วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๙


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ธีรภูมิเดินมาถึงหน้าห้องพ่อแม่ นึกไม่ออกควรหาเหตุผลใดมาอ้าง หากท่านทั้งสองขึ้นมาเห็น และยิ่งนึกไม่ออก...ตนเองมีจุดประสงค์ใด ถึงต้องแอบมาเข้าห้องบิดามารดา ในเวลาที่สองคนนั้นไม่อยู่

             ดอกเตอร์หนุ่มเคาะประตู ทั้งที่รู้ในห้องไม่มีคน พ่อกำลังทำงานในห้องหนังสือ ส่วนแม่มีประชุมย่อยวาระพิเศษกับกลุ่มผู้บริหารในห้องประชุมชั้นล่าง ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด

             ประตูเปิดออกหลังจากเสียงเคาะเงียบหาย ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไป สายตาพุ่งตรงไปที่บังตา หน้าประตูห้องเสื้อผ้า และห้องเก็บของใช้ส่วนตัว

             เขาเดินตรงยังประตูบานนั้นอย่างไม่ลังเล เหมือนในใจรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และของชิ้นนั้นอยู่ที่ไหน เพียงเดินได้สองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงเรียกจากเบื้องหลัง

             มาทำอะไรในห้องนี้ล่ะภูมิ ท่านรัฐมนตรีทักบุตรชาย

             คุณพ่อ... ธีรภูมิหันกลับมาตอบรับ ไม่รู้บิดาตนตามขึ้นมาตอนไหน ผมขึ้นมาเอาของให้คุณแม่น่ะครับ

             เหตุผลข้ออ้างถูกยกมาสด ๆ โดยไม่คิด แถมยังพูดต่อคล่องปากราวกับมีผู้กำกับบท

             พอดีคุณแม่กำลังประชุมอยู่ เลยให้ผมขึ้นมาหยิบแทน

             ได้หรือยังล่ะ คนเป็นพ่อถามโดยไม่ใส่ใจ

             ได้แล้วครับ ธีรภูมิหยิบของใช้ส่วนตัวมารดาบนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ไม่สนใจว่ามันเป็นอะไร

งั้นผมไปนะครับ หยิบของได้ก็เดินเลี่ยงจะออกจากห้อง

             เดี๋ยวก่อนสิภูมิ...รีบหรือเปล่า

             ไม่ครับ คุณพ่อมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ ธีรภูมิถามอย่างสงสัย

            เอื้อเป็นยังไงบ้าง คนเป็นพ่อห่วงการเผชิญหน้าระหว่างบุตรสาวนอกสมรสกับคุณหญิง

             อ๋อ...ไม่มีอะไร คืนนั้นผมโทรไปหาแล้ว เอื้อเขาโอเคดี พูดจบชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องที่น้องสาวฝากถามด้วยสายตามาได้

             ผมก็มีเรื่องอยากถามคุณพ่อเหมือนกัน

             เรื่องอะไร

             คืนนั้น เราคุยกันค้างอยู่ เรื่องของท่านทรงพล...

             อืมม์...ว่ายังไง ท่านรัฐมนตรีเดินไปนั่งบนเก้าอี้ รู้ว่าคงต้องคุยกันนาน

             ธีรภูมิเลื่อนเก้าอี้ใกล้ ๆ มานั่ง ในเมื่อมีโอกาสคุยกับบิดาเรื่องนี้แล้ว จึงตั้งใจหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด

             ผมอยากรู้เบื้องหลังคดีของท่านน่ะครับ พ่อพอจะรู้...หรือมีความเกี่ยวข้องยังไงบ้างไหม

             คนเป็นพ่อถอนใจยาว มองหน้าบุตรชายอย่างชั่งใจชั่วครู่

             เรื่องเกี่ยวกับคดีของท่าน พ่อไม่อยากพูดอะไรอีก เพราะเรื่องมันก็จบไปแล้ว

             แล้วพ่อคิดว่า ท่านทรงพลผิดจริงมั้ยครับ

             ท่านรัฐมนตรีหัวเราะหึหึ แววตาแปร่งแปลก

             เรื่องนั้นพ่อตอบไม่ได้หรอก...แต่บอกได้แค่...พ่อเป็นคนแอบไปบอกข่าวท่านทรงพล ก่อนจะมีการออกหมายศาล และคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ ให้ท่านรีบหนีไปโดยเร็ว...เพราะฝ่ายตรงข้ามจะคว่ำท่านแน่ ๆ

             ธีรภูมิอึ้ง มองบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้าของท่านรัฐมนตรีดูแก่ลงกว่าเดิมหลายสิบปี

             พ่อคิดไม่ถึงว่า เครื่องบินลำที่ท่านและครอบครัวโดยสาร มันจะเกิดเหตุระเบิด จนทำให้เสียชีวิตพร้อมกันทั้งหมด

             จากคำพูดนี้ ธีรภูมิพอเห็นราง ๆ...เหตุใดท่านรัฐมนตรีถึงโดนหมายหัว เป็นเหยื่อของฆาตกรปริศนารายต่อไป

             เหยื่อแทบทุกคน มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านทรงพลไม่มากก็น้อย จะว่าไป ท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ น่าจะหนักที่สุด เพราะแนะนำให้ครอบครัวท่านทรงพลไปเสียชีวิตบนเครื่องบินลำนั้น




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             วันนี้เป็นบ่ายวันหยุด ที่ใคร ๆ ควรพักผ่อนอยู่กับบ้าน

             สัตตบงกชตอบตนเองไม่ได้ เหตุใดใจถึงกระสับกระส่าย อยากไปบ้านท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ จนต้องยอมขับรถออกจากบ้าน ทั้งที่ยังคิดเหตุผล ข้ออ้างการไปที่นั่นไม่ออก

             โชคดีที่นอกจากเธอจะเป็นเลขารัฐมนตรีแล้ว ก็ยังเป็นคู่หมั้นบุตรชายท่านด้วย จึงสามารถเข้านอกออกในคฤหาสน์นั้นได้โดยสะดวก

             ตั้งแต่ขับรถผ่านหน้าประตูคฤหาสน์ จนเดินเข้าสู่ภายใน เจอเจ้าหน้าที่ คนงานหลายคน แต่ไม่พบเจ้าของบ้านทั้งสามเลยสักคนเดียว

             สัตตบงกชไม่สนใจ เจตนาการมาครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับคนทั้งสาม แต่เธอบอกไม่ถูกว่าต้องการอะไรกันแน่

             พอเข้าบ้าน ก็เดินขึ้นบันไดชั้นบนอย่างคุ้นเคย ขาทั้งคู่พาก้าวไปที่ห้องนอนประมุขของบ้าน

             จะไปห้องของท่านกับคุณหญิงทำไม...เราต้องการอะไรหญิงสาวถามตนเองในใจ

             ...ไม่มีคำตอบกลับมา...

             เดินจนเกือบถึงห้อง พบคุณหญิงอัปสรแต่งตัวเต็มยศเตรียมออกงานเปิดประตูออกมา

             สวัสดีค่ะ สัตตบงกชยกมือไหว้ ทักทายโดยอัตโนมัติ

             เธอ...มาทำอะไรที่นี่ คุณหญิงชะงักเท้า ขมวดคิ้วถาม

             พี่ภูมินัดให้หนูดีมาหาค่ะ เดินดูข้างล่างไม่เจอ เห็นเด็กบอกว่าพี่ภูมิอยู่ข้างบน หนูดีเลยตามขึ้นมา

             หญิงสาวพูดจาคล่องแคล่ว เหตุผลน่าเชื่อถือจนตัวเองยังแปลกใจ

             ตาภูมิไม่ได้อยู่บนนี้ น่าจะอยู่ในห้องหนังสือกับท่านนะ เธอลงไปดูสิ คุณหญิงพูดเป็นเชิงไล่

             หรือคะ

             ถ้าเป็นธรรมดา หญิงสาวคงรีบลงบันไดไปแล้ว...ไม่เข้าใจ เวลานี้ขาไม่ยอมขยับ เหมือนมันต้องการเข้าไปในห้องท่านรัฐมนตรีกับคุณหญิงให้ได้

             มีธุระอะไรอีก ดวงตาวิบ ๆ ฉายแววสงสัยปนขัดใจ

             สัตตบงกชยิ้มสวย ก่อนตอบ

             วันนี้คุณหญิงจะไปงานที่ไหนหรือคะ

             เธอไม่ใช่เลขาฉัน จะอยากรู้ไปทำไมคำตอบ บอกอารมณ์ไม่พอใจ

             ที่จริงสัตตบงกชเป็นว่าที่ลูกสะใภ้บ้านนี้ จะซักถาม พูดคุยอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานของเธอ หรือจะเดินไปทั่วบ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่วันนี้คุณหญิงรู้สึกหงุดหงิด ขัดหูขัดตาที่เห็นหญิงสาวคนนี้ในบ้าน

             เอ่อ... สัตตบงกชกำลังหาคำอธิบาย

             เธอมีธุระอะไรกันแน่ สัญชาตญาณของผู้หญิง สะกิดเตือนให้คุณหญิงรู้สึกถึงความแปลก ผิดปกติของว่าที่ลูกสะใภ้

             หรือเธอคิดจะมาพูดกับฉันถึงเรื่องโฉนดบ้านของเธอ คุณหญิงเขม้นมอง ราวจะขุดลึกถึงความในใจ

            คำพูดนี้กระตุกให้สัตตบงกชชะงัก อึ้ง พูดไม่ออกครู่ใหญ่

             เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ หญิงสาวปฏิเสธ

             คุณหญิงยิ้มหยัน รู้ทัน

             แม่ของเธอต้องการอะไรอีกล่ะ คำถามเช่นคนรู้ไส้รู้พุงกันดี แม่ของสัตตบงกชเป็นคน จมไม่ลง มีให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ คุณหญิงจึงใช้วิธีบางอย่าง ดัดหลัง ว่าที่แม่ยายของลูกชาย

             เปล่าค่ะ สัตตบงกชยืนยัน ปฏิเสธ

             สินสอดที่ฉันให้ไปก็มากพอแล้วนะ...ทรัพย์สิน สมบัติต่าง ๆ ของตระกูลที่แม่เธอเที่ยวไปจำนำ จำนองเขาไว้ ฉันก็ตามไปไถ่ถอน เอามาหมดแล้ว...แค่ยังไม่ยกให้เธอตอนนี้เท่านั้น...ทำไม...แม่เธอเขาอยากได้อะไรคืนล่ะ โฉนดบ้าน ที่ดิน หรือเครื่องเพชรประจำตระกูล

             ไม่หรอกค่ะ...ทั้งคุณแม่ และหนูดีเข้าใจ ถึงเหตุผลที่คุณหญิงเก็บของพวกนี้ไว้...ที่จริงก็เป็นบุญคุณเหลือเกินที่คุณหญิงช่วยไปไถ่ถอนมาให้ ลำพังหนูดีกับคุณแม่คงไม่มีปัญญา

             เพราะฉะนั้น เธอก็ควรทำตัวให้ดี เหมาะสมกับตำแหน่งลูกสะใภ้ของฉัน...อย่าลืม ยังมีผู้หญิงอีกมาก ที่อยากได้ตำแหน่งนี้...แล้วเธอคงเข้าใจนะ ถ้าหากไม่มีงานแต่งงานระหว่างเธอกับตาภูมิ...อะไรจะเกิดขึ้นตามมา

             สัตตบงกชก้มหน้า ไม่ตอบคำ คุณหญิงปรายสายตา เดินผ่านราวกับแลมองข้าทาสบริวาร

             หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ข่มใจ สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ความเจ็บปวดรวดร้าวเอ่อท้น แน่นหัวอกจนเกินระงับ

             ถูกต้อง...ถ้าหากไม่มีงานแต่งงานระหว่างเธอกับธีรภูมิ อะไรจะเกิดขึ้น...

             สมบัติทุกชิ้นของตระกูลเธอที่คุณหญิงไปไถ่ถอนจากเจ้าหนี้รายต่าง ๆ จะถูกยึด ไม่เหลือให้แม้แต่บ้านที่จะซุกหัวนอน

             คุณหญิงอัปสรเป็นนักธุรกิจผู้ชาญฉลาด รอบคอบทุกเรื่อง กระทั่งการวางแผน ลงทุน กับลูกสะใภ้

             สัตตบงกชเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม หน้าตา การศึกษา ชาติตระกูล แต่หนี้สินจำนวนมหาศาลที่มารดาเธอสร้างไว้ทำให้หลายคนต้องคิดหนัก

              การจะไถ่ถอนหนี้สินให้ตระกูลนี้ไม่นับว่าลำบากมากนัก การระวังป้องกันไม่ให้ คุณนายปทุมมา มารดาสัตตบงกชสร้างหนี้เพิ่ม เป็นสิ่งที่ยากกว่า

             คุณหญิงอัปสรกลับมีวิธีจัดการที่ไม่มีใครคิดจะทำ นั่นคือเธอยอม ล้างหนี้ ทั้งหมดให้ ส่วนทรัพย์สินทั้งหมดที่ไถ่ถอนกลับมา เธอต้องเป็นคนเก็บไว้ เพื่อไม่ให้มารดาสัตตบงกชนำไปใช้ค้ำประกันในการกู้ยืมอีก

             โดยคุณหญิงยินดีมอบคืนให้ในงานแต่งงาน พร้อมสินสอดทองหมั้นอีกจำนวนหนึ่ง เพียงแต่ว่าทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ต้องใช้ชื่อร่วมกันระหว่างธีรภูมิ กับสัตตบงกช

             คุณหญิงอัปสรต้องการเธอเป็นลูกสะใภ้ก็จริง แต่ไม่ยินยอมเป็นถุงเงินให้มารดาลูกสะใภ้หยิบใช้อย่างไม่จำกัด

             มันอาจเป็นเรื่องดี หากการแต่งงานราบรื่น ทว่าถ้ามีเหตุขัดข้องใดเกิดขึ้น เรื่องราวไม่เป็นไปตามต้องการ ไม่มีงานแต่งงาน อะไรจะเกิดขึ้น?

             การที่สัตตบงกชกับมารดาจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอาจเป็นแค่เรื่องเล็ก เรื่องที่หนักกว่านั้นคือ ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่สร้างสมมานานจะต้องพังทลายในรุ่นของเธอนี่เอง

             ยามที่เจ็บปวด ว้าเหว่ จนอยากร้องไห้ ระบายความคับข้องใจนี้ หญิงสาวคิดถึงอ้อมอกอุ่นของชายหนุ่มที่เคยโอบกอด ปลอบโยน ซับน้ำตา คำพูดอันอบอุ่น เป็นหลักแก่หัวใจอันอ่อนล้า

             รู้ว่าจากนี้ไป เส้นทางของเขาและเธอคงต้องเป็นเส้นขนาน

             ถึงแม้จะมองเห็นกันห่าง ๆ ก็ไม่อาจสัมผัสชิดใกล้ ไม่สามารถกระทั่งส่งความห่วงใย หวังดีถึงกันด้วยสายตา




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ยามเย็น วันหยุด

             เอื้อกานต์เข็นรถเข็นเดินซื้อของกิน ของใช้ในซูเปอร์มาร์เกตห้างสรรพสินค้าชื่อดังใกล้คอนโด มีคนมาจับจ่ายค่อนข้างหนาตา เดินไปเดินมาตามช่องสินค้าต่าง ๆ

             หญิงสาวเข็นรถไปด้านอาหารสด ผลไม้ หยิบจับ เลือกสรรใส่ถุงอย่างเพลิดเพลิน แล้วสายตาก็มองเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างนัก

             เขายืนนิ่งนัยน์ตามองตรงมา ใบหน้าสงบเฉย ราบเรียบ อยู่ใกล้กันจนเอื้อกานต์สัมผัสกระแสความคุ้นเคย เหมือนคนรู้จักขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็มีม่านดำ ๆ คลี่คลุมให้เขากลายเป็นอีกคน อีกกระแสความรู้สึกที่แปลกหน้า ไม่อยากเข้าใกล้

             เอื้อกานต์จงใจเข็นรถเข้าไปหา ระยะห่างเหลือแค่รถเข็นกั้น ชายคนนั้นไม่ขยับหนีไปไหน บอกชัดกำลังยืนรอ มีธุระต้องการสนทนา

             พอยืนใกล้จนมองเห็นใบหน้ากันชัดเจนขนาดนี้ คุณหมอสาวใช้สัมผัสพิเศษของตนเปิดรับรู้ตัวตนฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่ได้รับเป็นกระแสเย็นชา จืดชืด ห่างเหิน อีกทั้งยังมีหมอกดำคลี่คลุม ชวนให้คิดถึงภาพมารร้ายที่ย่างกรายไปแห่งใด ล้วนนำพาหายนะ และความตายมาสู่สถานที่นั้น



             สวัสดีค่ะ เอื้อกานต์เงยหน้าทักทาย ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้ง ทำเป็นไม่รู้จักกัน

             มาซื้อของหรือคะ คำถามนี้ไม่จำเป็นเลย...เพราะในใจแท้จริงต้องการถามว่า...

             มีธุระอะไรคะ



             ชายผู้นั้นก้มหน้าลง มองหล่อนด้วยดวงตาลึกเร้น ไม่อาจคาดเดาความรู้สึก

             คุณ กับน้องชาย...อยู่เฉย ๆ ได้ไหม เขาพูดถึง ธุระ ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม

             เอื้อกานต์ยิ้มน้อย ๆ สบตาเขาโดยไม่เกรง

             คุณคงได้คุยกับเกื้อแล้ว...น่าจะรู้ว่ามันเป็นตำรวจบ้า หัวดื้อ

             แต่คุณไม่ใช่ อีกฝ่ายย้อนคำ

             หญิงสาวหยิบถุงผลไม้ที่ตนเองเลือก ใส่รถเข็น แล้วเลื่อนรถไปทางด้านผักสด แน่ใจว่าเขาต้องเดินตามมา

             ปกติ...ฉันก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องงานของเกื้อ เอื้อกานต์พูดเรื่อย ๆ ไม่สนใจอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่

            แต่งานนี้มันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของพ่อ...ถ้าฉันยังอยู่เฉย ไม่สนใจ ก็คงอกตัญญูเต็มที

             ไม่มีเสียงตอบ เอื้อกานต์เห็นด้วยหางตาว่าชายหนุ่มยังเดินตามช้า ๆ ทอดฝีเท้าจังหวะเดียวกับเธอ

             ระหว่างสองคน ไม่มีคำพูดอื่นใดตามมา คุณหมอเลือกผักสองสามชนิดใส่รถเข็น จากนั้นเดินต่อไปด้านเครื่องดื่มแช่เย็น

             คุณอยากดื่มอะไรมั้ยคะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง หญิงสาวหันไปถาม

             เขาหยุดยืน ห่างจากหล่อนเพียงแค่เอื้อมมือ ระยะสั้น ๆ เท่านี้ต่างฝ่ายกลับรู้สึกมันช่างไกลกันเหลือเกิน ราวกับมีหลุมดำขนาดใหญ่กั้นกลาง

             ตกลงว่าคุณจะก้าวต่อไป น้ำเสียงเขาไร้ความรู้สึก

             ถ้าฉันอยู่เฉย แล้วคุณจะยอมหยุดมั้ยคะ คำถามประจันหน้า ต้องการคำตอบจริงจัง

             ไม่ คำตอบชัด ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

             ถ้าอย่างนั้นคุณมาบอกให้ฉันหยุดทำไม คุณหมอถามด้วยมาดดุ ๆ ไม่ต่างจากน้องชาย

             เพราะผม...ไม่ต้องการ...ทำร้าย...คนดี คำตอบสะดุดเป็นช่วง ๆ

             แล้วพ่อฉันทำไม่ดีตรงไหน หญิงสาวย้อนถาม

             อีกฝ่ายนิ่ง มองหล่อนด้วยแววตายากอธิบาย

             ทำไม...คุณไม่ไปถามเขาเอง

             พูดจบหันกลับ เดินจากด้วยท่าทีสงบ ปกติ ไม่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ถึงอย่างนั้นเอื้อกานต์ยังสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยว เดียวดาย และหมอกมืดดำ หนาหนัก ที่คลุมลงมาคล้ายปีกขนาดใหญ่...เป็นปีกแห่งปีศาจร้าย

             ชายคนนี้มีอำนาจ ความลึกลับจนน่าสะพรึงกลัว ทว่ายังมีกระแสอันอ่อนล้าบางอย่างที่แผ่มากระทบ ยามสัมผัสมันแล้วอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเวทนา สงสาร

             เขาตกอยู่ในวังวนความเคียดแค้น ชิงชัง สาวเท้าเข้ามาสู่ด้านมืดแห่งถนนสายพยาบาทเต็มตัว ไม่รู้จะสามารถหันหลังกลับได้หรือไม่

             เอื้อกานต์เห็นแล้วต้องถอนใจ...นี่หรือ...คือ คิม

             ฆาตกรร้ายฆ่าคนไร้ร่องรอย ผู้กำลังเดินปะปนอยู่ในหมู่ผู้คน จนไม่อาจแยกแยะ ดูออก




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             มืดแล้ว

             คิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมสวนสาธารณะ ใกล้กับคฤหาสน์ของท่านรัฐมนตรี บริเวณโดยรอบเงียบสงัด นาน ๆ จะมียาม หรือผู้คนเดินผ่านมาสักคน

             สายตาเขาทอดมองเงามืดของแนวต้นไม้แลลิบ ๆ ระลอกน้ำในบึงที่สะท้อนแสงไฟเป็นประกาย ทุกสิ่งในยามนี้ดูสงบ ไม่เคลื่อนไหว...มีแต่จิตใจของเขาที่กำลังพลุ่งพล่าน สับสน

             คิมตอบไม่ถูก เหตุใดเขาต้องไป เตือน ผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่รู้ คำเตือน หรือข่มขู่ไม่มีผลต่อสองพี่น้อง

             เขาอยากไป!

             นี่คือคำตอบที่ตนเองไม่กล้ายอมรับ

             อยากไป...อยากเห็นหน้าใกล้ ๆ ทั้งที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น

             หัวใจคิมเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนบีบเค้น ความเจ็บปวดซึมซ่านไปทั่ว...ยิ่งคิด ยิ่งเจ็บ ยิ่งระลึกถึง หัวใจเหมือนถูกฟาดโบย

             เขาจะทำร้ายตัวเองไปทำไม...เท่าที่มีชีวิตอยู่ปัจจุบัน มันเจ็บปวด เป็นทุกข์ไม่พอหรอกหรือ?

             สายตาคิมยังจับนิ่งบนระลอกน้ำ หูแว่วเสียงฝีเท้าเดินมาหาเป็นจังหวะช้า ๆ เขาไม่ละสายตาหันไปมองต้นเสียงสักนิด

             เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา คิมนั่งนิ่งไม่ต่างจากหุ่นปั้น เงาร่างดำ ๆ ในความมืดเดินผ่านหน้าไป เสียงฝีเท้านั้นค่อยเคลื่อนจาก เบาลง เบาลง

             บนตักคิมมีถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ เขาละสายตาจากผิวน้ำก้มมองมัน และหยิบขึ้นมาดู

             ของสำคัญมาถึงมือแล้ว

             นัยน์ตาเขาไม่มีแววยินดีสักนิด หนำซ้ำบังเกิดความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

             พิธีกรรมจะเริ่มได้ภายในไม่กี่วัน ทำไมเขาไม่ดีใจ...ทำไมใจถึงอึดอัด เศร้าหมองขนาดนี้




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๑๗



             ยามดึก

             เอื้อกานต์นั่งอยู่ริมระเบียง เงยหน้ามองความมืดบนท้องฟ้า แล้วทอดสายตาลงบนท้องถนนที่คลาคล่ำด้วยแสงสี รถราในเมืองหลวง จิตใจนึกเปรียบเทียบความสงบเงียบเบื้องบน กับความวุ่นวาย จอแจเบื้องล่าง วกกลับมาเห็นใจตนกำลังสัดส่าย กระจัดกระจายไม่ต่างจากสภาพการจราจรข้างล่าง

             เสียงประตูห้องเปิดออก หญิงสาวรู้ว่าใครเข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องหันไปมอง ไม่นานได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้ ร่างสูงทรุดตัวนั่งข้าง ๆ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ลอยมาสัมผัส ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่ายกระทบถึงใจตน

             ไปทำอะไรมา ถึงเหนื่อยขนาดนี้ คุณหมอถามทั้งที่สายตายังมองออกนอกระเบียง

            เสียงถอนใจเบา ๆ ดังแทนคำตอบ...เอื้อกานต์ขยับตัวเอียงศีรษะพิงไหล่ชายหนุ่ม ความรู้สึกทั้งสองเชื่อมโยงถึงกัน...เป็นความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า คลับคล้ายเพียงแต่คนละแบบ

             แล้วเอื้อล่ะ ไปทำอะไรมา ทีเกื้อสัมผัสความรู้สึกอีกฝ่ายได้ จึงย้อนถามคืน

             ไปเจอคิม คำตอบสั้น ๆ

             หือ... ชายหนุ่มหันหน้ามองพี่สาว เขามาเจอเอื้อได้ยังไง...ที่ไหน?

             คำถามตามมา แสดงความร้อนใจ เป็นห่วง

            เจอกันเมื่อเย็น ตอนไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต คนตอบไม่ปิดบัง

            แล้วเขามาทำไม

            มาเตือนให้เราอยู่เฉย ๆ อย่ายุ่งกับเรื่องคดี

             อะไรนะ... ชายหนุ่มสงสัย ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น

             หากคิมพูดเช่นนั้นจริง เท่ากับยอมรับว่าตนเองเป็นฆาตกร หรืออย่างน้อยก็มีส่วนรู้เห็น

             เขาบอกว่า...ไม่อยากทำร้ายคนดี

             คำตอบของเอื้อกานต์ยิ่งยืนยันชัดเจน...คิมยอมรับเป็นฆาตกรโดยตำรวจไม่ต้องคาดคั้น สอบสวน

             ทีเกื้อหรี่ตา สงสัย เขารู้จักคิมในระดับหนึ่ง เชื่อว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะยอมรับง่าย ๆ ตรง ๆ แบบนี้ ขนาดเขาซักถามต้อนไปต้อนมา อีกฝ่ายยังสามารถหลีกเลี่ยงเอาตัวรอดได้อย่างชาญฉลาด

             หรือว่า...คำพูดที่เขาพูดต่อหน้าโกศเจดีย์ของทรงกลดจะเกิดผล กระทบใจคิม

             เขาตั้งใจมาเตือนจริง ๆ หรือมีเจตนาแอบแฝง ทีเกื้อถาม

             เอื้อไม่รู้ แต่คำพูดบางอย่างของเขา มันชวนให้นึกสงสัย

             เขาพูดว่ายังไง

             คือ...เอื้อถามเขากลับว่า...พ่อทำอะไรไม่ดีตรงไหน? เขาก็ย้อนว่า...ทำไมไม่ไปถามพ่อเอง

             ทีเกื้ออึ้ง นัยน์ตามีประกายแปลก ๆ เอื้อกานต์หลับตา ระบายลมหายใจยาว ศีรษะยังพิงไหล่น้องชาย เหมือนต้องการอาศัยพักผ่อน คลายความอ่อนล้าจิตใจ

             เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เอื้อกานต์ค่อยพึมพำ กึ่งเปรยขึ้นมาเบา ๆ

             พ่อเราทำอะไรไม่ดีกับลุงทรงพลหรือเปล่าเกื้อ

             เสียงลมหายใจชายหนุ่มแรงขึ้น จนหญิงสาวลืมตา ขยับศีรษะมองหน้าเขา

             เกื้อรู้ใช่มั้ย!” เธอถามเข้าประเด็น

             นายตำรวจหนุ่มนิ่งครู่หนึ่ง ชั่งใจก่อนตอบ

             วันนี้เกื้อโทรฯ คุยกับพี่ภูมิ...พี่ภูมิบอกว่าเอื้อเคยคุยกับพ่อเรื่องลุงทรงพล แต่ยังค้างเรื่องความเกี่ยวข้องพิเศษบางอย่าง ซึ่งพี่ภูมิก็ถามให้แล้ว...เลยฝากมาบอก...

             ชายหนุ่มทิ้งช่วงประโยคนานจนพี่สาวต้องออกปากถาม

             ว่ายังไง?

             พ่อบอกว่า เป็นคนแนะนำให้คุณลุง คุณป้า พี่กลดหนีออกนอกประเทศ จนเครื่องบินตกตาย

             เอื้อกานต์อึ้ง พูดไม่ออกชั่วขณะ ก่อนตั้งสตินึกถึงเหตุผลได้

             แต่เครื่องบินตกครั้งนั้นเป็นอุบัติเหตุนี่...พ่อไม่มีทางรู้ล่วงหน้า แล้วหลอกให้ใครไปตายแน่ๆ

             ทีเกื้อหัวเราะหึหึ

             ข่าวจะบอกยังไงก็ได้ ข้อมูลความจริงเป็นยังไงเราไม่รู้...แต่สำหรับคนที่เจ็บปวดกับการสูญเสียน่ะ เรื่องนี้มันก็มากพอสำหรับการขึ้นบัญชีดำแล้ว

             เอื้อกานต์นิ่งฟัง อดยอมรับไม่ได้

             นอกจากเรื่องนี้แล้ว พี่ภูมิบอกอะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวถาม

             ก็...ทิ้งข้อมูลบางอย่างให้...วันนี้เกื้อเลยต้องไปตามสืบหลายที่จนต้องกลับบ้านดึกนี่ไง

             ทีเกื้อพูดเท่านี้แล้วหยุดเสียเฉย ๆ คนเป็นพี่สาวไม่ซักถามต่อ รอเขาพร้อมเป็นฝ่ายเล่าเอง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP