วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๔


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             โทรศัพท์จากอาจารย์ดังอีกครั้ง

             ครับ คิมรับสาย

             พร้อมจัดการเหยื่อรายที่หกหรือยัง

             พร้อมครับ

             ดี...ถ้าอย่างนั้นไปเอา ของสำคัญ ของเหยื่อมาได้แล้ว

             มันคืออะไรครับ

             มันคือ... เสียงตอบตอนท้ายแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน

             รับทราบ...ผมจะนำมันมาให้เร็วที่สุด

             ยังมีอีกเรื่อง...

             อะไรครับคิมสงสัย

             คราวนี้เสียงตอบเบากว่าเดิมจนเขาต้องพยายามตั้งใจฟังทุกคำพูด

             เข้าใจแล้วครับ คิมตอบรับเมื่อวาจานั้นจบลง

             เงียบ...สายถูกวางหลังพูดธุระจบ

             คิมระบายลมหายใจยาว...งาน...ต้องมีอุปสรรค...เขาผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาจนถึงรายที่หกแล้ว...อีกไม่นานงานก็จะจบ เหลือเหยื่ออีกแค่สองรายสุดท้าย...รายที่หก และรายที่เจ็ด

             ขั้นตอนการทำงานถูกเรียงลำดับในหัวอีกครั้ง

             เขาวางเหยื่อล่อสำหรับรายที่หกไว้แล้ว เมื่อครู่อาจารย์เพิ่งบอก ของสำคัญ ของเหยื่อรายนี้ เพื่อนำมันมาใช้ทำพิธี หากไม่มีมัน พิธีกรรมก็ไม่อาจลุล่วงได้

             เวลาของการแก้แค้นใกล้สิ้นสุด

             คิมนึกสงสัย...เมื่อสังหารเหยื่อครบเจ็ดราย เขาจะทำอย่างไรต่อไป?

             คำตอบคือความว่างเปล่า...

             ชีวิตเขาอยู่เพื่อการแก้แค้น พอแก้แค้นสำเร็จ ก็หมดเรื่องราวให้กระทำ ไม่มีอนาคต ไม่มีเป้าหมายอื่นในชีวิต

             คิมสลัดความฟุ้งซ่านออกจากหัว แล้วภาพ ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด...

             ภาพคุณหมอเอื้อกานต์...ตั้งแต่แอบติดตามดูเธอวันนั้น คิมก็ไม่อาจลบเลือนภาพเธอไปได้เลย




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เอื้อกานต์นั่งมองทีเกื้อที่นอนหลับเหยียดยาวบนโซฟา แววตามีความเอ็นดู เห็นสีหน้าเขาอิดโรย นัยน์ตาหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ผมเริ่มยาวยุ่งเหยิงอย่างคนไม่ใส่ใจตัวเอง อดไม่ได้ต้องเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมเขาให้เข้าที่เข้าทาง

             พอยกมือออก พบดวงตาคมดุคู่นั้นลืมขึ้น มองมายังเธอ

             ทำไมไม่ขึ้นไปนอนบนห้องล่ะ หญิงสาวถาม

             ทีเกื้อยิ้ม นัยน์ตาอ่อนโยนลง

             นอนตรงนี้ก็สบายดี เอื้อไม่ไปทำงานเหรอ

             วันนี้วันหยุด...ทำงานจนไม่รู้วันคืนเลยหรือผู้กอง น้ำเสียงหยอกล้อ

             นั่นสิ...ตำรวจเขามีวันหยุดที่ไหนกันพูดพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งเอน ๆ

             กี่โมงแล้ว เขาถาม

             สายแล้วล่ะ เกื้อจะออกไปอีกเหรอคุณหมอเป็นห่วง

             ยังหรอก ขอพักสักวันก็ดี...เหนื่อย... ท้ายเสียงอ่อน บอกความรู้สึกบางอย่างภายใน

             มีเรื่องอะไร เอื้อกานต์ถาม ความผิดปกติเช่นนี้สังเกตไม่ยาก

             ทีเกื้อถอนใจเบา ๆ สบตาพี่สาว รู้อีกฝ่ายกำลังอ่านความคิดของเขา

             มีเรื่องอะไร ถามประโยคเดิมอีกครั้ง หล่อนเห็นความสงบราบเรียบในใจเขา เป็นความสงบที่ซ่อนอะไรบางอย่างที่ตนเองยังอ่านไม่ออก

             เอื้อยังคิดถึงพี่กลดอยู่หรือเปล่า จู่ ๆ ทีเกื้อก็ถามถึงความรู้สึกต่อคนรักที่ตายไปของเธอ

             หัวใจเอื้อกานต์กระตุกเล็กน้อย ก่อนเป็นปกติ มองน้องชายด้วยแววตาคำถาม

             ทำไมถึงถามอย่างนี้ล่ะ หญิงสาวสงสัย

             เกื้อคิดถึงลุงทรงพล นี่เป็นอีกชื่อที่ทีเกื้อไม่เอ่ยให้เธอได้ยินมานานแล้ว

             เอื้อกานต์ไม่เอ่ยคำถามเดิมซ้ำซาก หล่อนเอนหลังพิงโซฟา สายตามองชายหนุ่มแสดงออกให้เห็นว่าตนเองกำลังตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ

             ทีเกื้อผ่อนคลายตนเอง ดวงตาฉายแววรำลึกอันงดงาม

             น่าแปลกนะ...เกื้อมีโอกาสเจอลุงทรงพลแค่ครั้งเดียว ได้อยู่ร่วมบ้านกันสองวันหนึ่งคืน แต่เกื้อกลับรู้สึกดีกับลุงแกมาก ๆ อิจฉาคนที่ได้เป็นลูกชายแก ตอนที่เกิดคดีนั่น เกื้อไม่เชื่อเด็ดขาดว่าแกมีส่วนร่วม พอแกเครื่องบินตก เกื้อช็อคไปเลยเหมือนสูญเสียคนที่เรารัก เคารพไป

             ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ

             พี่ภูมิบอกว่า นายเกริกภพ กับนายเดชาสองคนที่เพิ่งตายไป มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของลุงทรงพล เมื่อวานเกื้อเลยไปหาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับลุงแก เลยได้รู้ว่าสองคดีที่ลุงแกโดนกล่าวหามันมีเงื่อนงำแปลก ๆ แล้วเครื่องบินลำที่ตกนั่นก็เหมือนมีการปิดบังข้อมูลบางอย่าง มันทำให้เกื้อเชื่อว่า คิม ฆาตกรที่เราเห็นนั้น ต้องมีความเกี่ยวข้องกับลุงทรงพล

             คิม... เอื้อกานต์ทวนชื่อนี้เบา ๆ หวนนึกถึงภาพชายในนิมิต เขาเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงกับลุงทรงพล

             เกื้อยังไม่รู้ ตอนนี้กำลังตามรอยเขาอยู่ นายคนนี้ทำตัวลึกลับมาก ขนาดได้ภาพสเก็ตมาแล้ว ทางตำรวจยังสืบหาข้อมูลส่วนตัวของมันไม่ได้เลย

             เป็นไปได้ยังไง เอื้อกานต์สงสัย

             ก่อนที่จะมีการตั้งคำถามอีกหลายข้อ โทรศัพท์มือถือทีเกื้อก็ดังขึ้น เขาหยิบมาดูเบอร์สายเรียกเข้า ก่อนกดรับ

             เกี้ยง...ว่าไง

             ผมเจอไอ้คิม คนที่ผู้กองตามหาแล้ว

             เออ...ที่ไหนวะ ทีเกื้อดีใจแทบกระโดดลงจากโซฟา

             ที่เดิมแหละผู้กอง หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์บอก โชคดีฉิบหาย ผมมาส่งผู้โดยสารที่ตึกห้องเช่านี้ เจอมันกำลังเดินเข้าไปพอดี

             ดีแล้ว มึงคอยดูอยู่ที่นั่นนะ กูจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ

             ทีเกื้อลุกขึ้น ทำท่าผลุนผลัน คว้ากุญแจรถจะออกไปทันที เอื้อกานต์เอ่ยขัด...

             ไปอาบน้ำก่อนดีกว่ามั้ย ไม่น่าเสียเวลาเกินสองสามนาทีหรอก ที่พูดอย่างนี้เพราะรู้ว่าเขาใช้เวลาในห้องน้ำสั้นมาก

             ชายหนุ่มดึงเสื้อตัวเองมาดม ยกมือเสยผมที่ปรกหน้าแล้วบอกสั้น ๆ

             ไม่ได้อาบน้ำวันสองวัน ตัวยังไม่เน่าหรอกน่า แต่ถ้าพลาดจากไอ้คิมวันนี้ ไม่รู้จะตามตัวมันเจออีกเมื่อไหร่

             พูดจบก็รีบออกจากห้อง โดยไม่สนใจสีหน้าเหม็นเบื่อของพี่สาว




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ริมถนนฝั่งตรงข้ามหน้าตึกแถวเดิม

             ทีเกื้อใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาพบเจ้าเกี้ยงยืนคอยอยู่ตรงจุดนัดพบ สายตาของมันยังมองอยู่ที่หน้าตึกเป้าหมาย ไม่ยอมให้มีสิ่งใดหลุดรอดไปได้

             เป็นยังไงบ้างวะ

             มันเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้วผู้กอง ยังไม่ออกมาเลย น่าจะแอบมานอนมั้ง หนุ่มตี๋ตั้งข้อสังเกต

             โอเค...ขอบใจมาก ทีเกื้อตบไหล่เด็กหนุ่มเป็นการบอกให้รู้ว่าหมดหน้าที่ของเขาแล้ว



             เกี้ยงขับมอเตอร์ไซค์จากไป ทีเกื้อกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนเดินข้ามฝั่งไปยังตึกแถวที่พักของคิม

             เข้าไปตรงด้านหน้าตึก เด็กที่เป็นแคชเชียร์รู้จักกับเจ้าเกี้ยง เห็นเขามาตั้งแต่เมื่อวานจึงไม่พูดจาอะไร ปล่อยให้เดินไปอย่างสะดวก

             ชายหนุ่มขึ้นบันไดจนถึงชั้นที่คิมพัก เดินช้า ๆ ระมัดระวัง สายตามองรอบตัว มือแตะปืนที่เหน็บข้างเอวไว้อย่างรู้สึกอุ่นใจ คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน

             ที่ประตูห้องเช่า จะมีล็อคสองชนิด เป็นลูกบิดประตู และสายยูคล้องแม่กุญแจดอกขนาดกลาง เมื่อวานเจ้าเกี้ยงสามารถไขมันออกไม่ยากเย็น

             วันนี้แม่กุญแจที่คล้องสายยูหายไป แสดงว่าเจ้าของห้องมาแล้ว และน่าจะพักอยู่ภายใน ทีเกื้อสูดลมหายใจลึก ๆ พร้อมเผชิญหน้า ยกมือเคาะประตูเสียงไม่ดังนัก

             ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

             เงียบ...ไม่มีเสียงตอบกลับมา นายตำรวจหนุ่มเคาะประตูซ้ำอีกครั้ง ออกแรงมากกว่าเดิม เสียงดังกว่าเดิม

             เงียบ...ไม่มีเสียงตอบเช่นเคย เขาเอื้อมมือแตะปืน เงี่ยหูฟังเสียงภายใน ปรากฏว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่มีเสียงคนขยับตัว ไม่มีกระทั่งเสียงลมหายใจ

             ทีเกื้อลองจับลูกบิด บิดหมุน...มันสามารถเปิดตามมืออย่างง่ายดาย ประสาทตื่นตัวพร้อม มือล้วงจับด้ามปืน ขาก้าวเข้าห้อง เตรียมเผชิญทุกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง

             บานประตูเปิดกว้าง ทีเกื้ออยู่ในห้องแล้ว แสงสว่างยามสายส่องกราดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้า ฉายให้เห็นทุกสิ่งโดยไม่มีการปิดบัง อำพราง

             ในนี้ไม่มีใคร ไม่มีคน ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ แทบไม่แตกต่างจากเมื่อวาน

             มีสิ่งเดียวที่ต่างออกไป...สิ่งนั้นวางอยู่บนเตียง

             ทีเกื้อก้าวเข้าไปดู เห็นมันวางหรา ท้าทายสายตา...เมื่อเห็น มัน ตัวเขาเย็นวาบ ตัวชาดิกเหมือนโดนใครเอาน้ำเย็นจัดมาราดไม่ทันรู้ตัว

             มันเป็นภาพของเขาเอง...เป็นภาพถ่ายขณะเขากำลังอ่าน ค้นข้อมูลนายทรงพลอยู่ในห้องสมุด!

             ทีเกื้อถามตนเอง...ถ้าคิมสามารถแอบถ่ายรูปเขาเมื่อวานได้ แล้วมันจะยากอะไร หากนายคนนั้นจะเปลี่ยนจากกล้องเป็นปืน

             การมาเยี่ยมเยียนห้องนี้ถูกเจ้าของรับรู้แล้ว ฝ่ายนั้นตอบโต้ด้วยวิธีการนุ่มนวลที่สุด เป็นความนุ่มนวลที่น่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน

             ทีเกื้อหยิบรูปนั้นขึ้นมา ถอยหลังพิงประตู รู้สึกท้อใจเล็กน้อย...นี่เขากำลังต่อกรกับใคร?

             บุคคลผู้มีความสามารถเกินมนุษย์อย่างนั้นหรือ...

             ทั้งการฆาตกรรมแบบไร้ร่องรอย หลักฐาน ทั้งรับรู้การติดตามของตำรวจอย่างเหลือเชื่อ แล้วจากนี้เขาจะเจอการตอบโต้อย่างไรอีก

             ความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจชั่วแวบ จากนั้นความกล้าบ้าบิ่นก็เข้ามาแทนที่

             เอาสิวะ...เป็นไงเป็นกัน ทีเกื้อบอกต่อตนเอง

             ถ้าไม่แน่จริงเขาก็คงตามรอยมันมาถึงนี่ไม่ได้ คิมจะเป็นใคร มีความสามารถขนาดไหน เขาไม่สนใจ...คน ๆ นี้กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนที่ทำความผิด ย่อมไม่มีทางได้รับผลอันดีงามแน่นอน...เขามั่นใจ

             กำลังใจกลับคืน เสียงโทรศัพท์ก็ดังอีกครั้ง มาจากเจ้าเกี้ยงคนเดิม

             มีอะไร เขาถาม

             ผู้กอง...ผมเจอไอ้คิมนั่นอีกแล้ว น้ำเสียงมันตื่นเต้น สั่น ๆ บอกถึงความเหลือเชื่อ ประหลาดใจ

             อยู่ที่ไหน เขาถามเสียงรัวเร็ว

             อยู่ตรงซอยสามแยกใกล้ ๆ วินมอเตอร์ไซค์ผมนี่แหละ มันกำลังเดินไปไหนไม่รู้ ผมจะสะกดรอยตามมันไปนะ ผู้กองรีบตามมาเร็ว ๆ แล้วกัน

             ทีเกื้อรีบเปิดประตูออกจากห้อง เดินกึ่งวิ่งลงบันได มือยังไม่ปล่อยจากโทรศัพท์ เขารู้จักซอยที่เจ้าเกี้ยงบอก มันอยู่ไม่ห่างจากที่นี่นัก ตามปกติเขาควรสั่งให้ลูกน้องตามผู้ต้องสงสัยอย่างกระชั้นชิด ไม่ให้คลาดสายตา

             ทว่าคราวนี้ กลับเกิดความรู้สึกแปลก ๆ

             เกี้ยง...อย่าตามประกบมันใกล้นัก อยู่ห่าง ๆ ระวังตัวให้มาก

             ...กริ๊ก...สัญญาณขาดหาย ทีเกื้อวูบในอก ลางสังหรณ์แวบเข้ามา เขากัดฟันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า พอออกจากตึกห้องเช่า ก็วิ่งสุดฝีเท้าไปทางซอยสามแยกที่เจ้าเกี้ยงบอกทันที

             เลี้ยวซอกซอนตามซอยที่คุ้นเคย ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดสามแยกที่หมาย พอมาถึงกลับไม่เจอเจ้าหนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่พบร่องรอยใดทิ้งไว้ด้วย

             ทีเกื้อหยุดยืนนิ่ง ตั้งสติ หอบหายใจถี่ มองซ้ายมองขวา แยกซอยที่เห็นเป็นซอยเล็ก ๆ ใช้เชื่อมต่อระหว่างชุมชนตึกแถวเก่าบริเวณนี้ มองดูแล้วคาดเดาไม่ออกว่าควรไปตามเส้นทางไหนถึงจะถูกต้อง

             ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยังไม่เห็นเจ้าเกี้ยงโทรกลับมาบอกจุดหมายต่อไป เขาจึงกดโทรศัพท์หามันเสียเอง นึกภาวนาให้อีกฝ่ายปลอดภัย รับสายเขาโดยเร็ว

             ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...ไม่มีสัญญาณตอบรับ ทีเกื้อแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง นึกไม่ออกว่ามันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แบตเตอรี่มือถือหมด เจ้าเกี้ยงจงใจปิดโทรศัพท์ หรือว่ามันประสบเหตุไม่คาดฝันอะไร

             ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ มองดูซอยแต่ละแยก ตั้งสติ คิดว่าควรเลือกไปทางไหน แต่แล้วเขาก็มองเห็นร่างผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากซอกตึกข้าง ๆ เลี้ยวทางแยกที่จะตรงไปถนนใหญ่ได้

             เงาหลังนั้นคุ้นตาทีเกื้อ กระแสของชายผู้นี้กระทบใจเขารุนแรง คิม ไม่ผิดแน่...เขามั่นใจว่าชายคนนั้นคือคนร้ายโดยไม่ต้องเห็นหน้าด้วยซ้ำ

             ทีเกื้อไล่ตามโดยไม่เสียเวลาคิด ฝีเท้าเขาไม่ด้อยกว่าใคร หนำซ้ำยังออกกำลังกายเป็นประจำ เชื่อว่าอีกฝ่ายคงยากหนีพ้น คิมกลับว่องไวเกินคาด

             คิมไม่ได้ออกถนนใหญ่ เขาพาทีเกื้อลัดเลี้ยวตามซอกซอยเล็ก ๆ ราวกับต้องการกลั่นแกล้ง หยอกล้อ

             นายตำรวจหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล่อหลอกให้ตาม ก็ไม่ใส่ใจ เร่งฝีเท้ากวดกระชั้นชิด ระยะห่างร่นเข้ามาเรื่อย ๆ ดูแล้วไม่น่าเกินสิบเมตร เพียงแต่ทางเลี้ยว ทางแยกในซอยบริเวณนี้มีมากเกินไป คิมคล่องแคล่ว รวดเร็วเหลือเชื่อ สามารถหลบฉากได้ทุกครั้ง จนไม่สามารถย่นระยะห่างให้แคบจนคว้าตัวได้สักที

             ทีเกื้อไล่ตามมาจนถึงซอยที่เขาไม่คุ้นเคย เป็นซอยเงียบ ไม่มีคนสัญจร เดินผ่าน ใจไม่มีความหวั่นกลัว กลับยิ่งฮึกเหิม มองเห็นระยะห่างระหว่างกันแคบลง แคบลง จนมองเห็นต้นคออีกฝ่ายชัดเจน

             ไล่ล่ากันมาจนเกือบคว้าตัวได้ คิมก็เลี้ยววูบไปอีกทางแยก ทีเกื้อเลี้ยวตามแล้วก็ต้องสะดุด หยุดเท้ากึก

             ตรงไปข้างหน้าไม่เกินสิบเมตรเป็นทางตัน คิมยืนห่างจากเขาประมาณห้าก้าว แต่จุดที่ยืนนั้นมีซอกตึกที่สามารถเลี้ยวหลบหนีต่อไปได้อีก

             ที่ทีเกื้อชะงักเท้าไม่ปราดเข้าประชิดตัวคิม ไม่ใช่เพราะเกิดความหวั่นกลัวอะไร แต่ทว่าตรงสุดซอยนั้นเขามองเห็นเจ้าเกี้ยงกำลังโดนเด็กวัยรุ่นห้าหกคนรุมกระทืบจนสะบักสะบอม ตัวมันนอนขดป้องกันร่างกายส่วนสำคัญ ถ้าหากเขาเสียเวลาช่วยมัน คิมต้องหนีหายอย่างไร้ร่องรอย แต่ถ้าเขาวิ่งไล่จับคิมต่อ เจ้าเกี้ยงจะมีผลเป็นเช่นไร

             ช่วงเวลาแห่งการลังเล ตัดสินใจมีไม่เกินสองสามวินาที...

             เฮ้ย...หยุด!” ทีเกื้อตะโกนก้อง ดึงปืนพกขึ้นมาจ่อยังคิมและวัยรุ่นกลุ่มนั้น

             เสียงของเขาดังพอที่จะหยุดกลุ่มวัยรุ่นนั้นได้ ทีเกื้อใช้ปืนสะกดทุกคน พวกเด็กวัยรุ่นหันมามอง แววตาว่างเปล่า ไม่มีความหวาดกลัว แล้วหันไปกระทืบเจ้าเกี้ยงต่อ

             ปัง...ปัง นายตำรวจหนุ่มเหนี่ยวไกยิงขู่

             คิมใช้จังหวะนั้นหลบวูบหลังมุมตึก ป้องกันกระสุนที่จะยิงมา อีกทั้งพร้อมที่จะหนีต่อโดยไม่เกรงกลัว เด็กวัยรุ่นนั้นแค่หยุดมือเท้าชั่วคราว หันมามองเขาไม่ต่างจากเห็นตัวประหลาดที่ดีแต่ส่งเสียงดัง ไม่มีความสามารถแท้จริง

             ขณะนี้ทีเกื้อยืนอยู่บนแยกทางเลือกสองทางชัดเจน...จะตามล่าจับคิมต่อ หรือช่วยชีวิตเจ้าเกี้ยง...

             นายตำรวจหนุ่มหันปืนไปทางคิม ตั้งใจเหนี่ยวไกยิงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายแค่ยิ้มนิด ๆ อย่างรู้ทันแล้วชูมือเปล่าให้เห็นว่าตนเองไม่มีอาวุธ...ท้าทายว่าเขาจะยิงผู้ต้องสงสัยที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีหลักฐานความผิดใด ๆ เลยหรือไม่?

             ทีเกื้อกัดฟัน ถอนใจเฮือกใหญ่ เหน็บปืนตามเดิม คิมวิ่งหาย ลับตัวจากซอกตึก ชายหนุ่มสะบัดหน้าตัดใจ พร้อมกับปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กวัยรุ่นที่รุมกระทืบลูกน้องตนเองอย่างไม่ปราณี

             มันหันหน้ามา เห็นชัดเจนว่าแววตาเลื่อนลอย ไม่มีสติ เขากระชากตัวมันออกไปทีละคน พวกมันเตะต่อยสวนกลับ เรี่ยวแรงมากผิดธรรมดา

             คราวนี้คนที่โดนรุมเป็นทีเกื้อ ส่วนเจ้าเกี้ยงนอนฟุบกับพื้นอย่างไม่รู้ชะตากรรม

             นายตำรวจหนุ่มรับมือกลุ่มวัยรุ่นพวกนี้แบบหนักแรง ดูจากแววตา ท่าทางมันแล้ว เขาก็รู้ว่าพวกนี้ถูกสะกด จึงไม่กลัวความเจ็บปวด แถมมีเรี่ยวแรงมากกว่าปกติ

             ยังดีที่มันเป็นมวยวัดเสียมากกว่า แตกต่างจากนายตำรวจนักสู้มืออาชีพ ที่ผ่านการชกต่อยมาหลายรูปแบบ ทีเกื้อใช้เวลามากพอสมควร กว่าจะจัดการกับพวกมันจนราบคาบ นอนฟุบหมดสภาพอยู่บนพื้น

             พอจัดการพวกมันเสร็จก็รีบเข้าไปดูลูกน้องตัวเอง เห็นใบหน้าเจ้าเกี้ยงบวมปูด โชกเลือด ยังมีลมหายใจร่างกายทั่วไปไม่แตกหักถึงขั้นน่าหวาดวิตกอะไร

             ทีเกื้อถอนใจกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แล้วทรุดตัวกับพื้นข้าง ๆ ลูกน้องตัวเอง

             ถ้านี่เป็นข้อสอบวัดใจ เขาก็เลือกที่จะช่วยเจ้าเกี้ยง มากกว่าตามไล่ล่าคนที่ตนเองคิดว่าเป็นฆาตกรโดยไม่มีหลักฐานอะไร

             นายตำรวจหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองทำข้อสอบนี้ถูกหรือผิด...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๑๓



             เรียบร้อยใช่ไหม เสียงอาจารย์

             เรียบร้อยครับ คิมตอบ

             ดีแล้ว...ถึงตอนนี้มันคงรู้จักพวกเรามากกว่าเดิม

             แต่ผมไม่คิดว่านายตำรวจคนนั้นจะยอมหยุดเพียงแค่นี้

             ถ้ามันไม่หยุด เราค่อยหยุดมันเอง คำพูดราบเรียบ ชวนขนลุก

             คิมอึ้ง ไม่ตอบ

             ตอนนี้รีบไปเอา ของสำคัญ ของเหยื่อรายที่หกได้แล้ว

             ครับ

             มีคนเริ่มจับทาง สืบสวนเราแบบนี้ จะมัวชักช้า เสียเวลาไม่ได้

             ครับ

             วางสาย...คิมไม่มีคำถาม เรื่องสงสัยอีก

             เขาไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องซักถามอะไร สิ่งใดควรรู้ สิ่งใดควรทำ อาจารย์ จะโทรมาบอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิธีหาของสำคัญของเหยื่อ การเลือก คน มาใช้งาน กระทั่ง เตือนภัย หากมีใครเข้าใกล้ อาจเกิดอันตรายแก่ตนเอง

             ผู้กองทีเกื้อแอบเข้าห้องเขา...อาจารย์โทรบอก

             วิธีการตลบหลังนายตำรวจหนุ่ม...อาจารย์เป็นคนแนะนำ

             เส้นทางแก้แค้นของเขา เดินบนกระดานหมากที่อาจารย์วางไว้อย่างแยบยล เป็นขั้นตอน

             คิมไม่เคยสงสัยความสามารถของอาจารย์ ว่ามีความหยั่งรู้ลึกซึ้งเพียงใด มีชั้นเชิงแพรวพราวแค่ไหน เพราะแค่วิธีการ ฆ่าคน แบบไร้ร่องรอยที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินคาดเดาได้แล้ว

             หากจะสงสัย คงมีข้อเดียว...เขาไม่อาจรู้ว่า ปัจจุบันนี้ อาจารย์เร้นกายอยู่ที่ใด?




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             สัตตบงกชสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในห้องนอนยังทำงาน หญิงสาวตอบไม่ถูก ตนเองตื่นขึ้นมาเพราะเหตุใด...ฝันร้าย หรือใครส่งเสียงร้องเรียก

             รอบกายเงียบสงัด ความเงียบก่อให้ความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกมาเพ่นพ่าน วุ่นวาย

             หญิงสาวจำความฝันตนเองไม่ได้ จำได้แค่เสียงแปลก ๆ ดังก้องกังวานในหัว เสียงนั้นคล้ายออกคำสั่งบางอย่างซึ่งยากจดจำ

             พอจำไม่ได้ก็สลัดทิ้งง่าย ๆ ความคิดใหม่เวียนแทนที่...ความคิดถึงผู้ชายคนหนึ่ง...

             ทีเกื้อ...

             คืนนั้นที่บ้านคุณตา เป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำคืนหนึ่ง ถึงจะไม่ได้มีกันแค่สองคน แต่ความรู้สึก ความเข้าใจก็สื่อถึงกันไม่ยากเย็น

             เช้ามืดที่ต้นดอกแก้ว ไม่มีคำพูดจากันมากมาย หัวใจกลับอบอุ่น มีความสุข...ความสุขที่แสนสั้น

             หลังเรื่องวุ่นวายก่อนงานครม.สัญจร ทีเกื้อก็ไปสืบคดี ไม่ได้ติดตามรัฐมนตรีธีรนัฐอีก ใจหนึ่งหล่อนนึกยินดีที่ไม่ต้องพบหน้ากันให้รู้สึกผิด เจ็บปวด... อีกใจก็วังเวง อ้างว้าง อยากพบ อยากเห็นหน้า หัวใจยังตามติดเขาไม่คลาดคลา แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

             สัตตบงกชเลือก หน้าที่ สำคัญกว่า หัวใจ

             หญิงสาวหลับตานอนอีกครั้ง หวังเมื่อลืมตาจะสามารถลืมเลือนความรัก ความหลัง ลบเลือนใบหน้าผู้ชายที่ตนเองรู้สึกติดค้างหัวใจ

             ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น เคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย เสียงสั่งในหัวก็ดังมาอีกครั้ง

              พรุ่งนี้ไปพบคิม...พรุ่งนี้ไปพบคิม เสียงสั่งซ้ำ ๆ แล้วจางหาย เป็นระลอกคลื่นกระทบฝั่ง

             สัตตบงกชจดจำมันไม่ได้ ทว่า...ส่วนลึกในสมอง ถูกบันทึก สั่งการอย่างแนบเนียน ยากบิดพลิ้วขัดขืน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP