ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ Dungtrin's Secret

ความจริงอันน่าสังเวชของกายอื่น


secret

โดย ดังตฤณ

ระหว่างวันเดือนปีที่ค่อยๆทยอยอ่านหนังสือธรรมะหลากหลาย เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ภาคทฤษฎีอยู่นั้น ผมไม่ทราบจากที่ไหนมาก่อนว่าถ้าดูความจริงในกายใจนี้ของตัวเองดีๆ ก็มีสิทธิ์รู้ความจริงในกายใจอื่นได้ โดยแทบไม่จำเป็นต้องไปฝึกหัดวิชาใดเพิ่มเติมเลย

ช่วงหนึ่ง ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับกายของสัตว์อื่น อยากรู้ว่ากายของพวกมันให้ความรู้สึกอย่างไร และกรรมใดบันดาลให้พวกมันต้องมามีรูปชีวิตแบบนั้นๆ ทว่าก็ได้แต่สงสัยใคร่ดู อยากรู้อยากเห็น ตามประสาคนไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรู้ได้จริง

เมื่อยังไม่สามารถรู้ด้วยจิต ก็ต้องอาศัยรู้เอาด้วยตาเปล่าไปพลางๆ และจากการเฝ้าสังเกตหมาแมวใกล้บ้าน ก็เห็นแต่ว่าพวกมันเอาแต่นั่งๆนอนๆ วันๆย้ายที่จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง พอเจอเศษอาหารหรือเจอใครที่ทำท่าว่ามีสิทธิ์ให้อาหาร ก็จะระริกระรี้กระดิกหาง ความหมายของชีวิตมีอยู่แค่นี้เอง

ผมเข้าใจขึ้นมาในระดับความคิดว่า อัตภาพแบบสัตว์เดรัจฉานนั้น มีไว้เสวยผลของกรรมเก่าเป็นหลัก ไม่ได้มีไว้เลือกเส้นทางกรรมใหม่ได้อย่างมนุษย์เรา

เป็นมนุษย์นั้น วันดีคืนดีอยากสบายใจ อยากชุ่มเย็นเข้าไปถึงทรวง ก็ออกจากบ้านไปทำบุญตามสถานสงเคราะห์หรือศาสนสถานได้ตามอัธยาศัย โลกใบนี้แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้ขอ ซึ่งก็ไม่มีอะไรประกันว่าเมื่อใดจะได้ตามที่ขอ แต่หากคิดจะให้ คุณสามารถให้ได้ทันทีทันใจในบัดดล!

ส่วนเหล่าเดรัจฉานเล่า? การสร้างทานบารมีมักเกิดขึ้นจากการโดนธรรมชาติบังคับ เช่น เมื่อถึงเวลาเป็นพ่อเป็นแม่ต้องรับผิดชอบลูกเต้า หรือไม่ก็ถูกคัดสรรให้เป็นจ่าฝูงต้องรับผิดชอบลูกฝูง นอกนั้นโดยมากคือการอยู่แบบตัวใครตัวมันอย่างหมาแมว หรืออยู่แบบร่วมขบวนการยังชีพอย่างมดปลวก ยากยิ่งที่เราจะเห็นการอ้อนวอนขอ และยากนักที่เราจะเห็นน้ำใจแบ่งปัน

และเป็นมนุษย์นั้น ถ้าไม่เกิดในถิ่นแร้นแค้น และถ้าสติปัญญาไม่บอดใบ้ ก็อาจเรียนรู้อะไรใหม่ๆ พัฒนากาย พัฒนาสมอง และพัฒนาจิตวิญญาณได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดแรงบันดาลใจจากครูแบบไหน

ส่วนเหล่าเดรัจฉานเล่า? นอกจากกิน นอน ขับถ่าย และสืบพันธุ์แล้ว ก็ได้แต่ทอดสายตาเหม่อมองโลกท่าเดียว ไม่มีสิทธิ์ทำความเข้าใจเลยว่าโลกนี้มันมีขึ้นมาได้อย่างไร และถึงแม้สงสัยก็ไม่มีสิทธิ์ได้คำตอบงามๆเลยว่า พวกมันเกิดมาเป็นอย่างนี้ด้วยเพราะเหตุผลแบบไหน

การเกิดครั้งใดถ้าไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องชีวิต ไม่มีสิทธิ์สงสัยถามหาที่มาที่ไปของตัวเอง ก็แปลว่าการเกิดครั้งนั้นไม่มีสิทธิ์ได้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตแม้แต่ข้อเดียว!

วันหนึ่ง ผมเข้าสมาธิ ลืมเรื่องที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับกายใจของเหล่าสัตว์เดรัจฉานเสียสนิท ก็เฝ้ารู้เฝ้าดูลมหายใจไป ส่วนใหญ่เอาแต่เสพสุข แวะดูความไม่เที่ยงของกายและความฟุ้งซ่านนิดหน่อย แล้วหลงเพลินอยู่กับความสบาย เข้าสู่สภาพที่เหมือนทุกอย่างหายไป

จิตทำงานเองโดยตัวผมไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มจุดชนวนแม้แต่นิดเดียว จากภาวะว่างสบายหายห่วง ผมรู้สึกถึง กายมนุษย์อันทรงอยู่ และเป็นฐานที่ตั้งของสมาธิจิต โดยไม่เห็นว่าร่างกายเป็นตัวผม ไม่รับรู้และจำไม่ได้ว่าเป็นร่างที่มีเพศ ผิวพรรณ หรือหน้าตาเยี่ยงไร แต่ปรากฏเหมือนเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนทื่อๆอะไรอย่างหนึ่ง ให้รู้สึกว่านี่กายมนุษย์เท่านั้น

จากนั้นก็เกิดความรู้ชัดขึ้นมา เห็นร่างมนุษย์นี้เป็นภาวะทางธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งขึ้นด้วยความสว่าง ชั่วขณะนั้นผมไม่ทราบความหมายของ ความสว่างลึกซึ้งนัก รู้แต่ว่าเมื่อมีเหตุอันสว่าง ร่างอันสว่างนี้ก็ปรากฏได้ นับเป็นการจับคู่อย่างถูกฝาถูกตัวระหว่างเหตุกับผล

แล้วอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบแบบตั้งตัวไม่ทัน ผมเห็นความมืดชนิดหนึ่งก็ปรากฏ แล้วกายมนุษย์ก็แปลงร่างเป็นร่างของหมา จิตรู้ในชั่วขณะอันสั้นแสนสั้นว่าเมื่อความมืดชนิดนั้นปรากฏได้ ร่างหมาก็ปรากฏได้ อีกชั่วขณะหนึ่งก็เห็นว่าเมื่อความมืดระดับไล่ๆกันปรากฏได้ ร่างแมวก็ปรากฏได้

ปรากฏการณ์แปลงร่างจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนน้ำไหล แทบไม่พักหยุดให้ตีความใดๆ ผมเห็นความมืดที่หนักทึบขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เห็นนก ไก่ จระเข้ เสือ และอะไรอีกมากมายนับสิบนับร้อย เกิดความเข้าใจโดยรวมว่าอัตภาพแบบเดรัจฉานหนึ่งๆเกิดขึ้น ก็เพราะมีความมืดอันเหมาะกันบันดาลขึ้นมา ไม่ใช่ว่ามีอัตภาพแบบหนึ่งๆขึ้นมาได้ด้วยความบังเอิญ

กระบวนการรู้เห็นภาวะมืดอันเป็นต้นตอของเหล่าสัตว์ ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนาน ผมจำไม่ได้หมดว่าเห็นอะไรบ้าง แต่จำได้ชัดว่ารู้สึกแจ่มแจ้งหลังถอนจากสมาธิ เห็นว่ากายใจนี้เป็นเพียงภาวะชั่วคราวอย่างหนึ่งของผม ตัวผมยังอาจแปลงรูปเป็นอื่นได้อีกนับไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับว่ามีเหตุเป็นความมืดหรือความสว่าง

ตัวที่กำลังชูคอบนกระดูกสันหลัง ยืนอยู่ด้วยสองเท้า คิดอ่านชาญฉลาดและมีมโนธรรมที่พื้นจิตพื้นใจอย่างเราๆท่านๆนี้นะครับ มันก็แค่ตัวหนึ่ง แป๊บหนึ่งเท่านั้นแหละ ยังมีตัวที่โง่ๆ รูปร่างตลกๆ คิดอะไรทึบๆต่างจากนี้อีกแยะ และที่น่าสลดคือพวกเราต่างก็เคยผ่านภาวะดังกล่าวกันมาหมดแล้ว!

ช่วงนั้นผมยังไม่ได้ศึกษาละเอียดลงไปในเรื่องกรรมวิบากและบาปบุญ ยังโยงไม่ถูกด้วยซ้ำว่าความสว่างหมายถึงกำลังบุญ และความมืดหมายถึงกำลังบาป อันเป็นชนวนเหตุให้วิญญาณหยั่งลงในภพที่เหมาะสม

นี่ก็เป็นจุดที่อยากชี้ด้วยครับว่าการศึกษาภาคทฤษฎีหรือที่เรียกว่า ปริยัตินั้น อย่าคิดว่าไม่มีความหมาย อย่าคิดจะเอาแต่ ปฏิบัติท่าเดียว เพราะวันหนึ่งถึงแม้คุณปฏิบัติจนเกิดญาณหยั่งรู้ธรรมชาติของกายใจขึ้นมา คุณก็อาจไม่เข้าใจว่าที่รู้นั้นรู้อะไร และที่สำคัญคือไม่ทราบจะต่อยอดให้เป็นมรรคเป็นผลได้อย่างไรถูก

อย่างเช่นถ้าก่อนหน้าที่จะได้นิมิตแสดง เหตุเกิดภพหากผมเคยเรียนรู้เรื่องของ ปัจจยาการหรืออาการที่เป็นปัจจัยแก่กันไว้ ก็จะเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าความสว่างคืออะไร ความมืดคืออะไร

ความสว่างคือปัจจัยให้วิญญาณหยั่งลงในครรภ์มนุษย์ได้ และที่สว่างก็เพราะเคยคิดดี พูดดี และทำดีเอาไว้ จนรวมตัวกันกลายเป็นกองบุญกองกุศล

ส่วน ความมืดคือปัจจัยให้วิญญาณหยั่งลงในเผ่าพันธุ์เดรัจฉานที่เหมาะสมกับระดับความมืดหนึ่งๆ และที่มืดก็เพราะเคยคิดชั่ว พูดชั่ว และทำชั่วเอาไว้ จนรวมตัวกันกลายเป็นกองบาปกองอกุศล

เมื่อสัมผัสความมืดอันเป็นเหตุปัจจัยของภพภูมิเดรัจฉาน จิตของผมสามารถจำแนกเป็นความมืดระดับต่างๆ ไล่ตั้งแต่มืดน้อยๆ มืดกลางๆ ไปจนถึงมืดมากๆ

ถ้ามืดน้อยๆ ก็อาจก่อให้เกิดอัตภาพน่าเอ็นดูตามแต่บุญเก่าจะตกแต่ง สภาพจิตใจอ่อนโยน อย่างเช่นนกหลายๆพันธุ์ที่จับคู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียว ช่วยกันทำรัง และเลี้ยงลูกด้วยกัน ไม่เกะกะระรานใคร

ถ้ามืดกลางๆ ก็อาจก่อให้เกิดอัตภาพไม่น่ารักไม่น่าเกลียด สภาพจิตใจผีเข้าผีออกเอาแน่ไม่ได้ อย่างเช่นหมาแมวส่วนใหญ่ ที่เดี๋ยวดีกัน เดี๋ยวกัดกัน ถึงฤดูติดสัดก็ผสมพันธุ์กันแบบไม่ค่อยเลือกหน้าเท่าไหร่

ถ้ามืดมากๆ ก็อาจก่อให้เกิดอัตภาพชวนแขยง หรือถึงขั้นน่าขนพองสยองเกล้า สภาพจิตใจดุร้าย อย่างเช่นงูพิษและเสือโคร่ง หรือที่ชัดกว่านั้นก็เช่นตัวต่อที่ไล่ต่อยสิ่งมีชีวิตอื่นได้โดยไม่ต้องรอให้ถูกรุกรานเสียก่อน

ลักษณะความมืดอันเป็นต้นตอของภพเดรัจฉานนั้น ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อน ไม่ได้มีขนาดใหญ่เล็กเหมือนลูกบอล พูดง่ายๆคือไม่กินพื้นที่ในแบบจะเห็นกันด้วยตาเปล่า แต่มีความเข้มข้นที่สัมผัสรู้ได้ด้วยใจ

เหมือนเช่นที่คุณยืนมองทิวทัศน์ยามเย็น คุณเห็นความมืดหม่น แต่อีกพักหนึ่งเมื่อดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมโลกไปหมด คุณจะเห็นความมืดสนิทมาแทนที่ ทั้งความมืดหม่นและความมืดสนิทเป็นภาวะที่บอกขนาดไม่ได้ แต่แยกแยะเป็นระดับความเข้มข้นได้

ต้องภายหลังจากนั้นนาน ผมจึงแยกออกครับว่าระดับความมืดที่เข้มข้นมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีทำบาปด้วย
โลภะผิดๆ โทสะผิดๆ และโมหะผิดๆ ซึ่งพิสดารพันลึกเหลือเกิน อย่างเช่นถ้ามืดในแบบที่คุกรุ่นพร้อมจะอาละวาด ก็เหมาะกับภพของเสือสาง เป็นต้น

ทั้งความสว่างระดับที่มีสิทธิ์หยั่งลงในครรภ์มนุษย์ และทั้งความมืดระดับที่สมควรแก่การเข้าสู่เผ่าพันธุ์เดรัจฉาน ต่างก็ก่อตัวขึ้นด้วยความไม่รู้ ไปหลงยึดเหยื่อล่อ อันได้แก่กายใจในแต่ละชาติ กล่าวคือเมื่อเราๆท่านๆยังสำคัญมั่นหมายอยู่ ปักใจเชื่ออยู่ว่ากายใจคือเรา เราคือกายใจ ก็ย่อมใช้กายใจไปก่อกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง พอถึงเวลาจบชีวิต ความดีและความชั่วก็รวมตัวชั่งน้ำหนักชิงชัยกัน หากความสว่างชนะ จิตก็ถูกตกแต่งให้สว่าง และพร้อมจะยกขึ้นสู่ภพอันสว่าง แต่หากความมืดชนะ จิตก็ถูกตกแต่งให้มืด และต้องดำดิ่งลงสู่ภพอันมืด หลีกเลี่ยงไม่ได้

หากก่อนตาย จิตมีปัญญาแจ่มแจ้ง รู้เท่าทันว่ากายใจเป็นของหลอก เป็นเหยื่อล่อให้ยึด ก็ย่อมคลายจากมนต์สะกดของกายใจ เลิกหลงงมงายได้อย่างเด็ดขาดว่าอะไรๆเป็นเรา เป็นของเรา เห็นถนัดว่าโดยที่แท้กายใจเป็นเหมือนหุ่นกล ประชุมกันด้วยองค์ประกอบต่างๆชั่วคราว ไม่เที่ยง ต้องเสื่อมลงแสดงความไม่ใช่ตัวตนเป็นธรรมดา เมื่อนั้นจึงได้ชื่อว่าเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า ได้สำเร็จอรหัตตผล กลายเป็นคนธรรมดาที่เข้าใจโลกตามจริง ไม่ใช่คนบ้าที่เอาแต่ร้องว่าของเราๆ กายใจนี้จงเที่ยง กายใจอื่นอันเป็นที่รักจงเป็นของเราตลอดไป

เมื่อเป็นพระอรหันต์ ทำลายความไม่รู้ให้พินาศเด็ดขาด ก็หมายความว่าจังหวะขาดใจตายจะไม่กลายเป็นอื่น ไม่ไปสู่ภพหรือสภาวะอื่นอีก เพราะจิตเป็นอิสระจากแรงดึงดูดทั้งปวงแล้ว กองบุญและกองบาปไม่มีทางมารวมกันเพื่อแย่งตัวขึ้นสูงหรือลงต่ำอีกแล้ว ความว่างจากภาวะปรุงแต่ง ก็จะเข้ารวมกับมหาสมุทรแห่งความว่างอันไร้ขอบเขต ไร้ที่ตั้ง ไม่มีการอุบัติขึ้น และไม่มีการทำลายลง คงที่อยู่ในความเป็นบรมสุข และเป็นหนึ่งเดียวกันกับอะไรอีกอย่างที่อยู่เหนือการมีและการไม่มี

ระหว่างจินตนาการไปไม่ถึงว่ามหาสมุทรแห่งความว่างเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ให้เราสำเหนียกว่าภาวะนั้นเป็นของจริง เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ต่างจากกายมนุษย์และกายเดรัจฉานอันเป็นของเท็จ ต้องเลอะเลือนเป็นอื่น และดำรงอยู่ด้วยอาการกระสับกระส่ายน่าสังเวชตลอดเวลา ดังเช่นที่เราพบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ!



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP