วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑๒


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ขณะเห็นกองฝุ่นสีเทาจางหายไปกับตา เอื้อกานต์ยังไม่ปล่อยมือทีเกื้อ เพราะยังไม่วางใจ กลัวมันจะวกกลับอีกครั้ง จนกระทั่งภาพนิมิตของมันพุ่งผ่านจนหายลับ ค่อยแน่ใจว่ามันไปแน่นอนแล้ว

             เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ทีเกื้อถาม เขาเห็นนิมิตอย่างเดียวกับเอื้อกานต์ ที่ถามเพื่อความมั่นใจ

             น่าจะใช่นะ เอื้อกานต์ตอบพลางถอนใจเบา ๆ

             ขอโทษนะที่ความสามารถไม่ถึง ต้องให้เอื้อลำบากมาช่วยอีก

             ตอนทีเกื้อเห็นอาการนายเดชา เขาคิดอย่างเดียวคืออยากช่วยเหลือ เลยขอให้เอื้อกานต์สอนวิธีรักษา ไม่เคยคิดว่า นอกจากรักษาไม่ได้ มันยังย้อนเข้าตัวเอง เดือดร้อนถึงหญิงสาวต้องเปลืองแรงมาช่วยอีก

             เรื่องเล็กน้อยน่า อย่าคิดมาก

             เกื้ออยากรู้ ใครมันเอาของแบบนี้มาใช้ฆ่าคนได้

             หญิงสาวนิ่งคิดชั่วขณะ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

             ถ้าอยากเห็นหน้าคนร้าย...ตอนนี้เป็นเวลาดีที่สุด

             ทีเกื้อชะงัก มองตาเอื้อกานต์ สื่อความเข้าใจกันโดยไม่ใช้คำพูด

             อาคมที่ย้อนกลับเมื่อครู่ยังมีร่องรอยให้สืบสาว ถ้าทั้งสองร่วมมือกันใช้สัมผัสพิเศษตามเกาะกระแสคลื่นของมัน เชื่อว่าจะเห็นหน้าตัวการได้ไม่ยาก

             มือเอื้อกานต์ยังไม่ปล่อยจากมือทีเกื้อ ทั้งสองหลับตาในเวลาเดียวกัน จิตแนบกระแสคลื่นอาคมที่ยังหลงเหลือเป็นริ้วรอยตามทาง แล้วสืบสาวไล่ไปยังต้นตอของมัน

             เพียงไม่กี่ขณะจิต สองพี่น้องชะงัก เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่ใช้สัมผัสเกาะกระแสคลื่นเดียวกัน ไล่ย้อนกลับมาหาเช่นกัน

             สองฝ่ายหยุดนิ่งกลางทาง...

             ทีเกื้อ เอื้อกานต์เห็นใบหน้าเรียบ ๆ ไม่สะดุดตาของคิมชัดเจน และคิมก็พบพี่น้องทั้งสองโดยไม่ทันตั้งตัว

             เสมือนเวลารอบ ๆ จะหยุดนิ่งสองสามวินาที การเผชิญหน้าสองฝ่ายเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน สงบนิ่ง และผ่านไปรวดเร็ว

             สองฝ่ายถอยกลับพร้อมกัน ลืมตาในเวลาไล่เลี่ย...

             เอื้อกานต์ปล่อยมือทีเกื้อ หัวคิ้วขมวดมุ่น เกิดความแคลงใจบางอย่าง

             เคยเห็นเขามั้ย หญิงสาวถาม

             เคย ทีเกื้อตอบ คนนี้แหละ ที่ปลอมตัวเป็นนักข่าว แล้วทำให้เกื้อสลบเหมือดแบบไม่รู้ตัว

             เขาเป็นฆาตกรตัวจริงในคดีนี้ เอื้อกานต์สรุป

             ทีเกื้อพยักหน้า มั่นใจ สองพี่น้องมีความเห็นตรงกัน ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการสืบหา ติดตามตัวบุคคลนิรนามผู้นี้

             เขาเป็นใคร...เหตุใดต้องสังหารบุคคลสำคัญเหล่านั้น?

             คำตอบนี้จะได้รับการเปิดเผยในเวลาไม่ช้า...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             คิมลืมตา หัวใจเต้นรัว เร็วแรงผิดจังหวะ นัยน์ตาลึกล้ำที่เคยปั่นป่วนด้วยแรงแค้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นสับสน วุ่นวาย

             คิดไม่ถึง คนที่สามารถต้าน อาคม ของเขาคือสองพี่น้องคู่นี้

             เขาเห็นทั้งคู่ตั้งแต่ในงานแถลงข่าวการตายนายเกริกภพ รู้ว่าถึงอย่างไรก็คงต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามกันแน่ ด้วยความมั่นใจในฝีมือตนจึงไม่เห็นทั้งคู่อยู่ในสายตา

             ได้พบอีกครั้งที่ริมถนนเมื่อวาน ก็ยังรู้สึก...ไม่น่ามีปัญหาใด แค่นายตำรวจติดตาม กับคุณหมอธรรมดาคนหนึ่ง

             ไม่เคยคิด ไม่เคยคาด ทั้งคู่สามารถแก้อาคมของเขาตก จนมันย้อนคืนทำร้ายเขา หนำซ้ำยังรู้วิธีไล่ตามคลื่นอาคมจนได้มาพบกันแบบนี้

             เขาเห็นสองพี่น้องชัดเจน และเชื่อว่าทั้งคู่ก็เห็นเขาเช่นกัน...เพียงแต่สถานที่พบกันเป็นนิมิตทางใจ ไม่สามารถสืบสาวพบกันตัวเป็น ๆ ได้ง่าย ๆ

             ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท...ไม่แน่จริงพวกนั้นไม่มีทางแก้อาคมได้

             คิมเตือนตัวเองก่อนสตาร์ทรถ และขับจากริมถนน มุ่งหน้าสู่เส้นทางสายนอกเมือง ไม่คิดไปดูผลงานที่โรงพยาบาลอีก

             นึกแปลกใจ...ทำไมครั้งนี้อาจารย์ถึงไม่บอกกล่าว เตือนเขาล่วงหน้า



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

             ทีเกื้อนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามท่านรองฯ พร้อมรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับการอารักขาบิดาตน รวมถึงรายละเอียดการตายของนายเดชาครบทุกเรื่อง ทุกประเด็นโดยไม่มีการปิดบัง

             ก่อนเข้ามารายงานท่าน ผมให้เจ้าหน้าที่สเก็ตภาพผู้ต้องสงสัยเรียบร้อยแล้วครับ หลังจากนี้ก็จะส่งรูปไปค้นหาตามแฟ้มประวัติต่างๆ เชื่อว่าคงสืบหาได้ไม่ยาก

             คุณมั่นใจได้ยังไงว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้เป็นตัวการจริง ๆ

             ทีเกื้ออึ้ง อีกฝ่ายจึงพูดต่อ

             ผมเชื่อในสัมผัสพิเศษของคุณ แต่มันใช้เป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ทางกฎหมายไม่ได้

             นายตำรวจหนุ่มเข้าใจ

             ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตไปติดตามสืบหา พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัยรายนี้เองครับ ส่วนงานติดตามท่านธีรนัฐ ผมขอให้ท่านส่งคนอื่นไปแทนได้ไหม

             เรื่องนั้นไม่ยาก นายเดชาเพิ่งเสียชีวิต เพื่อนคุณก็ว่าง ผมจะให้เขาทำหน้าที่แทนคุณ

             ขอบคุณครับ

             ผู้อาวุโสนั่งนิ่ง มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา ก่อนตั้งคำถามใหม่

             ไหน...คุณลองบอกมาสิ ว่าจะใช้วิธีไหนตามรอยผู้ต้องสงสัยรายนี้

             ทีเกื้อถอนใจ แววตาครุ่นคิด

             เวลานี้ผมยังคิดไม่ออกครับ ในคดีอื่นผมต้องแกะรอยจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ พยานบุคคลแวดล้อม ซึ่งมันไม่มีเลยในคดีของท่านเดชา...

             ไม่มีของสำคัญหาย ไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ ท่านรองฯถามนำ

             เท่าที่สอบถามจากภรรยาท่าน ไม่มีของสำคัญอะไรหาย หรืออาจมีแต่เป็นของเก่า นานมาก ๆ ที่หลงหูหลงตาลืมไปแล้ว ส่วนคนแปลกหน้า...ผมกับนภไปสอบสวนผู้หญิงทุกคนของท่านเดชา ก็ไม่มีพิรุธ ไม่ได้แบะแสอะไรเลย

             อาจเป็นได้ที่ผู้หญิงพวกนั้นถูกสั่งให้ทำงานอะไรบางอย่าง แล้วโดนสะกดให้ลืม ผู้อาวุโสแสดงความเห็น

             ทีเกื้อนิ่งอั้น ก่อนนึกหาเบาะแสจากอีกเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร

             ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องใช้เส้นทางพิเศษ ที่อยู่ในนี้ ชายหนุ่มเคาะขมับตัวเองเบา ๆ ผู้อาวุโสยิ้มน้อย ๆ แววตาเอ็นดู

             คุณพูดเหมือนดาบอิน...คุณตาของคุณเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่มีผิด ตอนนั้นผมโมโหแกแทบแย่ แต่สุดท้าย เพราะเส้นทางพิเศษ อย่างที่แกบอกนี่แหละ เราถึงปิดคดีได้

             คำพูดสุดท้าย จุดประกายความคิดให้นายตำรวจหนุ่ม

             ขอบคุณครับท่าน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน

             ผู้มียศสูงกว่าไม่เอ่ยปากถาม แค่อมยิ้มน้อย ๆ บอกให้ทราบว่า ตนก็รู้เช่นกัน ว่าเส้นทางสืบสวนต่อไปของนายตำรวจหนุ่มผู้นี้อยู่ที่ไหน



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             ทีเกื้อมาถึงบ้านคุณตาตอนบ่าย สองตายายเข้าสวน ไม่อยู่บ้าน เขาจึงไขกุญแจ แล้วมุ่งหน้าไปห้องพระเป็นอันดับแรก

             ภายในห้องพระสะอาดเป็นระเบียบ เพราะเพิ่งดูแลปัดกวาดเมื่อครั้งมาล่าสุด กลิ่นดอกมะลิแห้งยังลอยเอื่อย ๆ ทีเกื้อคุกเข่ากราบพระ ไหว้คุณตา มารดาตามลำดับ จากนั้นไปที่ตู้หนังสือ เปิดออกและหยิบของที่ต้องการติดมือมา

             สมุดบันทึกของคุณตา...หน้าปกเขียนคำว่า อาคม

             ในนั้นบันทึกคดีแปลก ๆ ที่คุณตาเคยเจอ คดีที่ไม่สามารถสืบหาด้วยวิชาทางวิทยาศาสตร์ และไม่มีบันทึกอยู่ในตำราของตำรวจเล่มใดทั้งสิ้น

             ผมขอยืมไปศึกษาหน่อยนะครับคุณตา ทีเกื้อบอกต่อคุณตาในภาพ

             ครั้งก่อนเขาเกือบมีเวลาอ่านรายละเอียดในเล่ม แต่ธีรภูมิเข้ามาตามให้ไปนอกชานเสียก่อน เขาจึงเก็บสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้ในตู้ตามเดิม ตั้งใจกลับมาอ่านอีกครั้ง พอดีเจอเรื่องวุ่น ๆ หลายอย่างตามมา



            หลังนายเดชาเสียชีวิต ก็มีปัญหาตามมาเป็นพรวน เพราะเป็นช่วงการประชุมครม.สัญจร นายกรัฐมนตรีมาร่วมด้วย ส่วนกองทัพนักข่าวไม่ต้องพูดถึง

             มีหลายกระแสของผู้เห็นเหตุการณ์บอกตรงกันว่า นี่เป็นการตายผิดธรรมชาติ ทั้งลักษณะอาการ สภาพที่ปรากฏให้เห็นระหว่างมาถึงห้องฉุกเฉิน จึงมีการลือแบบเสีย ๆ หาย ๆ ว่าเป็นการวางยา สร้างกระแสจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

             นายแพทย์ที่ตรวจรักษา รวมถึงหมอที่ชันสูตรศพ ต่างให้ความเห็นตรงกัน...นายเดชาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว!

             ไม่พบสารพิษใด ๆ ในร่างกายแม้แต่นิดเดียว...และไม่มีหลักฐาน พยานข้อมูลอื่นใดมาคัดค้านผลชันสูตรของหมอได้เลย

             มีแค่วงใน กลุ่มนายตำรวจระดับสูง ผู้ใหญ่ในรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา...

             นายเดชาเป็นผู้เสียชีวิตรายที่ห้าแล้ว ด้วยสาเหตุแบบนี้!

             ผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับคำสั่งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรีให้จัดการคดีนี้อย่างรวดเร็วที่สุด

             คนสำคัญในพรรคผู้นำรัฐบาลเริ่มวิตก ระส่ำระสาย กลัวตนเองจะเป็นเหยื่อรายต่อไป



            ทีเกื้อขออนุญาตท่านรองฯ ติดตามหาตัวผู้ต้องสงสัยที่เขาเห็นในนิมิต และเมื่อยังไม่รู้จะจับจุดจากตรงไหน ท่านรองฯ ก็สะกิดให้เขานึกถึงคุณตา นึกถึงคดีแปลก ๆ ที่คุณตาบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้...

             อาคม

             นายตำรวจหนุ่มหยิบสมุดบันทึกของคุณตาออกมานั่งอ่านตรงระเบียงบ้าน รับลม อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย

             ค่อย ๆ เปิดสมุดอ่านทีละหน้า ทีละคดีอย่างละเอียด พยายามจับเนื้อหา ใจความแต่ละเรื่องมาผูกโยง หาจุดคล้ายกันมาใช้ในคดีของเขา

             เพิ่งอ่านไปได้ครึ่งเล่มนัยน์ตาก็ล้า เงยหน้าพักสายตา พอดีโทรศัพท์มือถือดังขึ้น...ปลายสายมีชื่อ ธีรภูมิ ขึ้นโชว์

             สวัสดีครับพี่ภูมิ ทีเกื้อรับสาย

             เกื้อ...ตอนนี้ไม่ได้ติดตามคุณพ่อแล้วเหรอ

             ครับพี่...ผมมีงานอื่นต้องทำก่อน ผู้ใหญ่เลยส่งเพื่อนผมไปแทน

             ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนล่ะ

             บ้านคุณตาครับ

             อ้าว...จริงสิ...พี่ก็มาทำธุระให้คุณพ่อที่เมืองนี้เหมือนกัน...คืนนี้จะนอนที่ไหน บ้านคุณตาหรือโรงแรมในเมือง

             ผมขี้เกียจขับรถเข้าเมือง คงนอนที่นี่แหละครับ

             เออดี งั้นพี่ตามไปค้างด้วยดีกว่า มีเรื่องอยากคุยเหมือนกัน

             เรื่องอะไรพี่ ทีเกื้อขมวดคิ้ว สงสัย

             ก็เรื่องที่เกื้อเคยบอกให้พี่ช่วยสืบเกี่ยวกับคนในพรรคไง ธีรภูมิตอบ

             ทีเกื้อนึกได้ เขาเคยขอให้ธีรภูมิช่วยหาข้อมูล ความเกี่ยวข้องของผู้ตายที่อยู่ในพรรคผู้นำรัฐบาล

             ได้เรื่องแล้วหรือครับพี่

             ใช่...หลังจากลุงเดชาตาย พี่เลยได้ข้อมูลมามากพอสมควร พวกผู้ใหญ่ในพรรคเขาผวา กลัวกัน มีอะไรเลยหลุดออกมาเต็มที่

             เยี่ยมเลย งั้นผมรอพี่อยู่ที่บ้านคุณตาแล้วกัน เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เลย

             โอเค



            วางสายโทรศัพท์เรียบร้อย ทีเกื้อถอนใจโล่งอก อย่างน้อยคดีนี้ก็ยังมีข้อมูลใหม่มาให้สืบสาว ค้นหาได้บ้าง ไม่ถึงกับตีบตัน ต้องอาศัยเส้นทาง พิเศษ อย่างเดียว

             พอสบายใจก็เริ่มอ่านบันทึกคุณตาต่อ...ยิ่งอ่านมากคดี ยิ่งรู้จักคุณตากว่าเดิม

             ดาบอินผู้เขียนบันทึกเล่มนี้ ไม่ใช่คุณตาผู้อบอุ่น ใจดี รักลูกหลานอย่างที่เขารู้จัก แต่เป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่โผงผาง ตรงไปตรงมา ฉลาด รอบคอบ ไม่กลัวใคร

            ที่สำคัญ เขาได้รู้ว่า สมัยหนุ่ม ๆ คุณตาเป็นนักเลงที่มีวิชาอาคมพอตัว หนำซ้ำยังมีสัมผัสพิเศษคล้ายเขากับเอื้อกานต์

             อ่านบันทึกมาถึงท้ายคดีหนึ่ง คุณตาเขียนสรุปปิดคดีนี้ว่า...



            สำหรับข้าพเจ้าในเวลานี้ วิชาคาถา อาคมต่าง ๆ ที่มี เป็นแค่เครื่องมือกำกับจิต ชี้นำเพื่อให้ใช้ พลังอำนาจแห่งจิต ไปในทิศทางใด

             ดี...หรือ...ชั่ว

             เพื่อสนองกิเลสตัณหา...หรือ...เพื่อเรียนรู้กิเลสตัณหาของตน

             ข้าพเจ้าพบว่า...มีสิ่งหนึ่ง อยู่เหนือวิชาคาถาอาคมเหล่านั้น เป็นสิ่งง่าย ๆ ธรรมดาที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จัก แต่มักมองข้าม...สิ่งนั้นคือกรรมวิบาก



            ทีเกื้ออึ้งกับประโยคสุดท้าย ถึงมันไม่สามารถช่วยเขาคลี่คลายคดี แต่มันกลับเปิดอะไรบางอย่างในหัวออกมา บางอย่างที่ถูกปกปิดมานานด้วยความไม่เคยใส่ใจ สังเกต

             ประโยคสุดท้ายนั้น จะเกิดประโยชน์แก่เขาอย่างคาดไม่ถึง...ในอนาคต



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๑๑



             พระอาทิตย์เพิ่งตกดิน สองตายายนำอาหารมื้อค่ำมาตั้งโต๊ะเสิร์ฟสองหนุ่มเรียบร้อย เป็นอาหารพื้นบ้านง่าย ๆ ดูสดใหม่ น่ารับประทาน

             กินด้วยกันสิครับคุณตา ธีรภูมิชวน

             ไม่ล่ะ พวกหนุ่ม ๆ กินกันตามสบายเถอะ ตาชมบอก

             จะได้คุยกันสะดวก ไม่ต้องเกรงใจคนแก่ไงจ๊ะ ยายยิ้มเสริม

             โธ่ยาย กินกันสองคนเหงาจะตาย มาร่วมวงกันดีกว่า ทีเกื้อคะยั้นคะยอบ้าง

             แหม...ถ้าเหงาแล้วทำไมไม่หาสาว ๆ มาด้วยล่ะคุณเกื้อ...จริงสิคุณภูมิน่าจะชวนคู่หมั้นคนสวยมาด้วยนะ

             หนูดีเขางานยุ่งครับ อยู่ช่วยคุณพ่อทางโน้นแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ผมเองคุณพ่อก็ให้มาทำธุระด่วนที่นี่ พรุ่งนี้ก็ต้องรีบกลับแล้ว ถ้าชวนเขามาด้วยจะลำบากเปล่า ๆ ธีรภูมิตอบ

             ทีเกื้อนิ่ง ไม่เซ้าซี้ สองตายายพูดคุยอีกสองสามคำก็ลงจากบ้าน ไปที่เรือนตัวเอง ปล่อยสองพี่น้องรับประทานอาหาร พูดคุยกันตามลำพัง

             ระหว่างมื้อค่ำ ธีรภูมิชวนทีเกื้อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย นายตำรวจหนุ่มแค่เออออคล้อยตาม ไม่มีความเห็นเสริม เพิ่มเติม ใจร้อนอยากรู้เรื่องที่ให้พี่ชายไปสืบ จนอีกฝ่ายรู้ทัน วกเข้าเรื่องสำคัญ

             จำคดีดังเมื่อห้าปีก่อนได้มั้ย ธีรภูมิถาม

             คดีอะไรครับ ทีเกื้อตอบไม่ถูก ปี ๆ หนึ่งมีคดีดังไม่น้อย ให้บอกว่าคดีไหนดังที่สุดยังตอบยาก

             คดียกเค้าบ้านรัฐมนตรียุติธรรมไง

             ทีเกื้อขมวดคิ้ว นึกย้อนความทรงจำชั่วครู่ก่อนได้คำตอบ

             ท่านรัฐมนตรี...ทรงพล...ใช่มั้ยครับ ทีเกื้อเอ่ยชื่อชัด น้ำเสียงแปลกไป

             ใช่...เป็นคดีที่ตำรวจจับโจรได้รวดเร็วมาก แถมพบของกลางเป็นเงินสดเกือบร้อยล้าน!”

             จำได้ครับ ทีเกื้อพูดหนักแน่น



            เมื่อห้าปีก่อนมีข่าวดังระดับขึ้นพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เมื่อตำรวจสามารถจับโจรยกเค้าบ้านรัฐมนตรียุติธรรมได้ พร้อมของกลางเป็นเงินสดเกือบร้อยล้านบาท

             คนร้ายให้การสารภาพอย่างไม่ปิดบังเลยว่า ตนเข้าไปขโมยทรัพย์สินในบ้านท่านรัฐมนตรีจริง ได้เงินสดมาประมาณร้อยกว่าล้านบาท ทองคำรูปพรรณอีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังให้การว่า...ที่บ้านท่านรัฐมนตรีมีเงินสดมากกว่านี้ แต่ตนเองและพวกไม่สามารถขนได้หมด

             เท่านั้นเอง ท่านรัฐมนตรีทรงพลก็โดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงที่มาของทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น เมื่อมีการตรวจสอบที่บ้านของท่านจริง ก็ไม่พบเงินสดจำนวนมากอย่างที่คนร้ายให้การ

             ท่านรัฐมนตรียืนยันว่าตนเองไม่ได้เก็บทรัพย์สินไว้ในบ้านมากมายอย่างที่เป็นข่าว เงินสดที่เป็นของกลางเหล่านั้นไม่ใช่ของท่าน ส่วนเงินสด ทรัพย์สินของท่านในธนาคาร สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

             ถึงจะมีการแก้ต่าง พิสูจน์ตัวเองอย่างไร ก็ไม่อาจต้านพยานหลักฐาน และกระแสสังคมได้ สุดท้ายท่านรัฐมนตรีทรงพลก็ต้องยอมลาออกจากตำแหน่ง



            นั่นแหละ...ท่านทรงพล โดนซักฟอกเรื่องคดีนั้นจนต้องยอมลาออก ธีรภูมิบอก

             ผมตามข่าวนั้นอยู่เหมือนกันครับ ทีเกื้อพูด เท่าที่รู้...เรื่องคดียกเค้านั่น ไม่ใช่คดีเดียวที่ทำให้ท่านต้องยอมลาออก

             ใช่...มันยังมีอีกคดีนึง...โด่งดังไม่แพ้กัน เป็นคดีที่เกิดขึ้นไล่ ๆ กันด้วยซ้ำ

             คดีจับยาบ้าในคุกใช่มั้ยครับ นายตำรวจหนุ่มถาม

             ถูกต้อง...ที่จริงคดีจับยาบ้าในคุกไม่น่าเกี่ยวกับท่านทรงพลเลย ถ้าไม่ใช่ไป ๆ มา ๆ ผู้ต้องหาแต่ละรายจะซัดทอดคนที่ตำแหน่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ถึงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม

             ครับ...เส้นทางขายยาบ้าที่มีจำนวนมหาศาลในคุกเหล่านั้น มันจะดำเนินสะดวกได้ยังไง ถ้าท่านรัฐมนตรีไม่เล่นด้วย ทีเกื้อพูดกึ่งประชด

             ถึงตรงนี้...คนที่ตามข่าวก็สามารถเดาได้แล้วว่า...เงินเป็นร้อยล้านที่โดนโจรมายกเค้าไปน่ะ มันมาจากไหน ธีรภูมิสรุป

             ทีเกื้อถอนใจ มองหน้าพี่ชาย ในใจมีบางเรื่องอยากบอก แต่แล้วเปลี่ยนใจ วกกลับมาเข้าประเด็นเดิม

             แล้วคดีของอดีตรัฐมนตรีทรงพล มาเกี่ยวกับคนที่ตายได้ยังไงครับ

             ธีรภูมิเขี่ยข้าวในจาน สมองเรียบเรียงคำพูด

             คนที่มาแทนตำแหน่งท่านทรงพล คือลุงเดชา แล้วลุงเดชาก็เป็นคนสั่งการให้ดำเนินคดีกับท่านทรงพลอย่างเร็วที่สุด ส่วนคนร้ายที่มายกเค้าบ้านท่านทรงพลมาจากไหนรู้มั้ย...พวกนั้นเป็นคนของนายเกริกภพ!”

             ทีเกื้อวางช้อน เงยหน้ามองพี่ชายดวงตาฉายแวววาวโรจน์

             แสดงว่าคดีของท่านทรงพลมีเงื่อนงำน้ำเสียงเขาแข็งกร้าว นัยน์ตาดุ

             พี่ก็คิดอย่างนั้น...แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมารื้อฟื้นคดีนี้อีกแล้ว ธีรภูมิพูดเรียบ ๆ

             ใช่...เพราะก่อนจะมีคำสั่ง และหมายจับ ท่านทรงพลพร้อมด้วยครอบครัวได้หนีออกนอกประเทศไปแล้ว... ทีเกื้อทิ้งค้างคำพูดท้ายไว้ชั่วขณะ ก่อนพูดอีกประโยค...

             แต่เครื่องบินลำที่ท่านโดยสารเกิดระเบิด...ผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งลำ ท่านรัฐมนตรี ภรรยา และบุตรชาย...ไม่มีใครรอดชีวิต

             ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะใหญ่ ธีรภูมิสัมผัสถึงความอาวรณ์ หดหู่ที่ทีเกื้อมีในขณะนี้

             เกื้อ...รู้จักท่านทรงพลเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า เขาเอ่ยปากถามน้องชาย

             ไม่...ไม่ถึงขนาดส่วนตัวหรอกครับ ทีเกื้อตอบลำบาก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยอีกคำถามหนึ่ง แล้วนายโกวิท นายดนู และนายคะนึง ที่เสียชีวิตก่อนหน้านั้น มีเรื่องเกี่ยวโยงกับคดีข้างต้นหรือเปล่าครับ

             ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ธีรภูมิตอบอย่างครุ่นคิด มันยังไม่มีเรื่องราว เหตุการณ์ชัดเจนเหมือนลุงเดชา กับนายเกริกภพ แต่พี่ฟัง ๆ พวกผู้ใหญ่คุยกันแล้วก็รู้สึกว่า เรื่องนี้มันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิด...ถ้าคดีท่านทรงพลมีเงื่อนงำจริง ก็เป็นไปได้ว่าท่านโดนจัดฉากกล่าวหา...แล้วเพราะอะไรล่ะท่านถึงโดน...

             ทีเกื้อฉุกคิด แล้วหลุดปากออกมา

             ช่วงก่อนหน้านั้นท่านทรงพลไปขัดขาใครเขาเข้าหรือเปล่า

             นั่นสิ ธีรภูมิก็รู้สึกเช่นนั้น

             ไม่แน่นะครับ ถ้าพี่ภูมิตามสืบต่อ...ก็อาจหาส่วนเชื่อมโยงกับสามคนแรกได้

             ถ้าหาได้แล้วเราจะทำยังไง คนเป็นพี่ตั้งคำถาม

             ก็ต้องหาต่อไปว่า...ยังมีใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกมั้ย...ถ้ามี...คน ๆ นั้นอาจเป็นเหยื่อรายต่อไป ทีเกื้อให้คำตอบ

            ธีรภูมิถอนใจเฮือกใหญ่

            ยากเหมือนกันนะนี่...ยิ่งสาวลึกยิ่งฟังดูน่ากลัว ชักไม่อยากยุ่งด้วยแล้วสิ

             ถ้าทำสำเร็จ เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับคนในพรรคได้นะครับ ทีเกื้อยกเหตุผล

             ถ้าเราสาวผิดทางล่ะ...ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคดีท่านทรงพลเลย...เราจะไม่เสียเวลาเปล่าเหรอ ธีรภูมิแย้ง

             ลองดูก่อนก็ได้นี่ครับ...ตอนนี้เราไม่มีเรื่องอื่นให้ตั้งต้นเลย

             งั้นก็ได้ แต่พี่ต้องขอข้อแลกเปลี่ยนกับเกื้อบางอย่างนะ

             หา... ทีเกื้อแปลกใจ ไม่คิดจะได้ยินคำพูดนี้จากพี่ชาย พี่ภูมิอยากได้อะไรจากผม

             ไม่ยากหรอก แค่ขอให้เกื้อตอบคำถามพี่แบบตรงไปตรงมาสักข้อ

             เรื่องอะไร

             รับปากก่อนสิ

             ได้...ผมรับปาก

             ทีเกื้อรับคำโดยไม่เสียเวลาคิด เขามั่นใจว่าตนเองไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว

             ธีรภูมิกลับเป็นฝ่ายนิ่ง...ไตร่ตรอง ชั่งใจ ก่อนมองหน้าน้องชาย แล้วรีบถามคำถาม ที่ตนเองคงไม่กล้าถามซ้ำอีกครั้ง

             เกื้อเคยเป็นแฟนหนูดีใช่มั้ย!”

             นายตำรวจหนุ่มนิ่งอึ้ง นัยน์ตาเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก เหมือนโดนหมัดน็อคไม่รู้ตัว

             คนตั้งคำถามเห็นอย่างนั้นก็ไม่ซักไซ้ หาคำตอบ เลี่ยงไปตักกับข้าวใส่จาน เขี่ย ๆ กินโดยไม่รู้รสชาติ

             ไม่นาน ทีเกื้อได้สติ ย้อนถามกลับ

             ทำไมพี่ภูมิถามผมอย่างนั้น

             ตอบคำถามพี่ก่อนสิ ธีรภูมิจ้องตา ไม่คาดคั้น

             ทีเกื้อถอนใจ เบือนหน้าหลบสายตาพี่ชาย ไม่ยอมปริปากอะไร...ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ธีรภูมิค่อยเอ่ยปาก

             วันก่อนนั้นแม่ไปอาละวาดพ่อเรื่องที่ให้เกื้อมาเป็นนายตำรวจติดตาม คนเป็นพี่ชายเริ่มต้น และพูดต่อเรื่อย ๆ พ่อเองคงรำคาญ ยอมให้แม่ด่าโดยไม่โต้เถียงอะไร พี่ต้องเข้าไปช่วยเคลียร์ ถึงได้รู้เหตุผลว่าทำไมแม่ถึงโมโหมากขนาดนั้น

             ทีเกื้อจำเหตุการณ์วันนั้นได้ คุณหญิงอัปสรพบเขาและมีปากเสียงรุนแรง เหตุผลที่เขายอมทะเลาะกับคุณหญิงมีเพียงข้อเดียว คือต้องการปกป้องสัตตบงกช

             พี่ฟังคุณแม่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วไปถามหนูดี...ก็เลยทำให้ภาพวันนั้นชัดเจนขึ้น แต่พี่ก็พยายามพูดเกลี้ยกล่อมจนแม่ใจเย็นลงได้แล้วล่ะ

             นี่คือเหตุผลที่พ่อไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก รวมถึงคุณหญิงก็ไม่อาละวาดทีเกื้อในวันต่อ ๆ มา

             มีคนแค่คนเดียวในโลกที่คุณหญิงรัก และยอมลงให้ นั่นคือดอกเตอร์ธีรภูมิ! ลูกชายที่เธอภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

             แต่ใจพี่เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า...ทำไมคนอย่างเกื้อถึงจงใจหาเรื่องทะเลาะกับแม่ของพี่...

             ธีรภูมิรู้จักน้องชายคนนี้ดีเกินกว่าเจ้าตัวจะคาดถึง

             ทีเกื้อเฉย ไม่พูด ไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้น ดอกเตอร์หนุ่มจึงพูดต่อเสียเอง

             พี่กับหนูดีสนิทกันตั้งแต่อยู่ที่โน่นแล้ว...เราคุยกันได้ทุกเรื่อง หนูดีเคยเล่าให้พี่ฟังด้วยซ้ำ ว่ามีแฟนอยู่เมืองไทย

             ทีเกื้อชะงัก มองพี่ชายอย่างคาดไม่ถึง และไม่คิดว่าหญิงสาวจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่น

             ตอนนั้นพี่กับหนูดีไม่เคยคิดว่าต้องมาหมั้นหมายกัน ธีรภูมิอธิบายต่อ มีเรื่องอะไรเราก็คุยกันได้หมด พี่ทะเลาะกับแฟนที่โน้นยังมาระบายให้หนูดีฟังเลย

             ห่ะ... ชายหนุ่มแทบสำลักข้าว คนเป็นพี่ชายยิ้มขัน แกล้งจงใจพูดย้ำ

             หนูดีเขารู้จักแฟนพี่เหมือนกัน...แฟนผู้ชายของพี่น่ะ!” ธีรภูมิพูดราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ส่วนลึกก็ยังมีความแสลงใจอยู่

             ครับ... ทีเกื้อไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP