วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๐


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             หิวจัง มีอะไรกินมั้ย ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

             เอื้อกานต์หัวเราะ ขยับตัวลุกขึ้น

             นั่งอยู่นี่แหละ เดี๋ยวเข้าไปหาอะไรมาให้กิน

             หลังจากเอื้อกานต์ลุกเข้าไปในห้อง ทีเกื้อค่อยเอนหลังพิงเก้าอี้ ระบายลมหายใจยาว บางสิ่งที่ถูกปิดกั้นในใจถูกระบายออกมาพร้อมลมหายใจ

             สิ่งนั้น...เขาไม่อยากให้เอื้อกานต์รู้!

             ตั้งแต่เช้า เห็นเงาเบื้องหลังคิมที่วัด เขาก็มั่นใจกับบางเรื่องยิ่งขึ้น พอมาฟังเอื้อกานต์บอกว่าเจอคิมที่ซูเปอร์มาร์เกต หนำซ้ำยังเตือนให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ บอกกลาย ๆ เป็นการยอมรับว่าตนคือฆาตกร

             นั่นเท่ากับแสดงชัดแล้วว่า...คิมเป็นใคร

             เขาเพียงแค่สงสัย อะไร ทำให้คน ๆ หนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

             ธีรภูมิให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงคดีท่านทรงพลหลายประเด็น แต่ละประเด็นสามารถร้อยเรื่องเหยื่อต่าง ๆ เข้ามาเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันได้

             เมื่อ ๕-๖ ปีที่แล้ว ก่อนจะมีคดีจับยาเสพติดในคุก ก่อนบ้านท่านทรงพลจะโดนขโมยขึ้นไปโจรกรรมเงินสดร้อยล้าน มีข่าวการให้สัมปทานโครงการใหญ่ของรัฐบาลหลายโครงการ แต่ละโครงการมีมูลค่ามหาศาล

             ผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติโครงการ ๒ รายในจำนวนทั้งหมดคือท่านโกวิท และท่านดนู ซึ่งดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลยุคนั้น และผู้ที่ได้รับสัมปทานโครงการใหญ่ระดับบิ๊กโครงการหนึ่งก็เป็นนายคะนึง เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ

             การให้สัมปทานใหญ่ล็อตนี้ มีกลิ่นไม่ดีโชยมา เสียงซุบซิบวงในบอกว่าท่านโกวิทกับท่านดนู รับเงินใต้โต๊ะจากนายคะนึงเป็นเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ท่านทรงพล ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น เตรียมสั่งลงดาบ สอบสวน เอาผิด แต่ยังไม่ทันขยับตัว ท่านเองกลับโดนคดียาเสพติดในเรือนจำหลายแห่ง และถูกกล่าวหาว่ามีเงินสดนับร้อยล้านอยู่ในบ้านแบบไม่มีหลักฐานที่มาที่ไป

             หลังจากนั้นท่านและครอบครัวต้องหนีออกนอกประเทศจนเครื่องบินตก เสียชีวิตทั้งหมด นายเดชาขึ้นตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีแทน และไม่มีการสืบสาวเรื่องการทุจริตสัมปทานโครงการเหล่านั้นอีกเลย

             หนำซ้ำนายเดชากลับสั่งให้ศาลดำเนินคดี และตัดสินความผิดเรื่องท่านทรงพลโดยไม่มีการซักฟอก ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นของท่านและภรรยาถูกอายัด ขายทอดตลาด และถ่ายโอนอย่างเงียบ ๆ ในเวลาอันรวดเร็ว

             เท่าที่ทีเกื้อตามไปสืบรายละเอียดวันนี้ ปรากฏว่า เหยื่อที่เสียชีวิตทุกราย ได้ครอบครองสมบัติของครอบครัวท่านทรงพลกันถ้วนหน้า และยังมีทรัพย์สินบางส่วนที่เขายังไม่สามารถหาตัวเจ้าของคนปัจจุบันได้อีกจำนวนหนึ่ง

             ใจอดคิดไม่ได้...หากเขาเป็นทรงกลด แล้วมีโอกาสรอดชีวิต ฟื้นจากความตายกลับมา พบว่าบิดาตนต้องแปดเปื้อนมลทินที่ตนเองไม่ได้ก่อ ทรัพย์สมบัติเก่าแก่ของมารดาถูกกลุ่มคนชั่วยักยอกเอาไปเป็นของตนอย่างหน้าไม่อาย มันจะทำให้เกิดโทสะ พยาบาทรุนแรงขนาดไหน

             รุนแรงขนาดยอมเปลี่ยนชีวิตตนเองทั้งชีวิต เพื่อตามไล่ล่า สังหารพวกมันให้แดดิ้นตายอย่างทรมานที่สุดหรือไม่...หรือว่า...แค่นี้มันอาจน้อยไปด้วยซ้ำ

             ผลจากการตระเวนสืบเสาะตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากธีรภูมิทำให้เขาเหนื่อยใจ จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า...ทุกคนที่คิมสังหาร ล้วนสมควรตายทั้งนั้น!

             เพียงแต่...หนึ่งในนั้นคือพ่อของเขาเอง

             ถึงพ่อจะมีส่วนสำคัญ ทำให้ครอบครัวท่านทรงพลเสียชีวิตทั้งหมด เขาก็อดเข้าข้างบิดาตนไม่ได้...พ่อคงไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนั้นมันจะระเบิดหรอก

             แม้จะพยายามทำใจเข้าข้างบิดาอย่างไร...อีกใจก็รู้...สมัยนั้นพ่อก็เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐบาล หากเรื่องทุจริตสัมปทานมันแดงขึ้นมาอาจโดนหางเลขด้วย

             คนในรัฐบาลหลายคนคุ้นเคยกับมาเฟียอย่างเกริกภพรวมถึงพ่อ

             โดยปกติ เครื่องบินทุกลำต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนทำการบิน ไม่มีใครจะมาแอบวางระเบิดกันได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ใช่คนระดับมืออาชีพ

             ถึงจะไม่มีข่าวว่าเครื่องบินโดนวางระเบิด แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยข่าวชัดเจนว่าเครื่องบินระเบิดเพราะเหตุใด

             ส่วนลึกในใจหลังสืบเสาะข้อมูลถึงตรงนี้ ทีเกื้อแทบทำใจให้เชื่อไม่ได้ว่าพ่อจะไม่มีส่วนรู้เห็น เกี่ยวกับเรื่องเครื่องบินระเบิดครั้งนั้น!



             กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก ทีเกื้อเหลียวกลับไปมอง เห็นเอื้อกานต์ถือชามใบใหญ่ ควันฉุยเดินออกมา

             พอเขายื่นมือรับชามใบนั้นมาดู อดยิ้มขันไม่ได้

             ไหนบอกว่าวันนี้ไปชอปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาแล้วไง ทำไมมื้อดึกมีแต่มาม่าแบบนี้ล่ะ

             อือ...ซื้อของสดมาแล้ว แต่ขี้เกียจทำ...มาม่านี่แหละเร็วดี ไหนบอกว่าหิวไง

             ทีเกื้อหัวเราะหึหึ พลางมองคอนโดฯ ห้องชุดหรูหราของตน

             เอื้อ...ถ้าใครเขามาเห็นคอนโดฯ เรานะ ต้องคิดว่าเราสองคนนี่คงรวยน่าดู ได้อยู่คอนโดฯ ไฮโซกลางเมือง ราคาหลายล้าน...ที่ไหนได้ กลับยากจน ต้องมานั่งกินมาม่ากันแบบนี้

             เอื้อกานต์ยิ้มใส หลิ่วตาล้อเลียน

             แล้วเกื้อเคยเห็น ยาจกที่ไหน เคยมากินมาม่าบนคอนโดฯ ไฮคลาสสุดหรูแบบนี้บ้างมั้ยล่ะ

             ชายหนุ่มหัวเราะพลางส่ายหน้า ไม่ตอบคำ ใช้ตะเกียบคีบเส้นกินโดยไม่บ่นอะไรอีก

             ที่จริง เขาจงใจใช้อารมณ์ขัน พูดจาเบี่ยงเบนอารมณ์เพื่อกลบเกลื่อน ซากตะกอนความคิดตน ไม่ให้เอื้อกานต์สงสัย จับเค้าเงื่อนได้



             เวลาอาหารผ่านไปเงียบ ๆ ทีเกื้อเป็นคนง่าย ๆ กินอะไรก็ได้ เขาแกล้งบ่นไปอย่างนั้นเอง เอื้อกานต์รู้ดี จึงนั่งเล่นเป็นเพื่อนริมระเบียงโดยไม่ชวนสนทนา เรื่องที่ยังค้างคาอยู่เมื่อครู่

             บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใกล้หมดชาม สองพี่น้องสัมผัสสังหรณ์แปลก ๆ ความกดดันอากาศรอบตัวหนาแน่นขึ้น ความเย็นแผ่ซ่านมาจากทางเบื้องหลัง

             ทีเกื้อวางชามลงข้างตัว ลุกขึ้น เหลียวหน้ากลับไปมองในห้องของตน เอื้อกานต์ลุกตาม สายตาเก็บรายละเอียดตรงหน้า เห็นความแปลกเปลี่ยน ผิดเพี้ยนจากเดิม

             ชายหนุ่มขยับตัวจะเดินเข้าห้อง หญิงสาวเอื้อมมือแตะต้นแขนเขาพลางส่ายหน้า ส่งสัญญาณไม่เห็นด้วย

             ภายในห้องดูปกติอย่างเคยเป็น ข้าวของทุกชิ้นวางในจุดที่มันอยู่ เพียงแค่...แสงสว่างหรี่สลัวลง มีแสงสีแดงอมดำแผ่กระจาย คืบคลานช้า ๆ

             แสงสีแดงนั้นเกาะเป็นกลุ่มก้อน ขยับไหวไปมาราวกับมีชีวิต มันค่อยคืบคลาน ขยายตัวกว้าง และส่งสัญญาณเชื้อเชิญให้สองพี่น้องก้าวเข้าไปหา

             ทีเกื้อมองหน้าพี่สาว ส่งสายตาแทนคำพูด คำสั่ง

             เอื้อยืนอยู่นี่นะ เดี๋ยวเกื้อเข้าไปเอง

             เอื้อกานต์ส่ายหน้า ปฏิเสธ ดวงตามองกลับมีแววเด็ดเดี่ยว มั่นคง ชายหนุ่มลังเลชั่วขณะ ก่อนพยักหน้า เดินนำเข้าไปข้างใน

             ห้องที่เคยอยู่แปลกเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่มีอาคันตุกะประหลาดย่างกราย ครอบครอง ที่เปลี่ยนจนรู้สึกชัดคือบรรยากาศ...มันเย็นยะเยือก อับทึบ หนาหนัก ราวถูกครอบคลุมด้วยหมอกพิษ

             แสงสีแดงอมดำรวมตัวเป็นผืน เคลื่อนตัวโอบล้อมสองพี่น้องไว้กึ่งกลางห้อง คุมเชิงกลาย ๆ ยังไม่แสดงทีท่าประสงค์ร้าย

             เอื้อกานต์สอดมือตนเองเข้าไปในมือทีเกื้อ บีบกุมกระชับแน่น ทั้งสองระบายลมหายใจยาวพร้อมกัน นัยน์ตาหลับลง สูดลมหายใจเข้าเป็นจังหวะเดียวโดยอัตโนมัติ

             พลังทั้งสองเชื่อมโยง รวมเป็นหนึ่ง ภาพนิมิตปรากฏในหัวเป็นกระไอหมอกสีเทาดำลอยคละคลุ้ง เคลื่อนตัว บิดเป็นเกลียวไม่ยอมหยุดนิ่ง

             เบื้องหลังหมอกสีเทา มีร่างหนึ่งยืนตระหง่านเป็นเงาดำ สงบนิ่ง แผ่รังสีเข้มข้น หนักแน่น คล้ายต้องการข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องขยับตัว

             ใคร? กระแสใจเอื้อกานต์ร้องถาม

             เสียงหัวเราะก้องกังวานดังเป็นคำตอบ ในเสียงหัวเราะแทรกด้วยคลื่นพลังงานไร้รูป ไร้สีพุ่งตรงมาปะทะไม่ทันให้ตั้งตัว

             ยามทีเกื้อกับเอื้อกานต์ร่วมใจเป็นหนึ่งเช่นนี้ จะมีกระแสพลังงานโอบล้อมเป็นเกราะกำบัง คุ้มครองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว พอคลื่นพลังงานฝ่ายตรงข้ามจู่โจมเข้ามา มันก็ชนปะทะกับเกราะแล้วแตกกระจายออกไปโดยไม่อาจทำร้ายคนทั้งคู่ได้

             หึหึ...ฮ่าฮ่าฮ่า...เสียงหัวเราะยังไม่หยุด กระแสพลังงานระลอกใหม่เวียนเข้ามาหวังทำลายเกราะคุ้มภัยนั้น หมอกหนาหมุนเวียน บีบรัดเข้ามาเรื่อย ๆ เงาดำที่ยืนเบื้องหลังดูจะขยายตัวใหญ่จนศีรษะแทบจดเพดานห้อง

             ทั้งสองไม่รู้สึกหวั่นไหว หนำซ้ำยิ่งถูกกระทำ ยิ่งรู้สึกจิตใจสามารถดิ่งรวมเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดพลังงานสีขาวจากภายใน ขยายตัวออกมาต่อต้าน ทำให้เกราะกำบังตนขยายขอบเขตกว้างขึ้น ๆ เบียดบัง ขับไล่หมอกดำที่บีบรัด จนมันร่นถอยติดผนัง

             มีแค่เงาดำเบื้องหลังยังยืนตระหง่าน ไม่ต่างจากขุนเขายากโยกคลอน พลังสองพี่น้องไม่สามารถขับไล่มัน แต่พลังไร้รูปของมันก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้

             การค้ำยัน ต่อต้านดำเนินไปเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ปรากฏฝ่ายใดมีอาการเพลี่ยงพล้ำมากกว่าเดิม เสียงในใจของเอื้อกานต์ก็ดังขึ้นมา

             พอเถอะในน้ำเสียงบอกถึงความไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะมาต่อสู้กันแบบนี้

             กระแสพลังชะงักงัน ต่างฝ่ายต่างร่นถอยกลับ ทีเกื้อ เอื้อกานต์สงบนิ่งในอาการเดิม เงาดำหลังหมอกหนาหดตัวเล็กลงจนเป็นปกติ

             คุณเป็นใคร?หญิงสาวถาม

             เงาดำไม่ขยับ ไม่มีปฏิกิริยาทั้งทางดี ทางร้าย กระแสคลื่นฝ่ายตรงข้ามลอยมาให้สัมผัส มันมีลักษณะบางอย่างที่สองพี่น้องเคยคุ้น รู้เห็น

             คิม เอื้อกานต์อุทาน

             ไม่ใช่!” ทีเกื้อแย้งทันที

             เขาคุ้นเคยกับคิมมากกว่าพี่สาว สัมผัสพลังงานสีดำจากฝ่ายตรงข้ามบ่อยครั้งกว่า จึงจดจำแม่นยำ คิมไม่มีความหนักแน่น รุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งพลังมืดของคิมก็ยังแฝงความร้อนแรงของไฟอาฆาต พยาบาทรุนแรง ในขณะที่พลังของฝ่ายตรงข้ามเวลานี้ ไม่มีแรงร้อนของโทสะ อาฆาต จะมีก็แต่พลังมืดอันหนักแน่น เหนือกว่า จนคิมทาบไม่ติด

             เหนือกว่าอย่างไร...บอกไม่ถูก

             ทีเกื้อแค่รู้...อีกฝ่ายไม่ใช่คิม

             พอโดนรู้ทัน จับได้เช่นนั้น พลังของอีกฝ่ายก็ถอยกลับ เงาดำพร่าเลือน คล้ายแวะมาทักทาย เยี่ยมเยียน แต่สองพี่น้องมั่นใจ อีกฝ่ายต้องมีเจตนาแฝงมากกว่านั้น



             ทั้งคู่ลืมตาพร้อมกัน แสงสีแดงอมดำหายไปแล้ว แสงสว่างในห้องยิ่งหรี่ลงกว่าเดิม จนทั้งห้องมืดสลัว เห็นรอบตัวแค่เงาราง ๆ

             บนผนังห้องด้านหนึ่ง ปรากฏภาพฉายขึ้นมา ไม่ต่างกับการฉายภาพยนตร์...ไม่ใช่ภาพที่เห็นในนิมิตอย่างเคย

             ภาพนั้นเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง มีเวทีขนาดใหญ่ วงดนตรีเต็มวง นักร้องหนุ่มกำลังยืนร้องเพลง คนดูแน่นขนัด ด้านหน้ามีป้ายชื่องานติดไว้

             คอนเสิร์ตอัญมณีวันวาน

             ภาพเวทีคอนเสิร์ตฉายให้เห็นบนผนังไม่เกินหนึ่งนาทีก็ดับหาย ไฟในห้องค่อยสว่างขึ้นจนกลับสู่สภาพปกติ

             ทีเกื้อปล่อยมือเอื้อกานต์ เดินไปสัมผัสผนังที่ว่างตรงนั้น แล้วมองรอบ ๆ ห้อง ทั้งที่เชื่อว่าไม่มีใครแอบติดตั้งเครื่องฉายหนังไว้แน่นอน

             สองพี่น้องมองหน้ากัน เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายราง ๆ

             การมาเยือนของเจ้าเงาดำปริศนานั้น ไม่มีเจตนามาข่มขู่ ทำร้าย ท้าสู้ หรือกระทั่งตักเตือน

             มันมาเพื่อท้าทาย...ท้าทายด้วยการบอกถึงสถานที่ วันเวลาที่จะปล่อยอาคมร้าย

             ในเมื่อเข้ามาบอกกันโต้ง ๆ อย่างนี้แล้ว พวกเขาจะมีความสามารถยับยั้งมันได้หรือไม่?




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกเข้า คิมหยิบมันขึ้นมากดรับ

             ครับ...อาจารย์

             ได้ ของสำคัญ ของเหยื่อแล้วใช่ไหม

             ครับ

             ถ้าอย่างนั้นเตรียมลงมือได้

             เมื่อไหร่ครับ

             อีกสามวัน

             ...เงียบ...

             ทำไมถึงไม่พูด...ต้องการเปลี่ยนใจแล้วหรือ

             เอ่อ...

             ถ้าจะเปลี่ยนใจก็บอก...ทุกอย่างจะได้ยกเลิก

             คือ...มันไม่เร็วไปหน่อยหรือครับ

             เวลาทำพิธี...ใครเป็นคนกำหนด

             อาจารย์...ครับ

             แล้วจะสงสัยอะไร แค่ทำตามคำสั่งก็พอ

             คือ...

             หรือว่า...การพบหน้ากับคุณหมอคนนั้น ทำให้อยากเปลี่ยนใจ

             ขอโทษครับอาจารย์

             ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษฉัน...ถ้าจะเสียใจ...ก็ขอให้ไปแสดงความเสียใจกับปณิธานของตัวเองดีกว่า...ตอนนี้คงลืมไปแล้วกระมัง...ว่าตั้งปณิธานอะไรไว้

             ไม่ครับ...ผม...ไม่เคยลืม

             หรือว่าคำพูดไม่กี่คำ ของตำรวจหนุ่มคนนั้นที่หน้าโกศ...จะทำให้เธอยอมละทิ้งความตั้งใจ

             ไม่ครับ

             ดี...งั้นเตรียมตัวทำพิธีในอีกสามวันได้แล้ว...ถ้างานนี้สำเร็จ เหลือแค่รายสุดท้ายก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

             ครับ



             เสียงวางสาย...คิมค่อย ๆ หย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ รู้สึกถึงน้ำเสียงที่แปลกไปของ อาจารย์ คลับคล้ายมีความนัยบางอย่างที่ปกปิด ไม่ยอมบอกเขา

             คิมไม่เคยสงสัย ความหยั่งรู้ของอาจารย์

             อาจารย์สามารถรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้ ทำได้ทุกอย่างที่ต้องการจะทำ พลังอำนาจของอาจารย์ลึกล้ำ กว้างขวางเพียงใด เขาไม่อาจหยั่งทราบได้

             เพียงแต่เวลานี้ คิมรู้สึก...อาจารย์กำลังทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ

             คำสั่งของอาจารย์เป็นสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติโดยปราศจากความสงสัยก็จริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ สมองยังคิดอ่าน ไตร่ตรองเป็น สัมผัสพิเศษที่เรียนรู้ ฝึกฝน เริ่มกล้าแข็งพอที่จะตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล

             คิมถอนใจ ไม่ว่าจะเกิดสังหรณ์ สงสัยอย่างไร เขาก็ไม่อาจขัดขืน บิดเบือนคำสั่งอาจารย์ได้




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             อีกสามวัน!” ทีเกื้อเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์บอกพี่สาว

             หลังจากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยอาคมร้ายในงานคอนเสิร์ตอัญมณีวันวาน นายตำรวจหนุ่มรีบเปิดคอมพิวเตอร์ เช็ครายละเอียดของงานนี้ จนทราบกำหนดการ เวลา สถานที่ชัดเจน

             สามวันเองเหรอ เอื้อกานต์มีสีหน้าหนักใจ

             คอนเสิร์ตอัญมณีวันวาน เป็นคอนเสิร์ตการกุศล หาเงินเข้ามูลนิธิแห่งหนึ่ง อีกทั้งจะแบ่งรายได้อีกส่วนช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ และภริยา มาเป็นประธานในงาน

             ทำยังไงดี...บอกให้พ่องดไปงานนี้ดีมั้ย ทีเกื้อเปรย กึ่งปรึกษา

             ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การจะไปหรือไม่ไปงาน...มันอยู่ที่วันและเวลาต่างหาก ต่อให้พ่อไม่ไปที่นั่น เขาก็ส่งอาคมมาได้อยู่ดี เอื้อกานต์แย้ง

             นั่นสิ ทีเกื้อถอนใจยอมรับ นิ่งคิดครู่ใหญ่ก่อนลุกจากเก้าอี้

             โอเค...รู้แล้วว่าจะทำอะไรก่อนหลัง

             เอื้อกานต์พยักหน้า เห็นด้วย...เข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวน้องชาย

             ลำดับขั้นการเตรียมการป้องกันถูกวางไว้ในหัวเรียบร้อย สามารถเร่งดำเนินการได้ในวันพรุ่งนี้

             เมื่อฝ่ายตรงข้ามให้ข้อมูลมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่ามั่นใจในฝีมือตนเอง เชื่อว่าต่อให้รู้ล่วงหน้าก็ไม่มีทางแก้ไขได้

             สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ แสดงให้อีกฝ่ายรู้...ถึงความสามารถแท้จริงของตน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อขับรถมาคฤหาสน์ท่านรัฐมนตรีแต่เช้า พร้อมด้วยเอื้อกานต์ ขณะรถผ่านประตู หญิงสาวอดมองรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกแปลกแยกไม่ได้

             นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง

             รถนายตำรวจหนุ่มจอดไล่เลี่ยกับรถยนต์อีกคัน ที่เพิ่งขับตามเข้ามา คนในรถทั้งสองลงจากรถเกือบจะพร้อมกัน

             สวัสดีค่ะพี่เอื้อ สัตตบงกชยกมือไหว้คุณหมอ คาดไม่ถึงจะพบกันที่นี่

             สวัสดีจ้ะหนูดี วันนี้พี่กับเกื้อขอมารบกวนแต่เช้าหน่อยนะ เอื้อกานต์พูดจาเป็นกันเอง

             พี่เอื้อบอกท่านล่วงหน้าหรือเปล่าคะ...ให้หนูดีขึ้นไปเรียนท่านเลยมั้ย หญิงสาวใส่ใจช่วยเหลือ

             ไม่เป็นไรจ้ะ พี่บอกพี่ภูมิไว้แล้ว เห็นว่าให้เข้าไปรอในห้องหนังสือได้เลย

             เอื้อกานต์พูดพลางจูงมือหญิงสาวรุ่นน้องเดินเคียงคู่ขึ้นบันได

             ทีเกื้อเดินตามหลังสองสาว นัยน์ตาจับอยู่ที่เบื้องหลังสัตตบงกช แววตาอ่อนโยน รอยยิ้มน้อย ๆ แตะที่ริมฝีปาก

             ขึ้นมาถึงหัวบันได พบธีรภูมิยืนรออยู่ รอยยิ้มของทีเกื้อค่อยจางลง สีหน้าจริงจังขึ้น

             มากันแล้วเหรอ...อ้าวหนูดีก็มาพร้อมกับเขาด้วย ธีรภูมิยิ้มทักทาย

             มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ หญิงสาวถามในฐานะเลขาฯรัฐมนตรี

             นิดหน่อยจ้ะ...แต่อย่าเพิ่งบอกให้คุณแม่พี่รู้นะ เดี๋ยวจะวุ่นวายกัน

             ค่ะ สัตตบงกชตอบรับ นึกสงสัยในท่าทางของสามพี่น้อง



             ธีรภูมิมองตรงทีเกื้อ แววตามีกังวล

             พี่บอกคุณพ่อคร่าว ๆ บ้างแล้ว เกื้อกับเอื้อเข้าไปคุยรายละเอียดกับท่านได้เลย ตอนนี้กำลังรอพวกเราอยู่ในห้องหนังสือแน่ะ

             ครับ ทีเกื้อตอบรับ

             เอื้อกานต์พยักหน้า เดินตามธีรภูมิโดยไม่รอน้องชาย ที่ยังไม่ยอมขยับตัว

             ทีเกื้อขยับตัวจะตามเอื้อกานต์ ธีรภูมิ แต่แล้วก็ชะงัก ลังเลก่อนหันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนมองเขาไม่ยอมไปไหน

             เอ่อ...ถ้ายายคุณหญิงนั่นลงมา...หนูดีไม่ต้องไปช่วยพูดกันอะไรให้พวกพี่หรอกนะ เขาถามอะไรก็ตอบตามตรงไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง

             สัตตบงกชเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม...เอาอย่างนั้นแน่หรือ?

             ทีเกื้ออมยิ้ม นัยน์ตาคมเป็นประกายหวาน...

             พวกพี่เอาตัวรอดได้น่า... เขาพูดพลางทิ้งรอยยิ้มจาง ๆ ไว้ที่ริมฝีปาก

             ชายหนุ่มรีบเดินตามพี่สาว พี่ชายเข้าไปที่ห้องหนังสือ ก่อนจะระงับจิตใจตัวเองไม่อยู่ พูดอะไรกับหญิงสาวที่เป็นว่าที่พี่สะใภ้มากกว่านี้

             เขาต้องคิดถึง งานสำคัญ ที่จะเกิดไว้ก่อนเป็นอันดับแรก...งานนี้มีเดิมพันสูง ถึงขั้นเสี่ยงชีวิตกันทีเดียว




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             บ้านหลังใหญ่สีขาว ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยว ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่รายล้อมเป็นชั้น ๆ ไกลออกไปจะเห็นท่าน้ำ และแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน

             บริเวณรอบบ้านรกเรื้อด้วยหญ้า วัชพืชเต็มไปหมด ขาดการดูแลรักษา ทั้งที่มันยังหลงเหลือเค้าความงดงาม ยิ่งใหญ่ อบอุ่นในอดีตเอาไว้

             คิมสะพายกระเป๋าใบใหญ่มุดรั้วมาทาง ช่องลับที่มีแต่ตนเองรู้ เวลานี้เขาเก็บของจากห้องเช่าต่าง ๆ มาทั้งหมด เพื่อหลบมาอยู่ที่นี่ เตรียมพร้อมสำหรับการทำพิธีสำคัญอีกครั้ง

             ห้องเช่าเหล่านั้น ทีเกื้อรู้จักแล้ว มันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ส่วนสถานที่นี้ ทีเกื้อไม่มีทางคิดถึง เพราะที่อันตรายที่สุด อาจเป็นที่ปลอดภัยที่สุด

             ที่สำคัญ...เขาเคยใช้ที่นี่ประกอบพิธีอาคม สังหารนายเกริกภพมาแล้ว เครื่องมือบางชิ้นจึงยังอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่จำเป็นต้องหาของชิ้นใหม่

             คิมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านเป็นเวลาเนิ่นนาน แววตาหดหู่ เจ็บปวดถึงที่สุด ก่อนตัดใจ ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ร้อนแรง

             เอาเถอะ...อีกไม่นาน การแก้แค้นทั้งหมด มันจะจบลงเสียที...จบลง พร้อมกับไม่มีคนชื่อ คิมอีกต่อไป



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP