วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๓


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             มีคนเคยบอก...โลกนี้ไม่เคยสร้างสิ่งที่สมบูรณ์ดีพร้อม...

             ดอกเตอร์ธีรภูมิ...ชายหนุ่มหน้าตาดี ความรู้สูง ชาติตระกูลดี ฐานะร่ำรวยมหาศาล อีกทั้งยังเป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นคนที่ใครก็หาข้อบกพร่องไม่เจอ...ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์

             ตอนที่เลิกกัน ทีเกื้อคิดว่าสัตตบงกชคงพบคนที่ดีพร้อม เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตในเร็ววัน ซึ่งเขาคงยอมรับ ทำใจยินดีกับเธอได้ไม่ยากนัก

             คนอย่างเขาใจกว้างพอ ยินดีเสมอ เมื่อวันนั้นมาถึง เขาเชื่อว่าคนที่เธอเลือกจะรักเธอได้ไม่น้อยไปกว่าที่เขารัก

             พอรู้ว่าชายคนนั้นเป็นธีรภูมิ พี่ชายเขาเอง ทีเกื้อแทบคลั่ง ว้าวุ่นใจ ทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่

             ธีรภูมิเหมาะสม ดีกว่าเขาทุกด้านก็จริง แต่ทว่า...ผู้ชายคนนี้ ไม่มีทางรักสัตตบงกชได้ อย่างที่เขารัก!

             เพราะรู้ ใจจึงหวง ห่วง เจ็บปวดขนาดนี้...เจ็บปวดจนไม่อาจตัดใจ ลืมเลือนอย่างง่ายดาย



            สองพี่น้องรับประทานอาหารเงียบ ๆ อีกครู่ใหญ่ ธีรภูมิจึงเงยหน้ามองน้องชาย แน่ใจว่าทีเกื้อไม่มีวันยอมพูดอะไร ที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเกิดความเสื่อมเสียเด็ดขาด

             หนูดีเป็นคนสวย นิสัยน่ารัก มีหนุ่ม ๆ ที่โน้นมาขอเดทเต็มไปหมด ธีรภูมิบอกเล่าลอย ๆ บางคนหล่อระดับดาราฮอลิวู้ด บางคนก็รวยเป็นนักธุรกิจใหญ่ ทายาทเศรษฐีน้ำมันยังมีเลย แต่หนูดีไม่เคยไปกับใคร เธอวางตัวดีมาก จนพี่ยกย่อง สงสัย เลยถามเธอว่าเพราะอะไร...ทำไมไม่สนใจใครเลย...หนูดีเขาบอกว่า มีแฟนแล้วอยู่ที่เมืองไทย เธอรักผู้ชายคนนี้มาก แต่ก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น อาจกลัวทางบ้านเธอจะรู้ล่ะมั้ง

             ทีเกื้อรับฟังโดยไม่ขัด ทั้งยังไม่แสดงท่าทีสนใจ ธีรภูมิอมยิ้มนิด ๆ

             ที่จริงพี่ก็ไม่เคยเคี่ยวเข็ญหนูดี หรืออยากรู้หรอกว่าแฟนของเธอเป็นใคร...จนคืนที่เกื้อเป่าขลุ่ยเพลงน้ำตาแสงไต้ แล้วหนูดีร้องไห้ พี่เองก็จำได้ว่าโทรศัพท์ของหนูดีใช้เพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้าด้วย...ท่าทางของสองคนมันแสดงอะไรออกมามากกว่าคำพูด คำยืนยันเสียอีก

             ถึงตอนนี้ทีเกื้อก็ยังไม่ปริปากพูด ไม่แสดงอาการยอมรับ และไม่บอกปฏิเสธ

             ตอนที่หนูดีพูดถึงผู้ชายคนนั้น หน้าตาเธอมีความสุข แล้วก็สวยขึ้นมาก ๆ ตอนกลับมาเมืองไทยพี่ยังเคยบอกให้หนูดีพาไปเจอกันหน่อย แต่หนูดีก็บอกว่าเลิกกันแล้ว...ด้วยเหตุผลที่พี่ก็เข้าใจ...ต่อมา เราก็หมั้นกัน

             ธีรภูมิเล่าเรื่องราวเสียยืดยาว กลับสรุปตอนท้ายสั้นนิดเดียว คล้ายต้องการเล่าข้ามเรื่องราวบางเรื่องไป

             ทีเกื้อไม่เอ่ยปากถาม ทำไมทั้งสองถึงหมั้นหมาย เตรียมแต่งงาน ทั้งที่รู้จักกันมากมายขนาดนี้...

             ชายหนุ่มรู้ข่าวว่า สินสอด ของหมั้นที่คุณหญิงอัปสรมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้มีมูลค่าสูงขนาดไหน และมันเพียงพอต่อการชดใช้หนี้สินครอบครัวหญิงสาวเพียงไร

             ทั้งยังเข้าใจจิตใจคุณหญิงชัดเจนอีกว่า...เธอต้องการปกปิดรอยด่าง ข้อบกพร่องของลูกชายตนเองขนาดไหน

             สัตตบงกช...หญิงสาวชาติตระกูลดี ความรู้สูง พิธีกรสาวคนดัง ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดคนหนึ่ง

             เรื่องเหล่านี้...ได้ยิน ได้ฟัง เข้าใจไปก็ไม่มีประโยชน์...มีสิ่งเดียวที่เขาอยากได้ยินคือคำยืนยันจากปากของพี่ชายตนเอง...

             พี่ภูมิ... ทีเกื้อพูดช้า ๆ สัญญากับผมได้มั้ย...

             ชายหนุ่มจ้องตาพี่ชายด้วยแววตาจริงจัง

             สัญญาว่าจะรัก...หนูดี...อย่างที่ผู้ชายคนนั้นรัก...

             ธีรภูมิหัวเราะแปร่ง ๆ ไม่กล้าสบตาน้องชาย คำพูดฝืดฝืนเหลือทน

             เกื้อ...อยากให้พี่...ต้องพูดโกหกเหรอ...

             ดวงตาทีเกื้อฉายแววเจ็บปวด นัยน์ตาธีรภูมิก็มีความรู้สึกผิด ทั้งสองไม่อาจพูดจามากความ ทั้งคู่เข้าใจจิตใจ ความจำเป็นของกันและกัน...เพียงแต่มันยาก และลำบากเกินกว่าทำใจยอมรับมันได้

             ธีรภูมิถอนใจเบา ๆ เอ่ยปากเสียงแผ่ว

             พี่รับปากเกื้อได้ข้อนึง...คือพี่จะช่วยหาข้อมูลที่เกื้ออยากได้ในคดีนี้อย่างสุดความสามารถ

             ทีเกื้อไม่ได้ตอบรับขอบคุณ...ไม่มีความจำเป็นต้องพูดพร่ำด้วยถ้อยคำมากมายขนาดนั้น พี่ชายคนนี้มีน้ำใจต่อเขาเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่เริ่มรู้จักกันอยู่แล้ว

             แต่เขาก็รู้...มีบางเรื่องที่ธีรภูมิอยากช่วย อยากทำให้...แต่ถ้าทำไม่ได้ นั่นก็หมายความว่า มันทำไม่ได้จริง ๆ



- - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -    





           เวลาบ่าย

           เอื้อกานต์กำลังเดินตรวจอาการคนไข้ในตามวอร์ดต่าง ๆ ระหว่างนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาสองสามครั้งซึ่งเธอไม่ได้รับสาย จนกระทั่งเสร็จจากคนไข้เตียงสุดท้ายค่อยโทรกลับ

           หวัดดีหมอเอื้อ นภรับสายตั้งแต่สัญญาณดังครั้งแรก

           ค่ะ มีอะไรเหรอนภ หญิงสาวถาม

           ได้ข่าวไอ้ทีมั้ย มันหายไปสองสามวันแล้ว มือถือก็ปิด

           เกื้อไม่ได้กลับบ้านสองสามวันแล้วเหมือนกัน เห็นว่าไปสืบคดีอยู่

           อ้าว...ไอ้ทีไม่อยู่บ้าน แล้วหมอเอื้ออยู่กับใครล่ะ นภเป็นห่วง

           เอื้ออยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องห่วงหรอก...แล้วที่ตามหาเกื้อ มีธุระอะไรหรือเปล่า

           ไม่มีอะไรหรอก แค่ท่านรัฐมนตรีถามหาน่ะ

           นภทำหน้าที่ติดตามรัฐมนตรีธีรนัฐแทนทีเกื้อ โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นบิดาของเพื่อนสนิท พอถูกถามถึงนายตำรวจติดตามคนเก่า จึงพยายามโทรหาเพื่อนตนเอง แต่ติดต่อไม่ได้

           แล้วมันไปสืบคดีถึงไหน หมอเอื้อรู้ไหม นภถามต่อ

           ตอนติดต่อมาครั้งล่าสุด เห็นบอกว่าอยู่ที่บ้านคุณตานะ แต่ตอนนี้ไม่รู้แล้ว

           หมอเอื้อเลิกงานกี่โมง ไอ้ทีไม่อยู่ให้ผมไปรับมั้ย นภเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว

           เอื้อกานต์อมยิ้ม นึกในใจ...นี่อาจเป็นเหตุผลจริง ๆ ที่นภโทรมาหาเธอก็ได้

           คืนนี้เอื้อเข้าเวร ไม่กลับบ้าน...นภไม่ต้องมารับหรอก

           อ้าว... น้ำเสียงผิดหวัง เสียดาย

           ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นเอื้อวางหูก่อนนะ มีงานต้องทำต่อ

           วางสายโทรศัพท์เสร็จ เอื้อกานต์เดินกลับห้องพักแพทย์ ขณะก้าวขาได้สองสามก้าวก็สะดุดกึก สันหลังชาวาบ เหมือนมีคนจับจ้อง มองอยู่

           เหลียวมองกลับหลัง ไม่พบคนแปลกหน้า มีแค่พยาบาลที่คุ้นเคย กับคนไข้ที่เห็นหน้าประจำ ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกว่าสายตาคู่นั้นยังไม่หายไปไหน เขามองเธอจากที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโรงพยาบาลนี้

           เอื้อกานต์เดินย้อนกลับทางเดิม สอดส่ายสายตามองหา คนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบพานมาก่อน คนที่สายตามีพลังบางอย่าง สะกิดความตื่นตัวแก่เธอ

           เธออยากเจอเขา...อยากเจออย่างรุนแรงโดยไม่รู้สาเหตุ



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             คิมหลบวูบ เมื่อเอื้อกานต์หันกลับ และเดินย้อนตามหา...

             เขามาโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อแอบสะกดรอย ตามดูเธอ...หญิงสาวในนิมิต ผู้สามารถต่อต้านอาคมของเขา หนำซ้ำยังไล่ตามมาเจอกันในนิมิตได้

             พบหน้ากันในนั้น ไม่เหมือนกับการได้เจอตัวจริง ได้แอบติดตามดูเธอทำงาน พูดคุยกับคนไข้ พยาบาล กระทั่งคุยโทรศัพท์เมื่อครู่

             ขณะเดินตามเขานึกสงสัย ผู้หญิงคนนี้มีอะไรพิเศษ เพราะเท่าที่ดูก็ปกติธรรมดา

             จนกระทั่งเธอคุยโทรศัพท์ถึงตอนท้าย ที่คนในสายพูดจาคล้ายจะนัดเดทเธอ คิมรู้สึกถึงอารมณ์โทสะที่พุ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ...แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกตัว

             เธอชะงักฝีเท้า และเหลียวหลังกลับมาดู...เท่านี้คิมก็รู้แล้วว่า คุณหมอคนนี้มีสัมผัสพิเศษ

             ตลอดบ่าย เขาตามดูเธอเฉย ๆ เธอก็ยังไม่รู้สึกอะไร พอเขาเกิดหงุดหงิด มองเธออย่างโมโหชั่วแวบ เธอกลับรับรู้ได้

             คุณหมอคนนี้มีสัมผัสพิเศษ เช่นเดียวกับนายตำรวจหนุ่ม น้องชายของเธอที่เขาเคยเผชิญหน้ากันคราวก่อน...

             ถ้าอย่างนั้น เขาควรจัดการอย่างไรกับพี่น้องคู่นี้ดี?

             คิมชะงักเมื่อเกิดคำถามนี้ขึ้น...ที่ผ่านมา เขาสังหารเหยื่อที่สมควรถูกสังหาร ฆ่าคนเลวที่สมควรตาย...เขาไม่เคยฆ่าคนดี หรือคนที่รักษากฎหมายแบบนี้

             เอื้อกานต์พยายามเดินตามหาเจ้าของสายตาที่ไม่เห็นตัวตน...คิมหลบออกมาไกลแล้ว ถึงอย่างนั้นสายใยบางอย่างก็โยงยึดระหว่างกัน ทำให้คลับคล้ายมองเห็น รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันได้ไม่ยาก

             เวลานี้ คิมไม่มีคำตอบให้ตนเอง ว่าควรทำอย่างไรกับเอื้อกานต์ ทีเกื้อ... ส่วนลึกในใจ เขาอยากให้ทั้งสองหยุดอยู่แค่นี้ อย่าสืบสาวไล่ล่าไปไกลนักเลย

             ไม่เช่นนั้น...เขาคงต้องทำ ในสิ่งที่ไม่อยากกระทำ



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             ทีเกื้อยืนอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลหลังหนึ่ง ประตูหน้าบ้านทำเป็นซุ้มไม้เลื้อย ซึ่งรกร้างขาดคนดูแล

             เมื่อมองตัวบ้านจากภายนอก เห็นความเก่า ทรุดโทรม ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีเค้าความสวยงาม น่าอยู่หลงเหลือให้เห็น

             อย่างน้อยก็หลงเหลืออยู่ในความทรงจำทีเกื้อ...

             ความทรงจำที่บันทึกไว้ว่า...บ้านตากอากาศหลังเล็ก ๆ นี้อบอุ่น น่าอยู่เพียงใด เมื่อมีคนในครอบครัว พ่อ แม่ ลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ใช้เวลาสั้น ๆ ไม่กี่วันในการพักผ่อนอย่างมีคุณค่า ทำให้คนนอกอย่างเขาต้องมองดูด้วยความชื่นชมแกมอิจฉา

             บ้านหลังนี้เป็นของอดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม นายทรงพล...



            หลังได้ยินเรื่องจากธีรภูมิ เขาก็คิดถึงบ้านตากอากาศแห่งนี้เป็นที่แรก ไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุง ซึ่งเวลานี้ถูกขายทอดตลาดไปแล้ว

             ประตูหน้าบ้านเก่าโย้ จวนจะพังแหล่มิพังแหล่ กุญแจที่คล้องก็เก่าคร่ำ สนิมเขรอะ ไม่สามารถล็อค ป้องกันคนร้ายได้เลย

             ทีเกื้อถอนใจยาว ตัดสินใจไม่ถูกควรแอบเข้าไปดีหรือไม่...ไม่รู้เข้าไปแล้วจะพบอะไร ระหว่างหลักฐานในคดีกำลังสืบ กับความทรงจำงดงามที่ถูกเก็บไว้

             ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เอื้อมมือจับกุญแจแล้วดึงมันออก รู้ว่าสภาพเช่นนี้คงไม่สามารถล็อคอะไรได้จริงจัง

             เสียงดัง กริ๊ก กุญแจหลุดตามคาด พร้อมกับสัมผัสบางอย่างจู่โจมทีเกื้อโดยไม่ทันตั้งตัว

             ภาพเป็นฉาก ๆ ผ่านวูบเข้ามาในหัว...ใครบางคน...ผู้ชาย...รูปร่างพอ ๆ กับเขา...เคยยืนตรงจุดที่เขายืน...เคยจับกุญแจแล้วดึงอย่างที่เขาทำ

             ทีเกื้อตั้งสติมั่น ประคองภาพนิมิตเอาไว้ ไม่ยอมให้มันฉายวูบ ๆ วาบ ๆ... ด้วยความที่จิตเคยถูกฝึกฝนเป็นประจำ มีความคล่องตัวระดับหนึ่ง ภาพนิมิตค่อยนิ่ง...นานขึ้น

             ชายคนนั้น...นักข่าว...คนที่เคยเห็นในนิมิต...เคยมาที่นี่ บ้านหลังนี้ เอื้อมมือจับกุญแจดึงออกอย่างที่เขาทำ...แต่...ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน

             เขายืนอยู่ตรงนี้...เศร้าใจ...ปวดร้าว...เจ็บแค้น...โกรธเคือง

             ความรู้สึกของชายคนนั้นถ่ายทอดสู่ทีเกื้อ...ชายหนุ่มไม่ยอมให้อารมณ์อีกฝ่ายครอบงำตน เขาแยกตัวเองออกมาเป็นผู้ดู...เห็นชายคนนั้นดันกุญแจคืน แล้วหันหลังกลับ

             ไปไหน...ไปที่ไหน ทีเกื้อตั้งคำถาม

             ไม่นาน...คำตอบกลับมาเป็นภาพนิมิต

             สถานที่แห่งหนึ่ง ทีเกื้อมั่นใจว่าเคยผ่านตามาก่อน มันเป็นย่านการค้าเก่า มีตึกแถว ห้องเช่าราคาถูก เขาน่าจะเคยไปตามสืบคดี จับคนร้ายในบริเวณใกล้เคียงนั้นมาแล้ว

             ภาพนิมิตค้างคาให้เห็นอีกแค่สองสามอึดใจ กำลังความตั้งมั่นในสมาธิของทีเกื้อก็คลายลง ภาพเลือนหาย แต่ความทรงจำยังชัดเจน

             ทีเกื้อรู้ตั้งแต่แรก...เมื่อเขาโดนอาคมฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน แล้วแก้ตก ส่งคืนมันไปได้ ทั้งยังสามารถไล่ตามคลื่นอาคมไปเจอกันในนิมิต นั่นก็แสดงว่า เขากับคนร้ายมีเส้นทางบางอย่างสื่อถึงกัน

             การที่เขามายืนในจุดที่คนร้ายเคยยืน จับในสิ่งที่คนร้ายเคยจับ มันจึงเสมือนการซ้อนภาพเข้าด้วยกัน เขาจึงได้เบาะแสใหม่ ติดตามคนร้ายสะดวกขึ้น



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             นายตำรวจหนุ่มจอดรถไว้อีกฟากหนึ่งของถนน ด้วยรู้ว่าบริเวณที่จะเข้าไปมันหาที่จอดรถยาก หนำซ้ำยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปจอดให้เป็นจุดสนใจ สะดุดตา

             เดินมาจนถึงหน้าตึกแถวเก่าที่เห็นในนิมิต หน้าตึกคล้องป้ายโทรม ๆ เขียนด้วยลายมือพออ่านออกว่า

             ห้องว่างให้เช่า

             ดูไปแล้วที่นี่น่าจะรับคนเช่าห้องจากทั่วสารทิศ ไม่ต้องสอบถามดูบัตรประชาชนด้วยซ้ำว่าเป็นใคร มาจากไหน การที่เขาจะเดินดุ่ม ๆ เอารูปสเก็ตคนร้ายไปถามโต้ง ๆ รังแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่า ๆ

             จำได้ว่าเคยมี สาย อยู่แถวนี้ น่าจะตามตัวไม่ยาก

             ทีเกื้อเดินเข้าไปในซอยลึกด้านข้าง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอย่างคนคุ้นเคยทาง จนออกมาทะลุกับถนนอีกเส้นหนึ่ง

             จากนั้นเหลียวมองหาวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาที่คมสามารถแยกแยะคนที่ต้องการหาออกจากหนุ่ม ๆ เสื้อวินเหล่านั้นได้

             ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ ตัวเล็ก ๆ ที่กำลังยืนดูเพื่อนโขกหมากรุกรอผู้โดยสารคนนั้นเอง

             ทีเกื้อยกโทรศัพท์ กดปุ่มเลือกหมายเลข ไล่ตามชื่อจนเจอ ก่อนกดโทรออก...เสียงสัญญาณดังสี่ห้าครั้ง เจ้าหนุ่มตี๋นั่นยกโทรศัพท์ขึ้นดูหมายเลข พอเห็นก็ชะงัก รีบกดเบอร์ทิ้งทันที

             โมโหก็โมโห ขำก็ขำ ทีเกื้อคิดจะเดินเข้าไปลากคอมันออกมาจากกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ทันคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้

             เขาหยิบโทรศัพท์ พิมพ์ข้อความแล้วส่งไปหามันทันที

             เลือกเอา...ว่ามึงจะรับโทรศัพท์ดี ๆ หรือจะให้ไปลากคอมาจากวินมอเตอร์ไซค์

             คราวนี้ทีเกื้อเห็นมันเปิดอ่าน ก่อนสะดุ้งโหยง เหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก เขาจึงกดหามันอีกครั้ง...คราวนี้เจ้าตัวแสบรีบรับสายทันที

             ไอ้เกี้ยง ทีเกื้อจงใจส่งเสียงดุ

             ผู้...เอ่อ...เฮีย...มีอะไร ข้าง ๆ มันมีคนอื่น จึงไม่กล้าเรียกเขาว่าผู้กอง

             มีธุระ อยากให้ช่วยหน่อย

             ผมกำลังทำงานสุจริตอยู่นะครับ เจ้าเกี้ยงทำเสียงอ่อยน่าสงสาร

             เห็นแล้ว...งั้นคิดซะว่ากูจ้างมึงไปทำธุระแป๊บเดียว...หันมาทางซ้าย...เห็นพ่อมึงยืนอยู่นี่มั้ย

             เจ้าเกี้ยงหันมาตามคำสั่ง พอเห็นเขาก็แอบทำคอย่น ยิ้มแห้ง ๆ

             รีบมาซะ อย่าให้กูรอนานเขาสำทับก่อนวางสาย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             หนุ่มตี๋วินมอเตอร์ไซค์ อดีตสายของทีเกื้อ พาเขากลับมาหน้าตึกแถวที่มีห้องเช่าหลังนั้นอีกครั้ง

             รู้จักเจ้าของตึกมั้ย เขาถาม

             ไม่รู้จักหรอกผู้กอง รู้จักแต่คนเก็บค่าเช่า ที่เป็นแคชเชียร์นั่งหน้าบูดอยู่นั่นไง

             โอเค...ดีแล้ว

             ทีเกื้อล้วงเอาภาพสเก็ตคนร้ายที่ใช้คอมพิวเตอร์ตกแต่งให้เป็นสามมิติ มีความใกล้เคียงตัวจริงมากที่สุดให้เจ้าเกี้ยง

             มึงเอารูปนี้ไปให้เขาดู แล้วถามมาให้หน่อยว่าใช่คนที่มาพักที่นี่มั้ย...ถ้าใช่ มันพักอยู่ห้องไหน หารายละเอียดมาให้หมด อย่าทำกระโตกกระตากให้ใครสงสัยเชียว

             คร้าบ...ผู้กอง หนุ่มหน้าตี๋ลากเสียงล้อเลียนก่อนรีบไป

             ทีเกื้อส่ายหัว ระอาใจ ไม่พูดจาอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำงานตามคำสั่ง ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เจ้าเกี้ยงก็เดินลอยชาย ผิวปากหวือกลับมา

             ได้ความว่ายังไงบ้าง

             ตี๋วินมอเตอร์ไซค์คืนรูปให้ พร้อมรายงานรายละเอียด

             ไอ้หมอนี่ชื่อคิม มาเช่าห้องที่นี่จริง มันจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไว้แล้วสามเดือน แต่ตัวมันไม่กลับมาที่นี่เป็นเดือนแล้ว

             ชื่อคิม... ทีเกื้อทวนคำนี้ในใจ ก่อนนึกเรื่องบางอย่างได้

             แสดงว่าตอนนี้ ที่ห้องมันไม่มีคนอยู่สิ

             ครับ... เจ้าเกี้ยงตอบรับ ก่อนนึกได้ว่าผู้กองมีเจตนาอะไรก็แทบตาเหลือก

             เฮ้ย...ผู้กอง อย่าบอกนะว่าจะให้ผมพาเข้าไปค้นห้องเขาน่ะ

             ก็กูไม่ใช่มือสะเดาะกุญแจอย่างมึงนี่ ทีเกื้อยิ้มเจ้าเล่ห์ หรือมึงจะไปขอกุญแจห้องมันมาให้กู

             ใครเขาจะให้ล่ะผู้กอง มันทำตาค้อน

             ก็ดี...ไปได้แล้ว ทีเกื้อออกคำสั่ง ฝ่ายตรงข้ามได้แต่ถอนใจ ยอมทำตาม

             เวลานี้...นายตำรวจหนุ่มรู้สึกว่าตนเอง เข้าใกล้ตัวจริงของคนร้ายไปอีกนิดนึงแล้ว...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๑๒



             สองหนุ่มยืนอยู่หน้าประตูห้อง นายตำรวจกอดอกมองซ้ายขวาดูต้นทาง หนุ่มตี๋วินมอเตอร์ไซค์นั่งสะเดาะลูกกุญแจอย่างตั้งใจ ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย

             ได้แล้วผู้กอง เจ้าเกี้ยงลุกขึ้นกระซิบบอก

             ขอบใจว่ะ เอ็งรอดูต้นทางอยู่ข้างนอกนี่แหละ เดี๋ยวกูเข้าไปเอง

             ไปเหอะ ผมไม่อยากยุ่งกับงานผู้กองนักหรอก

             อย่าหายหัวไปเฉย ๆ ล่ะ ทีเกื้อสำทับ

             หนุ่มตี๋ยิ้มเผล่ ยักคิ้วยกมือทำสัญลักษณ์โอเค ดูแล้วไม่ชวนไว้ใจสักเท่าไหร่ ทีเกื้อคร้านจะใส่ใจ แง้มประตูเปิดออกแล้วผลุบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว...



            นี่หรือ...ห้องของคิม นายตำรวจหนุ่มนึกในใจหลังจากยืนมองภายในห้องเป็นเวลาชั่วครู่

             ทั้งห้องโล่งว่าง ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ไม่มีกระทั่งเสื้อผ้าสักชิ้น ในตู้ว่างเปล่า บนเตียงคลุมผ้าตึงเรียบ ไม่แน่ใจว่า เจ้าของเป็นคนมีระเบียบขนาดหนัก หรือไม่เคยใช้มันเลย

             ทีเกื้อเดินวนรอบห้อง กวาดสายตาดูทุกซอกทุกมุม ซ้ายขวา บนล่าง ใต้เตียง ใช้เวลาไม่เกินสองนาทีก็เก็บรายละเอียดทั้งหมดครบ

             ไม่มีวัตถุสิ่งของใด ยืนยันว่าห้องนี้เคยมีคนอยู่!

             หากเป็นคนอื่นคงคิดว่าโดนเจ้าเกี้ยงมันหลอกให้มาดูห้องว่าง ไม่มีคนเช่า สำหรับทีเกื้อไม่คิดเช่นนั้น เขามั่นใจ คิมเคยพักที่นี่จริง กลิ่นอายความเป็นตัวตนของคน ๆ นี้ยังปรากฏชัดให้เขารู้สึกได้

             ความเข้มข้นของความคับแค้น อาฆาตรุนแรงแบบเฉพาะตัว อย่างที่เขาเคยสัมผัส เมื่อยืนอยู่หน้าประตูบ้านตากอากาศของท่านทรงพลมีอยู่ในห้องนี้ครบถ้วน

             นายตำรวจหนุ่มเชื่อว่าคิมต้องเช่าห้องลักษณะนี้อีกสามสี่แห่ง เพื่อสลับใช้ในการหลบหนี กบดาน ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อค้น หาหลักฐานเพิ่มเติมใด ๆ เพราะคิมไม่โง่พอจะทิ้งไว้แน่นอน

             ทีเกื้อเปิดประตูออก เจ้าเกี้ยงยังยืนรอหน้าห้อง ไม่หลบไปไหน เขาล้วงกระเป๋าหยิบเงินให้มันจำนวนหนึ่ง

             ขอบใจมากเขาบอก

             ยินดีรับใช้ขอรับ เจ้าเกี้ยงรับเงิน พูดจาหน้าเป็น ดูไม่จริงใจเท่าไหร่

             ช่วยวน ๆ มาดูแถวนี้หน่อยนะ เผื่อมันกลับมาเมื่อไหร่ก็โทรบอกด้วย

             ได้ครับ รับคำง่ายดาย หนักแน่นเกินจนไม่แน่ใจ ควรเชื่อมันได้แค่ไหน

             ทีเกื้อไม่ใส่ใจต่อกิริยาท่าทางของเจ้าตี๋วินเตอร์ไซค์ รู้ว่ามันมีนิสัยชอบทำท่ากะล่อนไปอย่างนั้นเอง ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังอาศัยใช้งานได้ดีกว่าสายคนอื่น

             เขาออกจากตึกห้องเช่า ขึ้นรถแล้วนึกวางแผนขั้นต่อไป ควรสืบที่จุดไหนดี ช่วงสองสามวันหลังจากได้ข้อมูลจากธีรภูมิ และอาศัยข้อมูลบางอย่างจากบันทึกคุณตา สามารถตั้งสมมุติฐานบางอย่างบ้างแล้ว

             ระหว่างอยู่ที่นั่น เขาให้สองตายายช่วยทำ ยา บางชนิดให้ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยขับรถไปบ้านตากอากาศของท่านทรงพล จากนั้นเข้ากรุงเทพ มาที่ตึกห้องเช่าแห่งนี้

             จากนี้ เขายังไม่มีจุดหมายใหม่ในการไล่ติดตามนายคิม แต่ก็มีงานสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาหลักฐาน และชี้ที่มาตัวตนของฆาตกรรายนี้ให้ได้



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             เข็มนาฬิกาบอกเวลาเลยเที่ยงคืน ทีเกื้อเพิ่งสะพายกระเป๋ากลับคอนโด...

             ที่จริง มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสำหรับคนทำงานแบบเขา บางครั้งนายตำรวจหนุ่มเคยตามล่าคนร้ายจนไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่กลับบ้านเป็นอาทิตย์ด้วยซ้ำ

             ครั้งนี้มันผิดจากครั้งก่อน ๆ

             ที่ผ่านมา ถึงผู้ร้ายจะโหด จะเก่งแค่ไหน ก็ยังเป็นคนธรรมดา กระทำความผิดแบบคนปกติสามัญ ใช้อาวุธ สิ่งของที่มองเห็น จับต้องได้ ส่วนคนร้ายรายนี้ผิดกับทุกราย ตรงใช้อาวุธที่มองไม่เห็น!

             ต่อให้เวลานี้เขามั่นใจว่ามันเป็นใคร ก็ไม่มีพยานหลักฐานมาเอาผิดทางกฎหมายได้

             ในบันทึกของคุณตา...คนร้ายที่สังหารเหยื่อด้วยการ เล่นของ จะมากจะน้อยมันก็ต้องมีบางสิ่งผิดปกติ เป็นหลักฐานอยู่ที่ศพผู้ตาย

             ไม่ว่าจะเป็นเศษหนังที่เผาไฟไม่ไหม้ ของมีคมบางอย่างที่ไม่น่าอยู่ในร่างกายมนุษย์เช่นใบมีด ตะปู

             สำหรับเหยื่อห้ารายที่ผ่านมา ไม่มีอะไรอยู่ในศพเลย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านยืนยันว่าเป็นการตายตามธรรมชาติ ต่างกันนิดเดียวตรงลักษณะอาการ ความทรมานก่อนตาย ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน

             สมมุติว่าเวลานี้เขาสามารถจับตัวนายคิมได้ แล้วหากฝ่ายนั้นไม่ยอมรับสารภาพ เขาจะใช้หลักฐานอะไรเพื่อให้ศาลรับฟ้อง



            ตั้งแต่บ่ายยันดึก ทีเกื้อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสืบค้น หาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับนายทรงพลทั้งหมด ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านคดีที่ถูกกล่าวหา สาเหตุการตาย รวมถึงญาติพี่น้อง ลูกหลานทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

             เขาเชื่อว่าคิมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทรงพลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเหยื่อที่เสียชีวิตอย่างน้อยสองรายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของอดีตรัฐมนตรีผู้นี้

             ทีเกื้อสำเนาข้อมูล รายละเอียดต่าง ๆ ที่สืบค้นหามาได้เป็นตั้ง ยัดใส่กระเป๋าแล้วหอบกลับบ้าน ตั้งใจว่าพรุ่งนี้น่าจะอ่านจบทั้งหมด

             เวลานี้ร่างกายล้า อ่อนเพลียเต็มที สมองมึนตื้อคิดอะไรไม่ออก เดิน ๆ ไปแทบอยากลงนอนกับพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด

             ฝืนลืมตา รูดการ์ดเปิดประตูเข้าคอนโด ไฟดวงเล็ก ๆ เปิดสลัวพอมองเห็น แสดงว่าเอื้อกานต์กลับมาก่อน แล้วเปิดไฟทิ้งไว้ให้

             ทีเกื้อถอดรองเท้าเสร็จ เหนื่อยแทบลืมตาไม่ขึ้น พยายามลากขาเนือย ๆ เดินไปจนถึงโซฟารับแขก วางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วล้มตัวนอนเหยียดยาวบนโซฟา ตั้งใจพักสายตาสักประเดี๋ยว ค่อยขึ้นบนห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ

             ทว่าความเหนื่อย อ่อนเพลียที่สะสม ประกอบกับสมองล้าเต็มที ร่างกายจึงสับสวิตซ์ ตัดความรับรู้ทั้งมวลทันที ทั้งที่เพิ่งหลับตาไม่ถึงหนึ่งนาที



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP