วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๑


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๘



             เช้าวันงานคอนเสิร์ต

             คุณหญิงอัปสรเรียกธีรภูมิ สัตตบงกชมาคุยเกี่ยวกับเรื่องกำหนดวันงานแต่งงาน

             แม่ได้วันมาแล้วนะ อยู่ในช่วงปลายปีนี้แหละ คุณหญิงบอก

             เร็วขนาดนั้นเลยหรือครับ ธีรภูมิอุทานพลางเหลือบมองใบหน้าคู่หมั้น

             ก็หมั้นกันมาเป็นปีแล้ว จะรออะไรอีกล่ะลูก ถ้านานไปคนเขาจะนินทาเอาได้ คุณหญิงบอกลูกชายแล้วหันไปถามว่าที่ลูกสะใภ้

             หนูดี เธอขัดข้องอะไรมั้ย

             ไม่ค่ะ หญิงสาวตอบเสียงอ่อน นุ่มนวล

             คุณหญิงเห็นปฏิกิริยาตอบรับของคู่หมั้นลูกชาย อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวน่าจะแสดงความยินดีมากกว่านี้ ในเมื่อกำหนดวันแต่งงานนั้นหมายถึง กำหนดวันที่เธอจะได้สมบัติประจำตระกูลจำนวนมากกลับคืนไป รวมทั้งโฉนดบ้านหลังที่เธออยู่นั่นด้วย

             งั้นก็ดี ชุดแต่งงานที่ช่างเขาเอามาให้ลองเดือนก่อน ตอนนี้แก้ไขเสร็จแล้ว เดี๋ยวนัดวันไปถ่ายรูปคู่แต่งงานได้เลย เผื่อจะได้ให้เขาเอาไปทำการ์ด เลือกขยายใส่กรอบ อัลบั้มตกแต่งในงาน

             คุณหญิงอธิบายรายละเอียดการเตรียมงานแต่งงานอีกยืดยาว โดยไม่ใส่ใจดูสีหน้า อาการสองหนุ่มสาว ที่นิ่งฟังโดยไม่ปริปากแสดงความเห็น ไม่มีแววตายินดี เบิกบานเหมือนคู่รักที่กำลังจะแต่งงานทั่วไป

             กระทั่งอธิบายจบ คุณหญิงค่อยเอ่ยถามปิดท้าย

             ภูมิอยากให้มีอะไรเพิ่มในงานมั้ยลูก

             ไม่ล่ะครับ เท่าที่ฟังแม่อธิบายมาผมก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ไม่อยากเพิ่มอะไรให้มากกว่านี้อีก

             เธอล่ะหนูดี คำถามด้วยน้ำเสียงต่างจากพูดกับลูกชาย

             ตามที่คุณหญิงวางแผนมาก็ดีแล้วค่ะ หนูดีชอบ

             คุณหญิงพยักหน้าพอใจ จากนั้นพูดขึ้นอีกเรื่อง

             อ้อ...อีกเดี๋ยวช่างตัดเสื้อเขาจะเอาชุดของท่านกับฉันที่จะใส่ไปงานคอนเสิร์ตคืนนี้มาส่งนะ เธอช่วยดูแลคอยรับให้ด้วย

             ค่ะคุณหญิง หญิงสาวรับคำ



             สั่งงานเสร็จ ประมุขของบ้านก็เดินจากไป

             พอเห็นมารดาลับร่างเท่านั้น ธีรภูมิก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจแก่หญิงสาวใกล้ตัว

             ไหวมั้ยหนูดี

             หญิงสาวยิ้มอ่อนโยน ทั้งคู่ต่างรู้แก่ใจ การแต่งงานครั้งนี้ปราศจากความรัก เป็นแค่การสร้างภาพ ทำให้คนทั่วไปได้รู้จักธีรภูมิ เพื่อเป็นบันไดก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า

             ต่อให้ทั้งสองยินยอมพร้อมใจ แต่คงไม่มีทางคิดถึงงานแต่งงานของตนในแง่ความสุข สดชื่นเหมือนคู่แต่งงานที่มีความรักต่อกันได้

             ไหวสิคะ คำพูดคล้ายหนักแน่น แววตากลับวูบไหว

             ธีรภูมิเห็นอย่างนั้นแล้วนึกละอายใจ ภาพทีเกื้อซ้อนมาในความทรงจำ...คำพูด คำขอร้องของเขายังก้องในหู

             สัญญาว่าจะรัก...หนูดี...อย่างที่ผู้ชายคนนั้นรัก

             เขาทำตามคำขอร้องนี้ไม่ได้

             ทีเกื้อเจ็บปวด แต่สัตตบงกชเข้าใจ ไม่เคยเรียกร้อง ต้องการ...

             เพราะหัวใจของเธอ...ก็ยังอยู่กับ ผู้ชายคนนั้น โดยไม่ยอมไปไหน

             ดวงตาของเธอเป็นประกายทุกครั้งที่เห็นเขาเข้ามาใกล้ รอยยิ้มในดวงตาผุดขึ้นมาเองเมื่อได้ยินเสียงของเขา และใบหน้าของเธอก็ดูสวย สดใสกว่าปกติ เมื่อมีผู้ชายคนนั้นมายืนอยู่ข้าง ๆ

             ธีรภูมิไม่เคยนึกโกรธ แค้นใจ หนำซ้ำกลับละอายใจทุกครั้งที่เห็นหนุ่มสาวทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน



             ตัวเขาไม่เคยอยากเล่นการเมืองอย่างพ่อ ไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่ง ทายาททางการเมืองอะไร แต่เมื่อแม่ต้องการอย่างนั้น เขาก็ไม่ขัด...ยินยอมกระทำเรื่องใด ๆ ให้แม่ได้ทั้งนั้น เพื่อชดเชยเรื่อง ๆ เดียวที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่ได้...

             มันทำให้เขานึกตั้งคำถามแก่ตนเอง...มันสมควรหรือไม่ ที่จะยอมตามใจมารดา แล้ววกกลับมาทำร้ายหัวใจรักสองดวงที่ไม่มีความผิดอะไรเลย

             จริงสิ งานคอนเสิร์ตคืนนี้หนูดีเตรียมชุดหรือยัง ให้พี่พาไปส่งที่ร้านแต่งหน้าทำผมมั้ย เขาถามอย่างนึกได้

             ไม่เป็นไรค่ะ เสร็จจากงานช่วงเช้านี้แล้ว หนูดีไปที่ร้านเองได้...รับรองว่าไม่ทำให้พี่ภูมิขายหน้าแน่ ๆ

             หญิงสาวยิ้มสวยจนชายหนุ่มนึกละอายใจ คืนนี้หนูดีไปร่วมงานในฐานะคู่หมั้นเขา ไม่ใช่ฐานะเลขาท่านรัฐมนตรี คำพูดของเธอเป็นการบอกชัดเจนว่าพร้อม และเต็มใจช่วยส่งเสริมเขาเต็มที่

             พี่เป็นห่วง...ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย เขาพยายามอธิบาย เกรงหญิงสาวเข้าใจเจตนาของตนผิด



             ยังไม่ทันพูดอะไรมากกว่านี้ ก็มีคนเข้ามาทัก

             สวัสดีครับคุณภูมิ เสียงทักทายทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมอง

             สวัสดีครับอาโชติ ทั้งคู่รีบยกมือไหว้

             อาโชติเป็นทนายความอาวุโส และเป็นหนึ่งในผู้ดูแลผลประโยชน์ ทรัพย์สมบัติของคุณหญิงอัปสร

             คุณหญิงท่านเรียกให้ผมมาหาที่นี่ คุณภูมิทราบมั้ยครับว่าเธออยู่ไหน ผู้อาวุโสถาม

             ตะกี้คุณแม่ยังคุยกับผม หนูดีเรื่องงานแต่งงานอยู่เลย สงสัยขึ้นไปข้างบนแล้ว...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมบอกเด็กไปเรียนท่านให้

             พูดจบ ธีรภูมิก็เรียกลูกจ้างที่อยู่ใกล้มาสั่ง

             บอกคุณแม่ทีว่าอาโชติมาถึงแล้ว

             ค่ะ ฝ่ายนั้นรับคำ

             ผู้อาวุโสรอจนเด็กลูกจ้างลับร่างไปแล้วจึงหันมาคุยกับว่าที่คู่แต่งงานทั้งสอง

             คุณหญิงท่านบอกกำหนดการแต่งงานของพวกคุณกับผมแล้ว...ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ

             ขอบคุณครับ ธีรภูมิตอบแทนหญิงสาวคู่หมั้น

             ที่จริงคุณหญิงท่านมีเซอร์ไพรส์ ของขวัญแต่งงานให้พวกคุณด้วยนะ...สงสัยที่เรียกผมมาวันนี้ น่าจะเป็นเรื่องนี้นี่แหละ คนพูดอมยิ้ม ทำท่ามีลับลมคมใน

             อะไรหรือครับ...อาโชติพอจะแย้ม ๆ ให้ผมฟังบ้างได้มั้ย

             แหม...ถ้าผมบอกไป แล้ววันจริงคุณไม่เซอร์ไพรส์...คุณหญิงได้เล่นงานผมตาย

             คนพูดคงไม่ทันคิด ว่าตนเองเป็นฝ่ายแย้มให้ว่าที่คู่บ่าวสาวอยากรู้เองตั้งแต่แรก

             เอ...เซอร์ไพรส์ ที่คุณอาพูดถึง มันอยู่ในแฟ้มที่ถือมาด้วยหรือเปล่าครับ ธีรภูมิสังเกตเห็น

             อีกฝ่ายหัวเราะกลบเกลื่อนเหมือนโดนจับพิรุธได้ ทั้งที่ใจก็อยากเปิดเผยเต็มที

             คุณภูมิอย่าไปบอกคุณหญิงนะว่ารู้มาจากผม...ท่านซื้อบ้านตากอากาศบนเกาะให้คุณเป็นของขวัญแต่งงาน แล้วก็ให้ใช้เป็นที่ฮันนีมูนด้วย...ดูสิครับ สวยมั้ย...

             พูดพลางยื่นแฟ้มให้สองหนุ่มสาวดู ธีรภูมิหันมายิ้มให้สัตตบงกช แล้วช่วยกันเปิดแฟ้มดูรูป รายละเอียดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียกำลังใจ แล้วมานึกสงสัยว่าทำไมคู่แต่งงานถึงชืดชากับของขวัญชิ้นใหญ่นี้นัก

             ในแฟ้มของอาโชติ มีรูปบ้านตากอากาศบนเกาะสวย บรรยากาศดี กำลังอยู่ในขั้นตอนการตกแต่ง คาดว่าคงเสร็จ สวยสมใจก่อนวันแต่งงานแน่นอน

             นอกจากบ้านตากอากาศหลังนี้แล้ว ในแฟ้มยังมีภาพ และรายละเอียดของทรัพย์สินอื่น ๆ ของคุณหญิงอีกหลายรายการ ธีรภูมิสะดุดตากับภาพ ๆ หนึ่งในแฟ้ม พอเหลือบตาอ่านรายละเอียดของภาพนั้น เขาก็สะดุ้งวาบ เงยหน้าขึ้นถามทนายความผู้ดูแลผลประโยชน์ทันที

             อาครับ รูปนี้เป็นที่ไหน ของใคร...ช่วยอธิบายให้ผมฟังที

             ชายหนุ่มชี้มือลงในภาพ สัตตบงกชมองตาม ไม่เข้าใจ เหตุใดคู่หมั้นตนถึงสนใจสิ่งที่อยู่ในภาพนั้น

             อาโชติหยิบแว่นขึ้นมาสวม มองภาพนั้นแล้วอธิบายให้คู่สนทนาฟังอย่างละเอียด...ธีรภูมิได้ยินแล้วเกิดความสงสัยอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             บ้านหลังใหญ่สีขาว ซ่อนตัวอยู่หลังไม้ใหญ่ รกเรื้อ ขาดการดูแล ไกลออกไปมองเห็นศาลาท่าน้ำ และแม่น้ำสายใหญ่ไหลเอื่อย ๆ

             ทีเกื้อยืนอยู่หน้าประตูด้านนอก มองเข้าไปข้างในด้วยสายตาครุ่นคิด มองหาช่องทางที่จะเล็ดรอดเข้าบ้าน ซึ่งดู แล้ว ถ้าไม่ปีนรั้ว มุดกำแพง ก็ต้องนั่งเรือไปขึ้นที่ท่าน้ำ

             ช่วงวันสองวันที่ผ่านมา เขาตามหาตัวคิมจากสถานที่ที่คน ๆ นี้เคยอยู่ จากร่องรอยที่เคยมี เคยพบ ดูเหมือนคิมจะรู้ตัวล่วงหน้า ห้องเช่าเดิมถูกบอกเลิกเช่าหมดแล้ว ผลการติดตามค้นหาจากตำรวจด้านอื่น ๆ ก็เหลว ไม่ได้ผล ไม่มีรายงานการพบบุคคลที่มีลักษณะคล้ายคิมในที่ใดเลย

             เสมือนคิมจงใจทำตัวหายสาบสูญ ไร้ร่องรอยจากสายตาชาวโลก หลบเร้นในที่สงบ ไม่มีใครพบเห็น คาดถึง

             ทีเกื้อมองกลับในมุมของคิม หากเขาต้องการหลบหนี ซ่อนตัว เขาจะไปที่ใด...

             ที่ซ่อนซึ่งดูอันตรายมากสุด น่าจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด!

             นายตำรวจหนุ่มค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าท่านทรงพลมีสมบัติ บ้านช่องอยู่ที่ใดอีกบ้าง พอรู้ก็ไปตามดูมาจนหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้านตากอากาศริมทะเล คฤหาสน์ร้างกลางกรุง จนมาถึงบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลังนี้

             มันอยู่ไม่ไกลจากกลางเมืองกรุงเทพ แต่สงบเงียบ สามารถใช้เป็นที่หลบภัย ซ่อนตัวได้

             เมื่อมาถึง เขายืนลังเลหน้าประตู มองนาฬิกาข้อมือ

             เวลาเพิ่งบ่ายโมงเศษ...คืนนี้จะมีคอนเสิร์ตสำคัญ ฝ่ายตรงข้ามประกาศท้าทายไว้แล้ว เขามีเวลาเหลือไม่กี่ชั่วโมงในการตามหาคิม...ผู้ปล่อยอาคม

             เขาต้องจัดการกับคิมก่อนงานเริ่ม ไม่เช่นนั้นก็ต้องรีบเปลี่ยนแผนรับมือ

             ขณะทีเกื้อกำลังหาจุดปีนกำแพง ก็พบชายกลางคน ผมหงอกเกือบทั้งศีรษะเดินเข้ามาหา ท่าทางดูจะเป็นคนดูแลสถานที่

             มาทำอะไรที่นี่ล่ะคุณ ถามเสียงดุ เอาจริง

             ลุงเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้หรือเปล่า ขอผมเข้าไปดูข้างในได้มั้ยครับ ทีเกื้อถามกึ่งขอร้อง

             ใช่...แล้วคุณเป็นใคร จะเข้าไปทำไม อีกฝ่ายยังถามเสียงห้วน ดูแล้วน่าจะอยากไล่เขามากกว่าเปิดประตูให้เข้าบ้าน

             ทีเกื้อเกือบบอกว่าตนเองเป็นตำรวจ จะขอเข้าไปตรวจค้น พอดีนึกได้ว่า หากฝ่ายตรงข้ามยอกย้อน ขอดูหมายค้น เขาคงหาให้ไม่ได้

             บ้านหลังนี้เป็นของท่านทรงพลใช่มั้ยครับ แต่เดิมน่าจะเป็นสมบัติประจำตระกูลของคุณหญิงท่าน...ผมรู้จักกับพี่กลด...ทรงกลด ลูกชายของท่านน่ะ เลยอยากเข้าไปดูสักหน่อย

             ทีเกื้อเลือกพูดในอีกประเด็น ไม่แน่ใจว่ามันจะพอโน้มน้าวใจฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่

             ใช่...เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เป็นของท่านทรงพล เสียงผู้ดูแลฟังอ่อนลง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...พอท่านและครอบครัวเสียชีวิต ก็มีคนอื่นมาซื้อไปเป็นปีแล้ว

             ทีเกื้อพยักหน้ารับ ไม่แปลกใจ ที่นี่น่าจะถูกเปลี่ยนมือเหมือนกับสมบัติชิ้นอื่น ๆ ที่มีคนมาช้อนซื้อในราคาถูก ที่ยังไม่ได้บูรณะปรับปรุง น่าจะเป็นเพราะมันต้องใช้เงินมากกว่าตอนซื้อมาอีกหลายเท่า ถึงจะสวยสมค่าของมัน

             ลุงดูสิ ผมมาตัวเปล่า ไม่มีเจตนาร้ายอะไร ขอเข้าไปดูข้างในหน่อยเดียวเอง

             เขาบอกตรง ๆ มองหน้าแกอย่างแสดงให้เห็นความจริงใจ สักครู่อีกฝ่ายก็พยักหน้า หยิบกุญแจขึ้นมาไขให้

             แค่ห้านาทีก็พอนะคุณ แกกำชับ

             นายตำรวจหนุ่มยิ้มรับ เดินเข้าไปพร้อมกวาดสายตาสำรวจร่องรอยไปทั่ว หากคิมมาที่นี่จริง เขาเชื่อว่าต้องมีอะไรบางอย่างทิ้งไว้ให้สังเกต ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้า แนวหญ้าที่ราบกว่าปกติ หรือกระทั่งกระแสคลื่นความเป็นคิมที่เขาสามารถสัมผัส คุ้นเคย

             ลุงคนดูแลยังไม่ไว้ใจ จึงเดินตามมาห่าง ๆ จับจ้องชายหนุ่มโดยไม่คลาดสายตา ทีเกื้ออมยิ้มนิด ๆ ไม่ใส่ใจ สองขาเดินค้น สองตามองหาร่องรอยคิมอย่างละเอียด

             สัมผัสทางใจถูกเปิดกว้าง หากคิมผ่านเข้ามาในนี้ต้องมีร่องรอยคลื่นความเป็นตัวตนให้ตรวจพบได้ ทว่าสิ่งที่ตอบสัมผัสกลับมาคือความว่าง ชืดชา บอกไม่ถูกมันคืออะไร ส่วนสถานที่นั้นก็รกเรื้อ มองไม่เห็นรอยเท้า หรือความผิดปกติจากบ้านร้างทั่วไป



             ทีเกื้อไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าคิมจะใช้ที่นี่ซ่อนตัวหรือไม่ สองสามวันที่ผ่านมา นอกจากไล่ตามหาคิมแล้ว เขาต้องเข้ารายงานผลการสืบสวนทั้งหมดกับท่านรองฯ พร้อมขอคำสั่งพิเศษ เพื่อสามารถตรวจสอบข้อมูลเที่ยวบินที่เกิดระเบิดเมื่อห้าปีก่อนได้อย่างละเอียด ไม่มีการปิดบังอำพราง

             ชายหนุ่มตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารอย่างถี่ถ้วน ปรากฏชื่อครอบครัวท่านทรงพลทั้งหมด สอบถามกับเจ้าหน้าที่เช็คอิน ก็ยืนยันว่าทุกคนขึ้นเครื่องแน่นอน ไม่มีผู้โดยสารตกหล่น

             นั่นทำให้ทีเกื้อยิ่งสงสัย หากทรงกลดขึ้นเครื่องบินลำนั้นจริง เหตุใดถึงยังมี คิม ในวันนี้ได้

             นายตำรวจหนุ่มตรวจสอบการระเบิด ได้เห็นภาพถ่ายทั้งหมด รับฟังข้อมูลแบบไม่มีการปิดบัง...ระเบิดถูกติดตั้งส่วนหัวของเครื่อง แรงระเบิดฉีกมาถึงกลางลำ ชิ้นส่วนยับเยิน กระจัดกระจายเป็นวงกว้าง กินพื้นที่เป็นตารางกิโลเมตร มีเพียงส่วนหางของเครื่องที่ยังคงสภาพให้เห็นสมบูรณ์ชัดเจนกว่าส่วนอื่น

             สภาพศพผู้โดยสารเกือบทั้งหมดถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ กระจายไปทั่ว ไม่มีสภาพศพสมบูรณ์ บางชิ้นถูกไฟเผาไหม้เกรียมจนพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นของใคร

             เมื่อไม่พบผู้รอดชีวิตในบริเวณนั้น จึงสรุปได้ว่าผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งลำเรือ

             ทีเกื้อเห็นทั้งภาพถ่าย ได้ยินข้อมูลทุกด้าน จึงนึกอย่างไรก็ไม่ออก...ว่าจะมีใครสามารถรอดชีวิตจากเที่ยวบินลำนี้ได้

             พอกลับมาไล่ดูรายชื่อผู้โดยสารอีกครั้ง ชายหนุ่มก็สะดุดตากับชื่อ ๆ หนึ่ง

             ฮันเตอร์ คิม

             ค้นรายละเอียดพบว่า เป็นชายสัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติอินเดีย อายุ ๕๒ ปี อาชีพนักธุรกิจ

             ดูแล้วประหลาดใจ คนอินเดียที่ไหนชื่อคิม ต่อให้เป็นลูกครึ่งอินเดีย-อเมริกัน ก็ไม่น่าใช้ชื่อนี้...ถ้าเป็นชื่อปลอม ก็น่าจะตั้งให้มันสอดคล้องกับเชื้อชาติ สัญชาติบ้าง

             คิดแล้วลองเสิร์ชชื่อนี้ในกูเกิลเล่น ๆ หาไปหามา ก็สะดุดตากับชื่อนามปากกา ฮันเตอร์ คิมของนักเขียนสัญชาติอเมริกันที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงคนหนึ่ง

             มีรายละเอียดเกี่ยวกับงานของนักเขียนคนนี้เพียงเล็กน้อย...

             ฮันเตอร์ คิม มักเขียนถึงเรื่องความอยุติธรรมในสังคม ความเลวร้ายของผู้มีอำนาจ และการแก้แค้นอย่างแสบสันต์ของผู้ถูกกระทำ

             ความแปลกในงานเขาคือ วิธีการแก้แค้นของตัวละครนั้นไม่เหมือนใคร เพราะตัวเอกของเขา ไม่เคยแก้แค้นโดยที่มือเปื้อนเลือดเลยสักครั้ง กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ จึงมีคนอ่านกลุ่มหนึ่งสะใจในผลงานแบบนี้

             บางเรื่องตัวเอกของฮันเตอร์ คิม จะใช้วิธียุแยงอย่างแยบยล ให้ฝ่ายตัวร้ายระแวง แตกคอกันเอง จนฆ่ากันตายในที่สุด บางเรื่องตัวเอกใช้สงครามประสาท ด้วยเทคนิคจิตวิทยาชั้นสูงปั่นหัวคนร้าย จนแพ้ภัยตัวเอง

             สุดท้าย เป็นวิธีที่คนอ่านแปลกใจคือตัวเอกจะใช้เวทย์มนต์วูดู คำสาปยิบซี มนต์ดำแม่มดแบบแปลก ๆ ที่ไม่มีในสารบบ เล่นงานผู้ร้ายอยู่ห่าง ๆ โดยตนเองไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวพันให้เหยื่อเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ

             ทีเกื้ออ่านถึงตรงนี้แล้วนึกสะดุดใจ มองเห็นภาพฮันเตอร์ คิม ซ้อนกับนายคิมที่เขารู้จักขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

             ตามหลักฐาน ฮันเตอร์ คิม เสียชีวิตแล้ว...แต่...เขาจะไม่แปลกใจเลย หากใครบอกว่า ทั้งสองรู้จักกัน!



             ทีเกื้อถอนใจเฮือกใหญ่ กลุ่มก้อนความคิดผ่านไปจากหัว สายตามองประตูบ้านสีขาวตรงหน้า หลังจากเดินมารอบบ้าน ไม่พบร่องรอยใด เหลือก็แต่เข้าไปดูในบ้านนั้น

             ว่าไงล่ะคุณ จะออกไปได้หรือยัง เดินดูหมดแล้วนี่ ลุงคนดูแลออกปากเร่ง

             ผมขอเข้าไปดูในบ้านได้มั้ยครับ ทีเกื้อเสี่ยงออกปากถาม

             ไม่ได้ คำพูดยิ่งห้วน

             ชายหนุ่มลังเลใจ ระหว่างการบุกเข้าไปค้นบ้านเอาดื้อ ๆ กับการยอมทำตามลุงคนดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามหลัง...แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูเบอร์เรียกเข้าก่อนรับสาย

             ครับ...พี่ภูมิ เขาพูด

             เกื้อ...ตอนนี้อยู่ที่ไหน ธีรภูมิถาม น้ำเสียงมีความร้อนใจ

             ผมอยู่ที่บ้านลุงทรงพลครับ เขาตอบ

             รีบมาเจอพี่หน่อยได้มั้ย มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ธีรภูมิพูดโดยไม่ทันฟังคำตอบของน้องชายด้วยซ้ำ

             มีอะไรคุยทางโทรศัพท์ได้มั้ย

             อยากเจอตัว คุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก ธีรภูมิบอก

             งั้น...ถ้าเสร็จธุระแล้วผมจะรีบไปทันทีครับ

             ทีเกื้อวางสาย ตัดสินใจทันทีว่าต้องเข้าไปค้นบ้านหลังนี้ให้ได้ ต่อให้จำเป็นต้องใช้ความเป็นตำรวจเข้าข่มขู่ลุงคนดูแลก็ยอม

             ทันทีที่ตัดสินใจอย่างนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงกระแสลมจากด้านหลัง สัญชาตญาณบอกถึงทิศทางของอาวุธบางอย่างที่ตั้งใจฟาดมาโดยไม่ยอมให้ตั้งตัว

             ทีเกื้อย่อตัวและกลิ้งหลบทันที เมื่อพลิกตัวมาได้เขาก็เห็นลุงคนดูแลถือไม้หน้าสามฟาดหวดผ่านหัวไปอย่างหวุดหวิด

             ชายหนุ่มสปริงตัวลุกขึ้น ตั้งหลักจ้องมองฝ่ายตรงข้าม เห็นดวงตาของลุงคนดูแลบ้านเลื่อนลอยไร้สติ น่าจะถูกควบคุมจากอำนาจสะกดของใครบางคน

             ไม้ที่สอง สาม สี่หวดตามมาอย่างไม่ยั้ง ไม่เว้นระยะให้พักหายใจ ทีเกื้ออาศัยความว่องไว หลบเลี่ยง หาช่องว่างตีโต้กลับไปบ้าง แต่ไม่เต็มที่นัก

             ครั้งก่อน ๆ คู่ต่อสู้ที่ถูกสะกดให้มาทำร้าย จะเป็นพวกเด็กหนุ่มวัยรุ่น ร่างกายแข็งแรง ทีเกื้อจึงสู้เต็มกำลังแบบไม่ยั้งมือ คราวนี้เป็นชายกลางคน ผมหงอกเกือบทั้งศีรษะ หากลงมือหนักไปอาจทำร้ายคนแก่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เปล่า ๆ

             ทีเกื้อสู้พลาง ถอยพลาง หาจังหวะสยบคู่ต่อสู้อย่างนุ่มนวลที่สุด แต่อีกฝ่ายมีไม้หน้าสามในมือ หนำซ้ำหวดมาเต็มแรงแบบไม่ยั้ง ไม่มีทิศทางแน่นอน ถ้าเขาไม่ลงมือเต็มที่ คนเจ็บอาจเป็นตัวเอง

             เหนื่อยหนักกว่าการต่อสู้ทุกครั้ง ทั้งที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายสิบปี สุดท้ายทีเกื้อก็หาจังหวะกลิ้งตัว เตะตัดขาอีกฝ่ายให้ล้มอย่างรวดเร็ว ไม้หลุดจากมือ พวงกุญแจกระเด็นออกมาจากกระเป๋า

             เขารีบลุกขึ้นมาดูอาการลุงคนดูแล เห็นแกสลบเหมือด ไม่มีร่องรอยกระแทกกับก้อนหิน ของแข็งอะไร ไม่มีอาการฟกช้ำบาดเจ็บตรงไหน คิดว่าที่แกสลบไปเนื่องจากหมดแรงเหมือนตุ๊กตาลานขาด อำนาจสะกดไม่สามารถควบคุมร่างกายลักษณะนี้ได้

             ทีเกื้อคว้ากุญแจที่ตกใกล้ ๆ พวงนั้นขึ้นมา ยิ้มน้อย ๆ ไม่แน่ใจว่าตาลุงคนนี้โดนสะกดมาตั้งแต่แรก เพื่อหลอกให้เขาเข้ามาติดกับดักหรือเปล่า...

             ถ้ามันเป็นจริง ในบ้านนั้นจะมีอะไรรอเขาอยู่...

             นายตำรวจหนุ่มไม่สนใจมากความ หยิบกุญแจแล้วรีบไขประตูอย่างรวดเร็ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว ไม่ว่าคิมจะอยู่ที่นี่ หรือมีสิ่งอื่นรออยู่ เขาต้องเข้าไปพิสูจน์ให้เห็นจริงจนได้

             ส่วนลึกในใจ ชายหนุ่มคิดว่า ในบ้านต้องมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขาแน่ ๆ




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             บริเวณล็อบบี้หน้างาน คอนเสิร์ตอัญมณีวันวาน คลาคล่ำไปด้วยคนดังแวดวงไฮโซ นักร้อง ดาราที่มีชื่อเสียงเต็มไปหมด แสงแฟลชสว่างวาบตามจุดต่าง ๆ ไม่ขาดสาย บอกให้เห็นถึงความสนใจของนักข่าว ช่างภาพสื่อมวลชนทั้งหลาย

             ธีรภูมิกับสัตตบงกชก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนดังที่ถูกนักข่าว ช่างภาพขอสัมภาษณ์ ถ่ายรูปมากที่สุดคู่หนึ่ง ด้วยความที่ฝ่ายหญิงเคยเป็นพิธีกรชื่อดัง มีแฟนคลับติดตามมากมาย กระแสยังไม่ตก และฝ่ายชายเป็นหนุ่มไฮโซเนื้อหอม ดีกรีนักเรียนนอก หน้าตาดีระดับพระเอกแถวหน้า

             ทั้งคู่ถูกถ่ายภาพ และสัมภาษณ์ถึงกำหนดการแต่งงาน แผนใช้ชีวิตคู่ในอนาคต ซึ่งเป็นคำถามแบบฟอร์มเดิม ๆ ของคู่รักคนดังทั้งหลาย

             สองหนุ่มสาวตอบคำถามอย่างคล่องแคล่ว เป็นธรรมชาติ ยืนให้ถ่ายรูปคู่โดยไม่เคอะเขิน ธีรภูมิพยายามปั้นยิ้ม ตอบคำถามอย่างไม่ติดขัด สอดแทรกอารมณ์ขันพองาม ภาพที่ออกมาดูเป็นคู่ที่เหมาะสม สวยสมกัน ทั้งหน้าตา กิริยา ความรู้

             แววตาของดอกเตอร์หนุ่มเท่านั้นที่หลุดฉายแววกังวลเป็นระยะ คนอื่นไม่สังเกต มีแต่คนที่ยืนข้างกันที่รู้สึก มองเห็น พอได้โอกาส นักข่าวหันไปสัมภาษณ์คนดังที่เพิ่งเข้ามาในงานใหม่ ทั้งคู่จึงได้ปลีกตัว พูดคุยกันตามลำพัง

             พี่ภูมิกังวลเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่าคะ สัตตบงกชถาม

             หนูดีเห็นเกื้อเข้ามาในงานบ้างหรือยัง ชายหนุ่มถาม สีหน้าเป็นกังวล

             ยังค่ะ...แต่เอ๊ะ... หญิงสาวกำลังพูดต่อ พอดีสังเกตเห็นบางคนเดินเข้างานมา พี่เอื้อนี่คะ...มานั่นแล้ว

             เอื้อกานต์อยู่ในชุดราตรียาวสวย เดินคู่มากับนภ ซึ่งเป็นตำรวจติดตามรัฐมนตรีธีรนัฐ ระหว่างที่คุณหมอสาวเดินเข้างานมา ก็มีสายตาของนักข่าว หนุ่ม ๆ หลายคนมองตาม ด้วยนึกสงสัยว่าเป็นดารามาจากไหน ทำไมตนเองถึงไม่รู้จัก

             ผู้กองนภ...คุณพ่อมาถึงแล้วเหรอ ธีรภูมิถามนายตำรวจ โดยยังไม่เอ่ยทักทายน้องสาวตนเอง

             กำลังออกมาแล้วครับ ผมเป็นส่วนล่วงหน้า มาตรวจดูความเรียบร้อยก่อน...พอดีเจอหมอเอื้อที่หน้างานเลยพาเข้ามา...เอ่อ...คุณหมอเป็นพี่สาวผู้กองทีเกื้อ เพื่อนผมที่เคยเป็นตำรวจติดตามคนก่อนน่ะครับ

             นภอธิบายโดยไม่รู้ว่าทั้งสามรู้จักกันนานแล้ว

             ขอบคุณนะนภ ที่พาเอื้อเข้ามา...รีบไปทำงานต่อเถอะ เอื้อเกรงใจ...อย่าให้เสียงานเลยเอื้อกานต์บอก

             โอเค เดี๋ยวผมออกไปรอรับท่านก่อน ยังไงเลิกงานค่อยคุยกันนะ นภพูดพลางยิ้มให้ทุกคนก่อนไป



             ได้ข่าวเกื้อมั้ย ธีรภูมิเอ่ยปากถามทันทีที่ลับร่างนายตำรวจติดตาม

             ยังค่ะ เกื้อไม่ได้โทรกลับมาเลย เอื้อกานต์บอก

             นั่นสิ เมื่อตอนเย็นพี่โทรไปก็ไม่มีสัญญาณ ไม่รู้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ธีรภูมิกระสับกระส่าย

             เอื้อกานต์ตั้งสติ ปล่อยใจนิ่ง ว่างชั่วขณะ รับรู้ถึงการมีอยู่ ความเป็นไปของน้องชาย ไม่นานก็ได้คำตอบ

             เกื้อกำลังยุ่ง ๆ กับอะไรบางอย่าง แต่ไม่น่ามีปัญหาใหญ่อะไร...น่าจะกำลังรีบมางานนี้อยู่ด้วยซ้ำ

             คุณหมอบอกตามความรู้สึก จากนั้นมองพี่ชายตนเองแล้วตั้งคำถาม

             พี่ภูมิมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ

             ธีรภูมิเหลือบมองสัตตบงกชแวบหนึ่ง หญิงสาวไม่รู้ว่างานนี้อาจเกิดปัญหา เขาจึงไม่แน่ใจว่าควรระบายความอัดอั้นในใจนี้ต่อหน้าเธอได้อย่างไร

             พี่มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเกื้อน่ะ

             เอื้อกานต์พยักหน้ารับทราบ ไม่ซักไซ้ถามต่อ เพราะเห็นสัตตบงกชยืนอยู่ด้วย...เรื่องนี้เป็นข้อตกลงของสามพี่น้อง ที่จะไม่ดึงหญิงสาวคู่หมั้นพี่ชายให้มาลำบาก วุ่นวายไปด้วย

             คุณพ่อใกล้จะมาถึงแล้ว เอื้อเข้าไปนั่งรอข้างในก่อนดีมั้ยคะ...พี่ภูมิจัดที่ไว้ให้หรือยัง

             จัดแล้ว...นี่ไงบัตร ชายหนุ่มยื่นบัตรให้ เป็นที่นั่งใกล้กับคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดแล้วล่ะ...ถ้ายังไง...มีอะไรก็ช่วยกันหน่อยแล้วกัน

             แน่นอนค่ะ...ไว้ใจได้ คุณหมอยิ้มรับ พี่เข้าไปก่อนนะจ๊ะหนูดี

             เอื้อกานต์ส่งสายตาอ่อนโยนให้แก่หญิงสาว เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพียงแต่ตนเองเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องให้เธอมาร่วมลำบากไปด้วย



             สัตตบงกชยืนฟังสองพี่น้องคุยกันก็รู้แล้วว่าคืนนี้ต้องมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่าง ที่พวกเขาปกปิด ไม่ต้องการให้หล่อนร่วมรับรู้

             ตั้งแต่สามวันก่อนที่พวกเขาเข้าพบท่านรัฐมนตรี พูดจากันอยู่ร่วมชั่วโมง และหลังจากวันนั้นก็เห็นธีรภูมิวุ่นวายเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทั้งตรวจสอบลูกจ้างทุกคนในบ้าน ตรวจเช็คข้าวของส่วนตัวของบิดาแล้วก็ขมวดคิ้ว มีความกังวลตลอดเวลา

             ส่วนท่านรัฐมนตรีก็จะดูสงบ ระวังตัว ที่สำคัญสัตตบงกชสังเกตเห็นท่านสวมเชือกถักเก่า ๆ คล้องคอไว้ตลอดเวลา โดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร ได้มาจากไหน

             ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยปากบอก ก็แสดงว่าทุกคนกันหล่อนออกไปไม่ให้ยุ่งเกี่ยว...กระทั่งคุณหญิงเองยังไม่ทราบ ไม่รู้สึก ถึงสัตตบงกชสงสัยแค่ไหน น้อยใจอย่างไร ก็ได้แต่ปิดปากเงียบ นิ่งและเฝ้ามองอย่างสงบ

             ธีรภูมิเห็นท่าทางของหญิงสาวก็พอเข้าใจ...สัตตบงกชไม่ใช่คนโง่ น่าจะดูออกว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

             ถ้าผ่านงานนี้ไปได้ พี่จะเล่ารายละเอียดให้ฟังนะ

             เขาบอกอย่างเห็นใจ หญิงสาวยิ้มรับ ไม่ตอบคำ รู้สึกน้อยใจขึ้นมาในอก...ไม่ได้น้อยใจผู้ชายตรงหน้า แต่กำลังน้อยใจผู้ชายอีกคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลัง การกีดกันหล่อนไม่ให้รับรู้เรื่องนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP