วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๗


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย





ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             สวัสดีครับคุณคิม...เชิญนั่งสิ ทีเกื้อเอ่ยทักโดยไม่ลุกขึ้นยืน

             คิมนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน หันมาถามด้วยสีหน้าปกติ ราบเรียบ

             สวัสดีครับผู้กอง ไม่ทราบมีธุระอะไรถึงเรียกผมมาที่นี่

             เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ทำเป็นไม่รู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องพูดจาไว้เชิงปะทะคารมยอกย้อน ต่างฝ่ายพร้อมเข้าประเด็นไม่เยิ่นเย้อ

             ผมอยากคุยกับคุณอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที ไม่ทราบว่าจะสะดวกมั้ย

             นั่นมันอยู่ที่คุณ จะคุยกับผมด้วยเรื่องอะไร

             ...คิม...ใช่ชื่อจริงของคุณหรือเปล่า

             เรื่องนี้คุณน่าจะทราบดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาถามผม

             นั่นสิ...ผมไม่ควรถามอะไรไร้สาระอย่างนี้

             ทีเกื้อพูดพลางยิ้มน้อย ๆ พร้อมยิงคำถามใหม่ตรงไปตรงมา

             ทำไมคุณถึงต้องฆ่าเหยื่อทั้งห้ารายนั่น

             คิมหันมามองนายตำรวจ แววตาสงบราบเรียบ ไม่แตกตื่นกับคำถามที่ได้รับ

             ผมไม่แน่ใจว่าผู้กองพูดถึงเรื่องอะไร เหยื่อ ห้ารายนั่นเป็นใคร...เกี่ยวกับผมตรงไหน...ทำไมคุณถึงมาถามเหตุผลที่ผมฆ่าพวกเขา

             นั่นสิ...นั่นสิ ทีเกื้อจงใจย้ำคำให้ฟังดูมีอารมณ์ขันผมไม่มีหลักฐาน พยานอะไรสักอย่าง ผู้ตายห้าคนนั่น ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุปกติธรรมดา...ตามความเห็นของแพทย์

             นายตำรวจหนุ่มย้ำคำท้าย คิมไม่ตอบคำ ความเงียบกางกั้นทั้งสองชั่วครู่

             ทีเกื้อเป็นฝ่ายพูดก่อน น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง

             หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ดีไหมครับ คำถามมีกระแสของการขอร้อง ชวนให้เกิดเมตตา

             ผมทำอะไรผิดกฎหมายหรือครับผู้กอง ถึงควรต้องหยุด คำย้อนราบเรียบ ไม่คุกคาม

             ถ้าตามกฎหมายเวลานี้ คุณไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ไม่มีหลักฐานสักชิ้นยืนยันว่ามือคุณเปื้อนเลือด...แต่ถ้าพูดถึงกฎแห่งกรรม...แค่ใจมีเจตนาอยากจะฆ่า ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามตกตาย มันก็เป็นกรรมฝ่ายอกุศลแล้ว...คุณถามใจตัวเองดีกว่า ว่ากำลังคิดอะไรอยู่...สิ่งที่คิดเป็นกุศล หรืออกุศล

             ใบหน้าคิมมีรอยยิ้มเย้ยหยัน ริมฝีปากไม่ขยับตอบ ทีเกื้อต้องรุกด้วยคำถามต่อไป

             เท่าที่ผมรู้ ผู้ตายสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอดีตรัฐมนตรีทรงพลเมื่อห้าปีก่อน

             ทีเกื้อหวังจะได้เห็นสีหน้าผิดปกติจากฝ่ายตรงข้าม... ผิดคาด คิมกลับเฉยเมย

             นายเดชาได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมหลังจากท่านทรงพลขอลาออก และเป็นคนสั่งไล่บี้สาวคดียาเสพติดในคุกให้ถึงที่สุด ส่วนลูกน้องนายเกริกภพ ก็เป็นโจรที่เข้าไปขโมยเงินร้อยล้านในบ้านท่านทรงพล...ซึ่งเวลานี้โจรพวกนั้นเสียชีวิต อย่างเป็นธรรมชาติ ในคุกเมื่อสี่ปีก่อน

             ทีเกื้อศึกษาเรื่องของอดีตรัฐมนตรีผู้นี้มากพอ จนได้ข้อมูลแวดล้อมเพิ่มเติมมากกว่าที่ได้จากธีรภูมิ

             ครับ...แล้วยังไง คิมย้อนง่าย ๆ

             คุณเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงกับท่านทรงพล

             นี่เป็นคำถามสำคัญ ทีเกื้อไม่คิดจะได้คำตอบจากชายผู้นี้

             ผมชื่อคิม ฝ่ายนั้นตอบ เป็นนักข่าวอิสระคนหนึ่ง...จะไปเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตระดับนั้นได้ยังไง

             ถ้าอย่างนั้น คุณมีความเห็นยังไง เกี่ยวกับคดีท่านทรงพล ทีเกื้อเปลี่ยนคำถามใหม่

             ดวงตาของคิมฉายแวววับ

             เรื่องนั้นมันผ่านมาหลายปีแล้ว คุณอยากได้ความเห็นด้านไหนล่ะ

             ตามข่าวที่คุณได้มา คุณคิดว่าท่านผิดจริงอย่างที่ถูกกล่าวหามั้ย

             แล้วเท่าที่คุณสืบประวัติท่านทรงพล คุณเคยเห็นท่านทำตัวด่างพร้อยตรงไหนบ้าง คิมใช้วิธีย้อนถามกลับเช่นเคย

             ไม่มี ทีเกื้อตอบชัด ท่านเป็นตัวอย่างของคนสู้ชีวิต เป็นเด็กต่างจังหวัด บากบั่นมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ จนสอบได้เป็นผู้พิพากษาตั้งแต่อายุยังน้อย ตลอดชีวิตการทำงานของท่านไม่เคยมีเรื่องเสียหาย ไม่เคยตัดสินคดีอย่างมีนอกมีใน คนในแวดวงกฎหมายยกให้ท่านเป็นเปาบุ้นจิ้นเมืองไทยด้วยซ้ำ

             คำตอบของผมอยู่ในคำพูดของคุณ คิมสรุป

             แสดงว่า คุณก็เชื่อว่าท่านโดนใส่ความ ทีเกื้อถามปัญหาต่อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงเห็นว่าท่านโดนใส่ความจนสูญเสียชื่อเสียง ทรัพย์สิน รวมถึงชีวิตตนเองและครอบครัว...คุณเลยต้องการทวงความยุติธรรมให้กับท่าน

             นายตำรวจหนุ่มพูดเรื่อย ๆ เหมือนเล่าเรียงความเรื่องหนึ่ง สายตาคอยสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามว่าจะหลุดความผิดปกติออกมาเมื่อใด

             ผมเป็นแค่นักข่าวอิสระ คิมตอบไร้ความรู้สึก เห็นเรื่องอยุติธรรมในสังคมมาตั้งเยอะแยะ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะมาเจาะจงอยากเรียกร้องความยุติธรรมให้แค่ท่านทรงพลคนเดียว

             ทีเกื้อหรี่ตามองคิม ไม่เห็นอารมณ์หวั่นไหวบนสีหน้าแววตานั้นเลย

             ถ้าคุณเป็นนักข่าวจริง ก็น่าจะรู้ข้อมูลอีกเรื่องนึง ได้ดีกว่าผม นายตำรวจเริ่มประเด็นใหม่

             คิมนิ่ง ทีเกื้อยิงคำถามสำคัญ

             ผมอยากรู้ว่าท่านรัฐมนตรีธีรนัฐเกี่ยวข้องกับคดีของท่านทรงพลยังไง ถึงถูกหมายหัวให้เป็นเหยื่อรายต่อไป!”

             เป็นครั้งแรกที่ดวงตาคิมฉายแววประหลาดใจ เขาแน่ใจว่าห้องตนเองไม่โดนงัด ไม่ถูกสะเดาะกุญแจ ทุกอย่างในห้องไม่มีร่องรอยการรื้อค้น เคลื่อนย้าย...แล้วเหตุใดจึงเกิดคำถามนี้

             เพียงวูบเดียวความประหลาดใจก็จางหาย กลายเป็นความสงบราบเรียบ น้ำเสียงคิมไม่ต่างจากสีหน้า ท่าทาง

             แล้วคุณตอบได้มั้ย ว่าเหยื่อรายอื่นนอกจากนายเดชา และนายเกริกภพที่คุณพูดถึงตะกี้ พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับคดีท่านทรงพลยังไง

             เมื่อถูกย้อนถามเช่นนี้ ทีเกื้อก็คิดหาคำตอบ...ใช่...ถ้าเขาได้คำตอบของสามรายแรก เขาก็จะได้คำตอบจากที่ถามคิมเมื่อครู่เช่นกัน

             เพียงแต่เวลานี้เขาไม่รู้...และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ การสืบหาคำตอบของมัน ไม่สำคัญเท่ากับการหยุดยั้งไม่ให้เกิดการฆาตกรรมซ้ำอีก

             ทีเกื้อเชื่อว่าเขานั่งอยู่ข้างฆาตกร ซึ่งตนเองไม่สามารถทำอย่างไรกับชายคนนี้ได้เลย

             ผมขอร้องคุณ...หยุดแค่นายเดชาได้มั้ย อย่าให้มันมากกว่านี้เลย ทีเกื้อขอร้องอีกครั้ง

             ผมทำอะไรผิดหรือครับผู้กอง คิมใช้คำตอบเดิมอีกครั้งเช่นกัน

             ทีเกื้อรู้ว่าหากการพูดคุยยังเป็นแบบนี้ต่อไป รับรองหาที่จบไม่ได้ เขาจำเป็นต้องหาทางอื่น ต้องยอมเอ่ยปากในเรื่องบางอย่างที่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่กล้าพูดเช่นนี้ได้อีก

             ถ้ารัฐมนตรีธีรนัฐเป็นเหยื่อรายต่อไป...ผมขอได้มั้ย...ถ้าคุณโกรธแค้นท่าน...ถ้าท่านเคยทำอะไรให้คุณต้องเจ็บปวด สูญเสีย ผมขอรับผิดชอบเรื่องนี้แทนท่านเอง...ถ้าคุณจะทำอะไรท่าน ก็ขอให้มาลงที่ผมนี่...ผมขอรับผิดทุกอย่างแทนท่านธีรนัฐทั้งหมด

             คิมนิ่ง...เงียบไปนาน ไม่คิดจะได้ยินคำพูดนี้จากปากฝ่ายตรงข้าม

             เพราะอะไร?

             คำถามสั้น ๆ ที่นายตำรวจหนุ่มไม่อาจไม่ตอบ

             ทีเกื้อสูดลมหายใจยาวลึก ก่อนพูดช้า ๆ

             เพราะท่านเป็นพ่อของผม!”

             คำพูดที่ไม่เคยเอ่ยปากบอกแม้กระทั่งเพื่อนสนิท กลับจำเป็นต้องบอกต่อชายแปลกหน้าคนนี้...เพื่อวิงวอน ขอร้องเขา...

             คิมเงียบไปนานหลังจากได้ยิน...ทีเกื้อกลับหยุดตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกลึก ๆ ในใจพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำในเขื่อนที่ทำนบแตกพังทลาย

             ใช่...เขาเป็นพ่อผม...เป็นพ่อที่ผมบอกต่อใคร ๆ ไม่ได้...พ่อที่ผมไม่มีสิทธิใช้นามสกุลของเขา ไม่มีโอกาสเรียกเขาว่าพ่อต่อหน้าคนทั่วไป...เป็นพ่อที่ไม่สามารถมาร่วมยินดีในวันที่ผมได้รับพระราชทานกระบี่...เป็นพ่อที่ไม่เคยมาเยี่ยมเวลาผมเจ็บตัว โดนยิงต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล...

             แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อผม เป็นผู้ให้กำเนิด แม่มักบอกเสมอว่าสายเลือดมันตัดกันไม่ขาด...เขาไม่ได้รักลูกเมียน้อยอย่างผมสักเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่เคยผูกพัน ไม่เคยมีประสบการณ์ดี ๆ แบบพ่อลูกกับเขาเลยสักครั้ง

             แต่ถ้าคุณจะฆ่าพ่อผม...คุณมาฆ่าผมดีกว่า...ผมยินดีตายแทนเขา



             นั่นคือทั้งหมดที่อยู่ในใจทีเกื้อ...

             นั่นคือเหตุผลสำคัญ ที่เขาเรียกคิมมาคุยในตอนนี้

             มันอาจเป็นทางรอดเดียว ที่สามารถช่วยชีวิตพ่อของเขาได้...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๑๕



             ห้างสรรพสินค้าปิดแล้ว

             ชายหนุ่มทั้งสองนั่งเงียบเป็นเวลานาน ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดจากปาก ไม่มีกิริยาท่าทางแสดงความเป็นมิตร หรือศัตรูต่อกัน ผู้คนหน้าห้างฯยังเดินกันขวักไขว่ แสงไฟริมถนนสว่างจัดตา ย้อมราตรีสว่างไสว ไม่รู้จักหลับนอน

             นาน...กว่าคิมจะยอมเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน

             คุณบอกเรื่องนี้กับผมทำไม?

             ไม่รู้สิ ทีเกื้อพูดง่าย เพราะคุณเก่งเกินไปมั้ง ผมพยายามไล่ต้อนยังไงคุณก็ไม่จน แล้วจากคดีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่า หากคุณต้องการฆ่าใคร เหยื่อรายนั้นจะไม่รอด...ผมไม่รู้ว่าคุณใช้อะไรเป็นอาวุธ และไม่รู้วิธีจะหยุดคุณด้วย

             ทีเกื้อหยุดพูด หันมองคิมด้วยแววตาแปลก ๆ

             ผมมีปืนจะยิงคุณตอนนี้ก็ได้...ถ้าคุณเก่งจริงก็อาจจะรอด หรือถ้าไม่รอด ผมก็ต้องกลายเป็นฆาตกร วิสามัญผู้ต้องสงสัยโดยไม่มีหลักฐาน พยาน...อาจโดนประณามว่าฆ่าผู้บริสุทธิ์ด้วยซ้ำ

             นายตำรวจหนุ่มถอนใจ

             ผมจะฆ่าคุณก็ไม่ได้ จะหยุดคุณก็ไม่ได้...มันก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว คือขอร้องคุณ!”

             คำพูดหนักแน่น ไม่มีร่องรอยล้อเล่น ท้ายเสียงคือความจริงใจ

ความจริงจังของทีเกื้อชัดเจนขนาดนี้ ทำให้คิมไม่คิดโยกโย้ ย้อนถาม...ทำไมถึงมั่นใจนักว่าเขาเป็นฆาตกร...

             เพราะการพบกันทางนิมิตซึ่งเป็นสัมผัสพิเศษนั้น ต่างฝ่ายต่างชัดแจ้งแก่ใจตน เพียงแค่มันไม่สามารถพูดออกไปให้คนอื่นยอมรับได้เท่านั้นเอง

             ผู้กอง... เสียงคิมอ่อนลงชีวิตของคน ๆ เดียว มันไม่สามารถชดใช้ แทนความสูญเสียอย่างมหาศาล ของครอบครัวทั้งครอบครัวได้หรอก

             ทีเกื้อขยับปากจะตอบคำ จมูกได้กลิ่นฉุนแปลก ๆ เป็นกลิ่นที่เขาเคยสัมผัสวันแถลงข่าว ตอนอยู่โรงพยาบาล ครั้งแรกที่เจอกับคิม...

             กลิ่นนั้นฉุนจัด พุ่งตรงเข้ามาเต็ม ๆ ทั้งที่ทีเกื้อเห็นอีกฝ่ายแค่หันหน้ามามองนิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวทำอะไรมากมาย

             นัยน์ตาทีเกื้อหรี่ปรือ ดูคล้ายไม่สามารถควบคุมตัวเอง เสียงคิมกระซิบเบา ๆ ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ...

             หลับซะเกื้อ แล้วลืมเรื่องทั้งหมดที่เราคุยกัน คำเรียกขานของคิมคุ้นหู น้ำเสียงคุ้นเคย พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เกื้อจะคิดว่าคิมไม่ได้มาตามนัด

             ทีเกื้อหลับตา ศีรษะพับกับพนักเก้าอี้ คิมถอนใจเบา ๆ แววตาอ่อนโยนชั่วแวบ ก่อนจะลุกขึ้น เดินจาก หายลับไปในหมู่ผู้คน กลมกลืนจนไม่อาจแยกแยะว่าอยู่ที่ไหน



             ครู่หนึ่งทีเกื้อค่อยลืมตา ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สายตาทอดมองผู้คนหน้าห้างฯ ถอนใจยาว ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบซองยาเล็ก ๆ ออกมา

             ในนั้นมียาเม็ดกลม ๆ ปั้นแบบลูกกลอนโบราณ ขนาดประมาณปลายนิ้วก้อยอยู่ประมาณสิบกว่าเม็ด

             ทีเกื้อหยิบมันใส่ปากสองเม็ด อมไว้ใต้ลิ้น รอให้มันละลายเข้าไปเอง

             สมองยังมึน เบลอจากฤทธิ์ยาของคิม แต่สติแจ่มชัด ความทรงจำไม่ขาดหายไปไหน...เขาคิดล่วงหน้าแล้วว่าสุดท้ายคิมต้องใช้ไม้นี้...ยาสลบที่ทำให้เขาหมดสติในครั้งแรกที่เจอกัน หนำซ้ำคราวนี้เพิ่มการสะกดจิตซ้ำ เพื่อให้เขาลืมเลือนการสนทนา

             ยังดีที่บันทึกคุณตา เขียนถึงสูตรยาสมุนไพรหลายชนิด ซึ่งบางชนิดมีฤทธิ์ใช้แก้คุณไสย ยาสลบ การสะกดจิตแบบต่าง ๆ ได้ ถึงจะไม่มีการรับรองผล ได้รับมาตรฐานอย. อะไรก็ตามแต่ ชายหนุ่มก็กล้าเสี่ยงพอที่จะเลือกบางสูตรที่ใช้แก้การสะกด ให้สองตายายช่วยหาตัวยาสมุนไพร มาปรุงผสมปั้นเป็นลูกกลอนเพื่อใช้ในกรณีเช่นนี้

             เพราะรอปั้นยาให้เสร็จนี่เอง หลังจากได้ข้อมูล เบาะแสจากธีรภูมิแล้ว เขาถึงยังต้องอยู่ที่บ้านคุณตาอีกสองสามวัน

             ก่อนมานั่งรอคิมที่หน้าห้างฯ เขาก็กินยากันล่วงหน้าไว้แล้ว แต่น่าจะกะปริมาณยาพลาดไปหน่อย ไม่ก็ฤทธิ์ยาของคิมแรงเกินไป ทำให้สมองเขามึนเบลอ เกือบสลบไปจริง ๆ จึงต้องกินยาตามไปอีกสองเม็ด

             โชคดีที่เขาไม่ถูกสะกดให้ลืมเรื่องราวที่คุย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ไม่ลืมสองประโยคสุดท้าย...คำเรียกขานคุ้นเคย เหมือนคนรู้จักกัน

             คิมเป็นใครกันแน่?




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ข้างห้องจัดเลี้ยงโรงแรมชื่อดัง

             เอื้อกานต์ตอบไม่ถูกว่า การมาของเธอครั้งนี้จะมีประโยชน์ สามารถช่วยอะไรได้หรือไม่...เธอรู้แค่ ถ้าวันนี้ต้องอยู่เฉย ไม่ทำอะไรสักอย่าง คงอึดอัดใจตาย

             ตั้งแต่นิมิตเห็นรูปพ่อในกระเป๋าของคิม มั่นใจว่านี่คือเหยื่อรายต่อไป ทีเกื้อกลับบอกให้หล่อนอยู่เฉย เขาจะจัดการเอง

             เธอสามารถทำตามที่เขาบอกได้แค่ในเวลางาน พอเลิกงานก็นึกห่วงพ่อขึ้นมาอีก อดใจไม่ได้ สุดท้ายต้องโทรไปหาธีรภูมิ เพื่อขอความช่วยเหลือ

             มีอะไรเหรอเอื้อ ธีรภูมิรู้สึกผิดปกติที่น้องสาวโทรมาหาเวลานี้

             พี่ภูมิรู้มั้ยคะว่าเย็นนี้ พ่อมีตารางงานไปที่ไหน หรือกลับบ้านเลย

             คืนนี้พ่อต้องไปงานเลี้ยงประจำปีบริษัทคุณแม่น่ะ

             เอื้อมีธุระอยากคุยกับพ่อเป็นการส่วนตัว พี่ภูมิพอจะช่วยได้มั้ยคะ

             ธีรภูมินิ่งไปครู่หนึ่ง

             ถ้าเอื้อมีธุระด่วน คืนนี้พี่พอจะพาพ่อหลบมาคุยได้สักห้านาที หรือถ้าอยากคุยนานกว่านั้นจะไปรอที่บ้านก็ได้ พี่จะบอกแม่บ้าน กับคนที่นั่นไว้ให้

             อย่างหลังคงไม่ไหว... เอื้อกานต์นึกถึงหน้าคุณหญิงขึ้นมาแล้วก็ยอมเลือกข้อเสนอแรก เอาอย่างแรกดีกว่าค่ะ...เอื้อมีเรื่องคุยไม่นานนัก ขอเวลาที่งานเลี้ยงสักนิดนึงก็พอ

             โอเค งั้นเอื้อไปรอพี่ที่โรงแรมเลย ถ้ามีจังหวะเมื่อไหร่ จะพาพ่อออกมาให้

             ขอบคุณค่ะพี่ภูมิ

             ไม่มีปัญหาหรอก

             ธีรภูมิรับคำ โดยไม่ถามสักคำว่าน้องสาวตนมีธุระอะไรด่วนนักหนา รอวันอื่นที่พ่อว่างน่าจะได้... เพราะรู้ คนอย่างสองพี่น้องฝาแฝดนั้น ถ้าไม่มีธุระสำคัญจริง ไม่มีทางเอ่ยปากขอร้องเขาเรื่องเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อโทสะคุณหญิงอัปสรอย่างยิ่ง



             เอื้อกานต์มาถึงโรงแรมตอนหัวค่ำ แขกทยอยเข้างานกันแล้ว ท่านรัฐมนตรีธีรนัฐจะเข้ามาเป็นแขกคนสำคัญปิดท้าย

             คุณหมอนั่งรออยู่ในห้องเล็ก ข้างห้องจัดเลี้ยง นัดหมายเวลากับธีรภูมิเรียบร้อย คาดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง พี่ชายคงพาพ่อมาคุยที่นี่ได้

             หญิงสาวได้ยินเสียงเพลงบรรเลงแว่วมาจากห้องจัดเลี้ยง แสดงว่าพิธีการหลัก ๆ คงผ่านไปแล้ว เหลือแค่รอจังหวะให้ท่านรัฐมนตรีปลีกตัวออกมาเท่านั้น

            ระหว่างรอก็นึกเรียบเรียงคำพูด เรื่องราวไม่ให้ฟังดูน่ากลัวเกินไป จนเวลาผ่านไปราวสี่ห้านาที ประตูห้องเล็กเปิดออก ธีรภูมิพาบิดามาถึงเรียบร้อย ไม่มีคนอื่นตามมาด้วย

             สวัสดีค่ะ เอื้อกานต์ยกมือไหว้ดูเป็นทางการ
 
             เป็นยังไง มีธุระอะไรกับพ่อหรือลูก ท่านรัฐมนตรีถามลูกสาว รู้สึกถึงความห่างเหินระหว่างกัน

             หลังกลับจากการประชุมครม.สัญจร ที่เกิดเรื่องครั้งล่าสุด พ่อลูกก็ไม่มีโอกาสพูดคุย ติดต่อกัน ขนาดทีเกื้อซึ่งเป็นตำรวจติดตาม ก็ไปทำงานด้านอื่น เปลี่ยนนายตำรวจอีกคนมาแทน

             เอื้อกานต์รอจนบิดาและพี่ชายนั่งเก้าอี้เรียบร้อยจึงเริ่มต้น

             งานศพของท่านเดชา ที่เสียชีวิตช่วงงานประชุมครม.สัญจร เรียบร้อยหรือยังคะ หญิงสาวเริ่มด้วยเรื่องไกลตัว จนอีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าเรื่องด่วนของหล่อนคืออะไร

             ยังหรอก ถึงนักข่าวจะเลิกตามข่าวแล้ว แต่ทางญาติเขาก็ยังเก็บศพไว้ร้อยวันถึงจะเผา

             พ่อทราบมั้ยคะ นอกจากท่านเดชาแล้ว ยังมีอีกสามสี่คนที่เสียชีวิตในลักษณะใกล้เคียงกันแบบนี้ เอื้อกานต์ลากเข้าประเด็นเปิดเรื่อง

             รู้สิ นี่เป็นเหตุผลที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเขาส่งเกื้อมาติดตามพ่อ

             ค่ะ...งั้นเอื้อขอพูดตรง ๆ เลยนะคะ เวลานี้เกื้อกับเอื้อได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่า เหยื่อรายต่อไปคือพ่อ!

             เฮ้ย...จริงน่ะเอื้อ ธีรภูมิอุทานขึ้น

             ผู้เป็นบิดากลับนิ่งฟัง ด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ

             พ่อรู้แล้ว ท่านรัฐมนตรีตอบ เจ้านายเกื้อเพิ่งบอกพ่อเมื่อบ่ายนี้

             อ๋อ...ท่านรองฯ คนนั้นใช่มั้ยครับ เห็นหนูดีบอกว่าขอพบด่วนแบบไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ธีรภูมินึกได้

             ผู้เป็นพ่อพยักหน้า เอื้อกานต์คาดว่าพ่อคงรู้แล้วเช่นกัน แต่ไม่แน่ใจว่าได้รู้ทั้งหมดหรือไม่

             ค่ะ เอื้อคิดว่าเจ้านายเกื้อคงบอกพ่อแล้วเหมือนกัน...แต่อยากมาย้ำอีกครั้งว่าต้องระวังตัวมาก ๆ เหยื่อทุกรายตายโดยไม่สามารถช่วยเหลือได้เลย

             แล้วควรทำยังไงดีล่ะเอื้อ...พอมีวิธีป้องกันมั้ย ธีรภูมิร้อนใจ

             พอจะมีค่ะ...ท่านรองฯ บอกพ่อหรือยังคะเรื่องของสำคัญที่ผู้ร้ายจะใช้เป็นสื่อ

             บอกแล้ว พูดพลางยิ้มนิดๆ ท่านรองฯบอกให้พ่อซ่อนของรัก ของสำคัญไว้ในที่ปลอดภัย เพราะมันอาจเป็นสื่อ ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้เล่นงานเราได้

             เอื้อกานต์พยักหน้ารับ พร้อมอธิบายเพิ่มเติม

             พลังที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมา เป็นพลังงานความโกรธแค้น อาฆาต...ถ้าเป็นไปได้ เอื้ออยากให้พ่อตั้งใจรักษาศีลห้าอย่างเข้มงวด ใช้พลังของศีลเป็นเกราะคุ้มตัว...ถ้ามีเวลาก็อยากให้ไปทำบุญกับกลุ่มคนด้อยโอกาส อย่างเช่นบ้านเด็กกำพร้า คนพิการ ฯ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากด้วยจิตใจที่มีเมตตาจริง ๆ เพราะความเมตตา เป็นขั้วตรงข้ามกับพลังฝ่ายโทสะ น่าจะพอคุ้มกันพ่อได้อีกชั้นนึง

             คุณหมอสาวหยุดพูดชั่วขณะ สังเกตปฏิกิริยาตอบรับจากฝ่ายตรงข้ามก่อนพูดต่อ

             สุดท้าย เอื้ออยากให้พ่อระวังอารมณ์ตัวเอง โดยเฉพาะความหงุดหงิด โกรธเคือง อย่าปล่อยให้มันครอบงำนานมาก เพราะอารมณ์เหล่านี้มันเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียวกับคนร้าย...มันจะดึงดูดเข้าหากัน ทำให้พลังร้ายมันเข้าถึงตัวพ่อง่ายขึ้น

             ธีรภูมินั่งฟังอย่างนึกไม่ถึง...นี่เป็นคำแนะนำจาก แพทย์หญิง แผนปัจจุบันแน่หรือ?

             เอื้อพูดเรื่องอะไรน่ะ...มันเกี่ยวกันยังไง พี่ไม่เข้าใจ

             คุณหมอสาวฟังคำถามของพี่ชายแล้วก็ถอนใจ ไม่รู้จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ให้ดอกเตอร์อย่างเขาเข้าใจได้อย่างไร

             พ่อเข้าใจแล้ว คนเข้าใจง่ายกลับเป็นท่านรัฐมนตรี ท่านรองก็บอกพ่อเหมือนกันว่าฝ่ายนั้นเขาใช้วิธี เล่นของ’”

             พูดจบเจ้าตัวก็ปลดกระดุมเสื้อ ดึงสายถักสีตุ่น ๆ ที่คล้องคอออกมาให้ดู

             ท่านรองฯ เขาให้พ่อมาคล้องคอ บอกว่าพอจะช่วยป้องกันพวกคุณไสยได้บ้าง...แต่ก็เน้นย้ำให้พ่อรักษาศีลอย่างที่เอื้อบอกเหมือนกัน

             เอื้อกานต์มองเชือกถักเส้นนั้น นอกจากเห็นความเก่าของมันผ่านสีเชือกตุ่น ๆ ยังสัมผัสพลังงานสีขาวที่มีกำลังกล้า น่าจะเป็นเครื่องรางที่ได้รับการแผ่เมตตาจากผู้ทรงศีลซึ่งมากด้วยเมตตาท่านหนึ่ง

             เห็นอย่างนี้ค่อยถอนใจเฮือกใหญ่ ทั้งสิ่งป้องกันตัว ทั้งความเข้าใจของพ่อ ทำให้รู้สึกโล่งอกกว่าครึ่ง

             การพูดคุยครั้งนี้ง่ายดายกว่าที่คิด คนที่มึน ๆ ไม่เข้าใจมากสุดคงเป็นดอกเตอร์หนุ่มอย่างธีรภูมิ ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องการตายปริศนาของคนในพรรคมาจากทีเกื้อบ้างแล้ว แต่นายตำรวจหนุ่มไม่เคยบอกเรื่องการ เล่นของ แบบนี้

             หนำซ้ำยังคาดไม่ถึง เป้าหมายต่อไปคือบิดาตนเอง

             ที่จริงเกื้อเคยบอกเรื่องการตายของเหยื่อ แล้วก็ข้อสงสัย สมมุติฐานของตำรวจมาให้รู้บ้างแล้ว แถมยังให้ช่วยหาข้อมูล ความเชื่อมโยงของเหยื่อแต่ละรายมาให้ด้วย

             ธีรภูมิพูดพลางมองบิดาตนด้วยแววตาสงสัย ไม่แน่ใจ

             เท่าที่รู้...เหยื่อทุกรายมีความเกี่ยวพันกับอดีตรัฐมนตรียุติธรรม...แล้วพ่อ...เกี่ยวพันกับท่านทรงพลยังไงครับ ธีรภูมิวกตั้งคำถามบิดาตน

             เอื้อกานต์สะดุ้งเฮือก ประกายความคิดถูกจุดวูบ จ้องหน้าบิดาอย่างตั้งใจรอฟังคำตอบ

             คนเป็นพ่อสบสายตาลูกทั้งสอง ถอนใจเบา ๆ

             พ่อรู้จักท่านดี...เพราะพ่อเป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุน ขอให้นำคนนอกอย่างท่าน มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เพื่อทำให้คณะรัฐมนตรีชุดนั้นน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ

             แล้ว... เอื้อกานต์กำลังเอ่ยปากถามถึงเบื้องหลังคดีของรัฐมนตรีผู้นี้ ว่าเกี่ยวกับบิดาตนหรือไม่ อย่างไร

             ทันใดนั้น ประตูห้องเล็กก็เปิดออก ผู้ที่ชะโงกหน้ามาเป็นตำรวจผู้ติดตามรัฐมนตรีธีรนัฐ

             อ้าว... เสียงผู้มาใหม่แปลกใจที่พบคนทั้งสามในห้องนี้ หนำซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นรัฐมนตรีในความดูแลของตนเอง

             ขออภัยครับท่าน เสียงพูดแสดงความเคารพเป็นทางการ เมื่อสักครู่คุณหญิงท่านให้ผมออกมาตาม และเชิญท่านเข้าไปในงาน มีแขกสำคัญต้องการแนะนำให้รู้จักครับ

              ได้สิ รัฐมนตรีธีรนัฐลุกขึ้นพร้อมบุตรชาย คาดว่าหากตนชักช้า คนที่มาตามอาจเป็นคุณหญิงเสียเอง

             เอื้อกานต์ลุกขึ้นอย่างนึกขัดใจ เรื่องสำคัญอยากรู้ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย จึงส่งสายตาบอกพี่ชาย เป็นเชิงให้เขาช่วยหาโอกาสถามให้อีกครั้ง ซึ่งธีรภูมิก็พยักหน้า แสดงท่าทางรับรู้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -  - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP