต มาขับขานโดยนักร้องหลายรุ่น หลายสมัย บรรเลงโดยวงดนตรีคลาสสิกเต็มวง

             บทเพลงเก่าฟังไพเราะ ดนตรีขับกล่อมหวานแว่ว พาผู้คนในฮอลล์ดื่มด่ำสู่ห้วงภวังค์แห่งคีตาวันวาน ย้อนผ่านกาลเวลาด้วยบทเพลง ดนตรีอันแสนหวาน

             ธีรภูมิฟังเพลงแทบไม่รู้เรื่อง เขาพยายามสูดลมหายใจยาวลึก แล้วระบายออกมาเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจอันหนักอึ้งให้บรรเทาลง สายตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนคอยจับตามองบุพการีด้วยความเป็นห่วง

             เอื้อกานต์ผ่อนคลายร่างกาย จิตใจเป็นปกติ ความที่เป็นคุณหมอ ผ่านงานห้องฉุกเฉินมาแล้ว ทำให้มีสติ ตั้งมั่น พร้อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสงบเยือกเย็น

             กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด คุณหมอไม่กังวลมากความ รักษาสติ สมาธิอยู่กับปัจจุบัน จนพรักพร้อม ไม่ว่า ฝ่ายนั้น จะมาในรูปแบบไหน ล้วนไม่ใช่ปัญหาสำคัญ

             สัตตบงกชรู้ว่าสองคนที่นั่งใกล้ อยู่ในสภาพผิดจากคนฟังเพลงทั่วไป คนหนึ่งกระวนกระวายใจแต่พยายามกดข่ม ระงับไว้ ส่วนอีกคนถึงปล่อยตัวตามสบาย ก็ยังมีลักษณะคล้ายนายทหารพร้อมรบ ที่สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว หากมีสิ่งใดผิดปกติ ก็พร้อมลุยทันทีโดยไม่แตกตื่น ลนลาน

             หญิงสาวไม่รู้ว่าในงานนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น...เมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้หล่อนรับรู้ ย่อมหมายความว่า ตนเองไม่สามารถช่วยอะไรได้ ถึงรู้ก็ไม่มีประโยชน์...สิ่งที่ควรทำคือไม่เซ้าซี้ ร่ำไร อยากรู้อยากเห็น แค่ทำตัวไม่ให้เป็นภาระตอนเกิดสถานการณ์ร้ายแรงก็พอแล้ว

             คิดแล้วอดยิ้มอย่างน้อยใจตัวเองไม่ได้ คนภายนอกมักมองว่า สัตตบงกช อดีตพิธีกรชื่อดัง เป็นผู้หญิงสวย ความรู้สูง ชาติตระกูลดี มีความสามารถ ได้คู่หมั้นเป็นหนุ่มไฮโซ ฉลาด หล่อ รวย

             ผู้หญิงหลายคนอยากมี อยากเป็นเช่นนี้

             จะมีสักกี่คนรู้...ภาระรับผิดชอบที่ผู้หญิงอย่างเธอต้องแบกรับ ความหวานอมขมกลืนที่ต้องเผชิญ

             นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งงาน ก็มีเรื่องให้อดทน อดกลั้นขนาดนี้ หากเข้าสู่ชายคาคฤหาสน์ เป็นสะใภ้รัฐมนตรีเต็มตัว...สิ่งที่จะเผชิญในวันข้างหน้า จะลำบากยากเย็นเพียงไร



             เสียงเพลงไพเราะ หวานเศร้าบาดลึกถึงหัวใจ ฟังแล้วน้ำตาจะไหล ทั้งที่เนื้อหาเพลงไม่เกี่ยวกับชีวิตตนเองสักนิด ต่างจากเพลง น้ำตาแสงไต้ บทเพลงในความทรงจำ บทเพลงที่สร้างรำลึกอ่อนหวานอันงดงาม แม้มันจะบาดหัวใจเหลือเกิน กับท่อนที่บอกว่า...

             ...ไม่อยาก...พรากขวัญภิรมย์...จำใจข่ม...ใจไปจากนวล...

             ทำไมหล่อนจะไม่รู้ พี่เกื้อ เจ็บปวดแค่ไหนที่จำใจต้องเลิกกัน ล่ำลาทั้งที่ต่างฝ่ายก็ยังรัก และไม่มีใครทำอะไรผิดเลย

             เขาเจ็บ...เธอก็เจ็บ...

             แต่หล่อนเลือกที่จะเจ็บ เพราะจำเป็นต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว

             สัตตบงกชมองเวทีคอนเสิร์ตด้วยหัวใจเลื่อนลอย ฟุ้งซ่าน จนบทเพลงเดิมจบไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว มีนักร้องหนุ่มคนใหม่ขึ้นมาบนเวทีแทน แล้วอินโทรบทเพลงใหม่ก็เริ่มต้น

             เสียงขึ้นอินโทร และน้ำเสียงขับขานจากนักร้องหนุ่มรุ่นใหม่ ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์

             ...นวล...เจ้าพี่เอย...คำน้องเอ่ยล้ำ คร่ำครวญ...

             ...เพลงน้ำตาแสงไต้...

             น่าขัน...เมื่อครู่หล่อนกำลังคิดถึงเพลงนี้อยู่ชัด ๆ ผ่านไปไม่ถึงนาที ก็ได้ยินบทเพลงที่พาให้หัวใจร้าวรานเสียแล้ว




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อมองขบวนรถติดด้วยอารมณ์หงุดหงิด รำคาญใจ ถอนใจหลายเฮือก หยิบโทรศัพท์มาดูก็ยังไม่ปรากฏมีขีดสัญญาณ ลองเสี่ยงโทรออกก็ได้รับผลเหมือนเดิม ต้องโยนโทรศัพท์ไว้บนเบาะอย่างโมโห

             หงุดหงิด กระวนกระวาย ขยับไปขยับมา ก้นแทบไม่ติดเบาะ มองถนนรถราแล้วต้องถอนใจอีกเฮือก ลองสูดลมหายใจยาวลึก แล้วปล่อยออก ก่อนส่งสัญญาณหาเอื้อกานต์ ก็ยังไร้ผล ใจเขาร้อนรน ไม่มีกำลัง เหมือนเครื่องส่งแบตเตอรี่อ่อน ไม่สามารถส่งสัญญาณได้

             เปลี่ยนมาใช้นิ้วมือเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะถี่ ๆ อาศัยความเคลื่อนไหว ขยับนิ้วช่วยขับไล่ความฟุ้งซ่านออกจากหัว ให้มันโปร่งชั่วขณะก็ยังดี เพื่อส่งข่าวสำคัญต่อพี่สาว

             จิตหมดความจงใจที่จะทำให้มันสงบ ก็เกิดความนิ่งเงียบชั่วครู่ สัญญาณการเชื่อมต่อสำเร็จ

             เอื้อ...

             เกื้อ...อยู่ไหน

             บนถนน...รถติดมาก...เป็นไงบ้าง

             ยังไม่มีอะไร

             มีข่าวสำคัญจะบอก...ระวังด้วยนะ

             ระวังอะไร?

             ระวัง...



             แป๊น!”

             ข่าวสำคัญยังไม่ทันบอกออกไป เสียงแตรของรถข้างหลังก็ดังลั่น สมาธิแตกซ่าน กระเจิดกระเจิง

             ทีเกื้อเห็นรถข้างหน้าขยับไปไกลแล้ว เป็นเหตุให้รถหลังบีบแตรไล่ จึงเหยียบคันเร่ง ขับรถตามไปทันที โดยที่จิตไม่สามารถรวมตัวเพื่อส่งสัญญาณติดต่อกันได้อีก

             ...ไม่ได้ก็ไม่ได้...

             ชายหนุ่มบอกตัวเองขณะใช้สมาธิอยู่กับการขับรถ พยายามหาช่องซอกซอน เพื่อรีบเร่งไปให้ถึงจุดหมาย...ในเมื่อบอกข่าวไม่ได้ ก็ต้องรีบไปจัดการเองให้ทันแล้วกัน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เพลงน้ำตาแสงไต้ ขับขาน บรรเลงกังวานทั่วฮอลล์ เสียงนักร้องหนุ่มทุ้มนุ่มนวลไพเราะ แฝงกระแสอารมณ์เศร้า หวานซึ้งจนบาดลึกถึงอารมณ์ผู้ฟัง ดนตรียิ่งประสานเคียงคลอ พาให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มลืมตัว

             คุณหญิงอัปสรรู้สึกต่างจากคนอื่น เพลงนี้ทำให้หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง ใบหน้าเครียดขมึงตึงโดยอัตโนมัติ ใจอยากตะโกนสั่งให้นักร้องเงียบเสียง ดนตรีหยุดเล่น และงานคอนเสิร์ตนี้ให้ล้มเลิกไปเสีย

             เพราะบทเพลงน้ำตาแสงไต้ เป็นเสมือนมีดโกนอาบน้ำกรด กรีดใจเธอทุกครั้งที่ได้ยิน!



             ...นวล...เจ้าพี่เอย...

             ผู้หญิงคนนั้นชื่อนวล...นวลแก้ว

             ...นวลแสงเพชร เกล็ดแก้วอันล้ำค่า...

             ...คราเมื่อแสงไฟส่องมา แวววาวชวนชื่นชม..

             เพียงแค่น้ำตาของผู้หญิงคนนั้น ก็มีค่า มีอำนาจมากพอจะโยกคลอนหัวใจชายคนหนึ่งให้หวั่นไหว ไม่อาจตัดใจจำพราก...ทั้งที่รู้ว่ามันผิดศีลธรรม และทำร้ายหัวใจผู้หญิงอีกคนอย่างร้ายกาจ



             คุณหญิงกัดฟันกรอด ข่มใจ ข่มอารมณ์ ข่มโทสะที่ลุกโพลงในใจ ปล่อยให้มันปรากฏเป็นเปลวเพลิงในแววตา ซึ่งร้อนแรงจนสามารถเผาฮอลล์ทั้งฮอลล์ให้มอดไหม้ได้

             ถ้าเป็นปกติ ท่านรัฐมนตรีคงสะดุ้ง สะดุดใจกับเพลงและอากัปกิริยาของคนข้าง ๆ เพราะรู้ว่าเธอเกลียดเพลงนี้ขนาดไหน แต่เวลานี้ใจของคนที่รู้ว่ากำลังถูกปองร้าย มัวกังวลถึงแต่เหตุร้ายที่ใกล้จะเกิด จนลืมเลือนรายละเอียดปลีกย่อยของคนใกล้ตัว

             เพลงน้ำตาแสงไต้เพียงทำให้ท่านรัฐมนตรีหวนคิดถึงผู้หญิงชื่อนวล...แม่ของลูกฝาแฝด

             นวลมาเตือนเขาในฝัน...ที่บ้านเก่าหลังนั้น

             บอกให้ระวัง...ระวังตัว...

             คาดไม่ถึง คำเตือนนั้นจะมีมูลความจริง ท่านธีรนัฐเอื้อมมือแตะเชือกถักอาคมที่คล้องคอ สิ่งนี้ได้มาจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เจ้านายทีเกื้อ เชือกอาคมสามารถสกัดกั้น ของไม่ให้เข้าตัว แต่ก็มีข้อปฏิบัติสองสามอย่าง

             ช่วงนี้ท่านต้องตั้งมั่นอยู่ในศีล สวดมนต์เจริญเมตตาเป็นประจำ คอยระวังตัวอย่าให้จิตเผลอ ซึ่งอาจเป็นสะพานเชื่อมให้อีกฝ่ายส่งสิ่งร้าย ๆ มาเข้าตัวได้

             ท่านรัฐมนตรีระบายลมหายใจแผ่ว ๆ เรียกสติกลับคืน เหลือบมองคุณหญิงที่นั่งข้างกาย เห็นเธอจ้องนักร้องบนเวทีเขม็ง ดวงตาฉายประกายวาววับ เสียงเพลงน้ำตาแสงไต้กระทบหู ฟังแล้วสะดุ้งเฮือก...นึกขึ้นได้

             คุณหญิงอัปสรเกลียดเพลงนี้ที่สุด หากใครเปิดในบ้าน รับรองบ้านแตก แถมคนเปิดจะถูกเฉดหัวออกไปทันที ตอนนี้มาได้ยินเต็มสองรูหูในฮอลล์กว้าง เป็นงานที่ไม่สามารถแผลงฤทธิ์ได้ด้วย

             คุณหญิงจะถูกกดดันขนาดไหน

             ท่านเอื้อมมือไปจับมือภรรยา หวังถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ เข้าไปคลี่คลายเพลิงร้อนในจิตใจให้บรรเทาเบาบางลง

             สิ่งที่ตอบกลับมาคือความร้อนรุ่ม จนต้องชักมือกลับ

             มือกระทบมือส่งผ่านความร้อนอันน่ากลัวออกมา...ความร้อนที่เกิดจากเพลิงความเกลียดชัง ไม่ได้แผดเผาแค่นัยน์ตาคู่นั้น มันแผ่กระจายออกมาทำให้คุณหญิงร้อนเร่าไปทั่วร่างกายโดยไม่รู้ตัว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP