วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๙


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล





(ต่อจากฉบับที่แล้ว)





            ระเบียงนอกชานกว้าง ครึกครื้นด้วยผู้คนต่างวัย กำลังช่วยกันห่อข้าวต้มมัด เตรียมของทำบุญสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้ สองผู้เฒ่าเป็นผู้ผูกขาดการสนทนา โดยมีสองสาว เอื้อกานต์ และสัตตบงกชเป็นคนฟัง คอยเสริม ส่วนรัฐมนตรีธีรนัฐขอตัวเข้านอน พักผ่อนก่อนคนอื่น

             ทีเกื้อกับธีรภูมิมาถึงก็นั่งลงที่วงสนทนา หยิบใบตองมาช่วยห่อข้าวต้มมัด ยายยิ้มเห็นอย่างนั้นก็เปิดเรื่องคุยขึ้นทันที

             หนูดีรู้มั้ย เห็นเจ้าเกื้อกับหนูเอื้อดูเรียบร้อยแบบนี้นะ สมัยเด็ก ๆ ร้ายจะตาย

             จริงหรือคะ หญิงสาวถามแบบลูกคู่ หางตาเห็นชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงเริ่มขยับตัวอึดอัด

             จริงสิ ยายเคยเห็นนะ ตอนเด็ก ๆ สองพี่น้องทะเลาะกันประจำ เคยตีกันไม่เว้นแต่ละวัน จนดาบอินต้องเอานวมมาให้สวมชกกันเลย

             ฮ่า...จริงน่ะ คนสงสัยคือธีรภูมิ พลางมองเอื้อกานต์อย่างไม่เชื่อสายตา

             ยายยิ้มหัวเราะเอิ๊ก ๆ ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องแกเล่า

             หนูเอื้อนี่แหละร้ายนัก...เห็นนิ่ง ๆ นะ ยังเคยชกเจ้าเกื้อจนตาเขียวเลย

             ยายจ๊ะ...พูดอย่างนี้เอื้อเสียภาพพจน์หมด หญิงสาวขัด ยิ่งทำให้ผู้เฒ่าน้ำลายแตกฟองไม่ยอมหยุดง่าย ๆ

             โอ๊ย...มันก็แค่เรื่องตอนเด็กเองหนูเอื้อ...จำได้มั้ย ตอนนั้นหนูเอื้อกับเจ้าเกื้อทะเลาะกันดังลั่นบ้าน ไม่รู้แย่งของอะไรกัน ตีกันซะตาเขียวตาปูด แม่นวลหักไม้เตรียมฟาดทั้งสองคนแล้ว พอดีดาบอินมาถึงก็ห้ามไว้ เสร็จแล้วหานวมมาให้สวมคนละคู่ แล้วบอกว่า...ชกกันเลย ใครชนะตาจะให้ของชิ้นนั้นไป

             แล้วผลเป็นยังไงคะ สัตตบงกชอยากรู้

             คราวนี้ตาชมเป็นคนตอบ

             พอใส่นวมเสร็จ สองพี่น้องก็ยืนจด ๆ จ้อง ๆ กันพักนึงก็เลิก

             อ้าว...ทำไมล่ะ ธีรภูมิสงสัย

             หนูเอื้อบอกว่า จะชกทำไม...เจ็บตัวเปล่า ไม่อยากได้แล้ว ยายยิ้มตอบ

             ใช่...ส่วนเจ้าเกื้อก็บอกว่า...เป็นผู้ชาย เรื่องอะไรจะไปต่อยกับผู้หญิง ตาชมเสริม

             สองตายายหัวเราะ คนฟังนั่งอมยิ้ม ส่วนเจ้าของเรื่องทั้งสองทำหน้าเฉย ราวกับไม่ใช่เรื่องตัวเอง...ทว่า ความทรงจำวันนั้นกลับย้อนทวนขึ้นมา...เสียงคุณตายังก้องในหัว



             เหอะ...เป็นผู้ชายไม่ต่อยกับผู้หญิง แล้วตะกี้เด็กผู้ชายที่ไหนวะ ตีกับเด็กผู้หญิง

             ก็...เกื้อโกรธนี่ พ่อหนูน้อยเถียง

             ตอนนี้ยังโกรธอยู่หรือเปล่า คุณตาถาม

             โกรธสิ เจ้าเกื้อตอบ

             โกรธแล้วจะตีกับเขาอีกมั้ย

             ไม่ พ่อหนูน้อยตอบชัด

             ทำไมล่ะ คุณตาถาม

             ก็ตอนนี้โกรธน้อยกว่าตะกี้...ตอนนี้รู้แล้วว่าไปตีกับผู้หญิงมันไม่ดี เด็กชายตอบตามความรู้สึก

             ใช่...ตอนนี้โกรธน้อยลง...แล้วอีกเดี๋ยวจะหายโกรธมั้ย คุณตาถามอีก

             เจ้าตัวร้ายนิ่งคิดนิดนึงก่อนตอบ

             น่าจะหายนะ

             แล้วเอื้อล่ะ คุณตาหันไปถามหลานสาว ตอนนี้ยังโกรธเจ้าเกื้อเท่าเดิมหรือเปล่า

             ไม่โกรธแล้ว...ไม่อยากชกกับมันด้วย เด็กหญิงตอบ

             นั่นสิ...เห็นมั้ย...ว่าเราโกรธกันแค่แป๊บเดียวเอง คุณตาบอก หนูน้อยทั้งสองฟังพลางเห็นจริงตามคำพูด

             แล้วทำไมเราจะให้ความโกรธ แป๊บเดียว นี้ มาทำร้ายคนที่เรารักมาตลอดชีวิตด้วยล่ะ

             คุณตาสรุป นวมถูกถอดทิ้ง...วันต่อ ๆ มาสองพี่น้องก็ยังมีเรื่องทะเลาะ โวยวาย งอนกันเช่นเดิม แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือต่อกันอีกเลย...



            ลมราตรีพัดพา นำความเย็นชื่นมาพร้อมกับกลิ่นดอกไม้หอมตอนกลางคืน ข้าวต้มมัดถูกห่อเรียงใส่กระจาดเป็นระเบียบ เรื่องเล่าสองตายายยังไม่จบ เช่นเดียวกับคนแก่ทั้งหลายที่พอใจหวนนึกถึงความหลังเก่า ๆ และมักยินดีที่มีลูกหลานมาฟังโดยไม่ขัดคอ

             เจ้าสองคนนี่รักดาบอินเหมือนพ่อ ดาบอินแกก็มีหลานสองคนนี้เป็นลูก...หนูเอื้อจำได้มั้ย คืนเดือนแรมอย่างนี้ ดาบแกชอบมานั่งดูดาว รับลม เล่านิทานให้หลาน ๆ ฟัง...เจ้าเกื้อหนุนตักซ้าย หนูเอื้อหนุนตักขวา นอนฟังนิทานของแก บางทีดาบอินก็จะร้องเพลงน้ำตาแสงไต้ให้เมียแก...ยายฟังแล้วยังน้ำตาไหล แกรักเมียของแก แม่ของนวลเขาจริง ๆ ขนาดเมียตายไปตั้งนานขนาดนั้น แกยังไม่เคยมีคนใหม่ เลี้ยงลูกมาคนเดียวจนโต พอแกมีหลาน แกก็รักหลานของแกเหลือเกิน

             ยายยิ้มเล่าไปซับน้ำตาป้อย ๆ ขณะคนฟังเริ่มคล้อยตาม เห็นภาพ

             เจ้าเกื้อนี่ รักดาบอินยิ่งกว่าพ่อจริง ๆ เสียอีก...จำได้วันพ่อปีนึง เจ้าเกื้อมันวาดรูปของพ่อ แล้วได้รางวัลที่หนึ่ง...มันดีใจมาก บอกว่าจะรอเอารางวัลให้คุณตา แต่ตอนนั้นดาบแกไปตามจับโจร ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ ยายกับตามานอนค้างที่บ้านเป็นเพื่อนแม่นวลเขา...เห็นเจ้าเกื้อมันถือรูป กอดรางวัลนั่งรอคุณตาอยู่ที่หัวบันไดบ้านจนค่ำ...แม่นวลเรียกให้มานอนยังไงก็ไม่ยอม จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยไป

             ทีเกื้อนั่งฟังเฉย สายตาของคนในวงเริ่มมองมาที่เขา ยังดีที่นอกชานไฟสลัว จึงไม่มีใครเห็นสีหน้า ความรู้สึกเขาได้ชัดเจน

             ตกดึก ยายกับแม่นวลออกมาดู เห็นเจ้าเกื้อมันหลับคอพับอยู่ที่หัวบันได กำลังจะไปอุ้มมานอนในห้อง พอดีดาบอินแกกลับมาก่อน...เสียงฝีเท้าแกปลุกเจ้าเกื้อตื่น พอเห็นคุณตากลับมาแล้วมันก็ยิ้มร่า หายง่วง...รีบชูรางวัลให้ดาบแกดู แล้วพูดเสียงใส ไม่มีงัวเงียสักนิดว่า...

             คุณตา...เกื้อวาดรูปคุณตาชนะได้รางวัลที่หนึ่งวันพ่อด้วยล่ะ...เกื้อเอารางวัลมาให้คุณตาครับ



            ยายยิ้มหยุดเล่าชั่วครู่ ภาพวันนั้นกำลังย้อนทวนมาสู่ความทรงจำ แกสามารถจำภาพรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้จนหมดสิ้น

             ดาบอินแทบพูดอะไรไม่ออก...ยายเห็นสีหน้าแกเหน็ดเหนื่อย อิดโรยเต็มที่...ถึงอย่างนั้นแกก็รับรางวัลจากหลานชายมาดู ยิ้มให้แล้วพูดว่า... เก่งมากลูก ... แค่นั้นแหละที่เจ้าเกื้อมันรอฟังมาตลอดคืน...ยายเห็นมันยิ้มแป้นยิ่งกว่าตอนได้รับรางวัลซะอีก...แล้วดาบอินแกก็อุ้มหลานขึ้นมากอดแนบอก...เจ้าเกื้อมันคงไม่เห็นหรอกว่าดาบแกน้ำตาไหล...ยายรู้...ดาบแกอยากมีลูกชายมากแค่ไหน...แล้วเจ้าเกื้อก็เป็นลูกชายที่แกภูมิใจได้จริง ๆ

             บรรยากาศนอกชานใกล้เคลื่อนเข้าสู่อดีตมากขึ้นทุกที คนที่ได้ยินเรื่องราวจากยายยิ้มสามารถนึกภาพเด็กชายตัวน้อยที่ขาดพ่อ แล้วยึดเอาคุณตาเป็นวีรบุรุษในใจได้ชัดเจน

             เอื้อกานต์เหลือบมองน้องชาย สัมผัสกระแสความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ จึงเอ่ยปากขึ้น

             ยายจ๋า...เล่าเรื่องอื่นบ้างเถอะ...ขืนเล่าเรื่องนี้ต่อ เกื้อมันต้องร้องไห้แน่ อายคนอื่นเขาเปล่า ๆ

             บ้าสิ ชายหนุ่มหลุดปากสวนคำพี่สาว อารมณ์เศร้าในใจเปลี่ยนไป

             เมื่อบรรยากาศเปลี่ยน ตาชมคิดอะไรบางอย่างออก รีบลุกขึ้นเข้าไปในบ้าน แล้วหยิบของบางอย่างมายื่นให้ทีเกื้อ

             เอ้า...คุณเกื้อ บรรเลงเพลงให้ดาบแกหน่อย

             สิ่งที่ยื่นมาคือขลุ่ยเลาหนึ่ง...

             ใช่แล้ว...เพลงน้ำตาแสงไต้...คุณเกื้อเป่าให้ดาบแกทุกปี...แหมดีจริง วันนี้มีคนมาฟังเพิ่มอีกตั้งหลายคน ยายยิ้มเสริม

             ทีเกื้อมองขลุ่ยที่ยื่นมาอย่างชั่งใจ อดเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งห่างออกไปไม่ได้ รู้ว่าหล่อนกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน...เพราะครั้งหนึ่ง ทั้งสองเคยมีสัญญาต่อกัน



             ถึงพี่จะร้องเพลงห่วยนะ แต่เป่าขลุ่ยเพราะมาก เชื่อมั้ย เขาอวดตัวกับสาว

             เปลี่ยนเป็นกีตาร์ได้มั้ยคะ...ขลุ่ยมันโบราณจัง ดูบ้าน ๆ พิกล หนูดีแซว

             ขลุ่ยนี่แหละคลาสสิกที่สุดแล้ว คุณตาพี่ชอบฟังมาก...พี่จะเป่าเพลงน้ำตาแสงไต้ให้คุณตาฟังทุกครั้งที่กลับไปทำบุญวันครบรอบให้แม่กับคุณตา

             หนูดีอยากไปด้วยจัง

             ได้เลย...เดี๋ยวพอหนูดีเรียนจบ ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องมีใครมาคุมแล้ว พี่กับเอื้อจะพาไปด้วยกัน

             จริงนะ อย่าลืมสัญญาเชียว

             สัญญา...ไม่ลืม



            ใช่...เขาไม่เคยลืมสัญญา เพียงแต่...คำสัญญาบางข้อ มันไม่อาจปฏิบัติตามได้อีกแล้ว...

             คืนนี้...ใครจะคาด หนูดีมีโอกาสได้ฟังเพลงน้ำตาแสงไต้...ตามที่เขาเคยให้สัญญาไว้...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๘



             หลังอาหารมื้อเย็น ท่านรัฐมนตรีตั้งใจอยากเดินดูรอบบ้าน หาเวลาพูดคุยกับลูกฝาแฝดทั้งสอง รวมถึงคนเก่าแก่ที่นี่ แต่ร่างกายกลับอ่อนเพลีย เหนื่อยจนอยากพักผ่อน อาจเป็นผลจากยาสลบที่โดนเมื่อตอนบ่าย

             เอื้อกานต์ตรวจร่างกายทุกคนหลังฟื้นจากยาสลบแล้ว รับรองว่า ไม่น่ามีอันตราย หรือมีผลข้างเคียงน่าเป็นห่วงอย่างใด พอบิดาบ่นอ่อนเพลีย ต้องการพักผ่อน เธอจึงจัดที่นอนให้ในห้องเก่าของมารดา

             พอหัวถึงหมอน ธีรนัฐก็หลับสนิท ดิ่งลึก ไม่ฝัน จนมีเสียงหนึ่งแว่วมากระทบโสตประสาท เป็นเสียงขลุ่ยดังวิเวกหวาน ปลุกประสาทให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์นิทรา

             เสียงขลุ่ยนั้นบรรเลงเพลงคุ้นหู...

             ...นวล...เจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ...

             ถ้อยคำ เหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย...

             น้ำตาแสงไต้ เพลงแห่งความทรงจำ ที่กล่าวถึงชื่อผู้หญิงคนหนึ่ง...เธอคนนั้นเป็นเหมือนหยาดน้ำชุ่มเย็นมาชโลมหัวใจอันแห้งผากของเขา

             นวลแก้ว



            เขาแต่งงานกับผู้หญิงสูงค่า ผู้สามารถผลักดันเขาไปสู่จุดสูงสุดในชีวิตได้ ผู้หญิงหลังม่านคนนี้มีศักยภาพ เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายแถวหน้าในประเทศ สิ่งที่เขาได้รับจากเธอ ต้องแลกมาด้วยความอึดอัด ทรมาน ชีวิตถูกกำหนดให้ซ้ายหัน ขวาหันตามคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืน

             ผู้หญิงคนนั้นรักและหวังดีต่อเขา...ธีรนัฐรู้ดี

             ทว่า ความรักของเธอ หมายถึงการครอบครอง บงการ ควบคุมชีวิตเขาทั้งชีวิต จนความรู้สึกดี ๆ ที่มีแก่กันก่อนแต่งงาน ล้วนเหือดแห้งหายไปตามกาลเวลา

             จนเขาได้มาพบ นวล หรือนวลแก้ว หญิงสาวสดใส มีชีวิตชีวา เปรียบดังสายฝนชโลมใจ เรียกความชุ่มชื่นกลับมาในชีวิตอีกครั้ง

             มันเป็นความสัมพันธ์ที่ผิด!

             เขารู้ และยอมรับ แต่ไม่อาจหักห้าม ตัดใจ ไม่อาจสั่งตนเองให้สลัดความรัก ความผูกพันออกไปได้

             ....น้ำตา....แสงไต้ ดื่มใจพี่ร้าวระบม...

             ไม่อยาก พรากขวัญภิรมย์...จำใจข่มใจไปจากนวล...

             เมื่อเธอรู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว นวลก็ขอจบความสัมพันธ์ ผู้หญิงอย่างเธอ ไม่มีวันแย่งสามีใคร

             เขาจำต้องตัดใจ ทั้งที่หัวใจร้าวระบม

             เสียงขลุ่ยบรรเลงแว่ว ราวกับนำอารมณ์ ความรู้สึกแทรกเข้ามาสู่ใจให้เขาเจ็บช้ำ ร้าวรานมากกว่าเดิม

             ธีรนัฐคลับคล้ายกำลังลืมตา...ลืมตา ที่ไม่ใช่การเปิดเปลือกตา เป็นดวงตาภายในเปิดออก มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในความมืดได้ชัดเจน

             เขาลุกขึ้นนั่ง หลังพิงหัวเตียง มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง ความมืดครอบร่างนั้นจนเห็นเป็นกรอบ เน้นเรือนร่างบอบบาง ผิวขาวเผือด ใบหน้ามีความงามแบบหม่นเศร้า ดวงตาแลมาส่งกระแสความหดหู่จนเขาอยากร้องไห้

             นวล... เขาแค่ขยับริมฝีปาก เสียงเรียกขานก็ดังออกมา

             หญิงสาวที่ยืนปลายเตียงคือนวลแก้ว มารดาสองฝาแฝด เธอดูคล้ายหญิงสาววันเก่า ยืนนิ่ง แววตาตัดพ้อ ไม่ต่างจากวันที่รู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว

             ผมขอโทษ เขาหลุดคำนี้โดยไม่ตั้งใจ เป็นความรู้สึกแรกที่เกิดยามสบตาเธอ

             คุณ... เสียงผู้อยู่ปลายเตียงแผ่วเบา ราวกับล่องลอยมาแสนไกล

             ระวังตัวด้วย...อย่าประมาท...ระวัง รักษาตัวให้ดี

             คำพูดตามมาเป็นห้วง ๆ แล้วเงียบหาย ธีรนัฐอยากเอ่ยปากถาม...เธอมาเตือนเขาเพราะเหตุใด...หรือจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น?

             ยังไม่ทันเอ่ยปาก ร่างเธอก็เลือนหาย ปล่อยความมืดเข้ามาปิดบังเป็นฉากกั้นดังเดิม

             ความมึนงง เหนื่อยล้า อ่อนเพลียเข้าเกาะกุมท่านรัฐมนตรี ร่างกายขยับเอนนอนโดยไม่ต้องสั่ง และหลับสนิทดิ่งลึก เพลงน้ำตาแสงไต้ค่อยถอยห่างไปทุกที ทุกที



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             เสียงขลุ่ยเพลงน้ำตาแสงไต้ บรรเลงหวานในคืนแรม ใต้แสงดาวระยิบพราย นอกชานกว้าง โอบล้อมด้วยกลิ่นดอกไม้หอมยามราตรี

             ผู้ฟังล้วนหลงอยู่ท่ามกลางภวังค์แห่งดนตรี อารมณ์ของผู้บรรเลงถูกสอดแทรกในสายลม ความรู้สึกส่งจากใจถึงใจ ผู้ฟังแทบจินตนาการใบหน้าของ นวล ออกมาเด่นชัด

             ทว่าความรู้สึกหวานปนเศร้าที่แฝงอยู่กับลมขลุ่ยแต่ละระลอกนั้น เสมือนจงใจถ่ายทอดไปสู่จิตใจใครบางคน บอกถึงความรัก ความอาลัยอย่างจับจิตจับใจโดยไร้วาจาแม้สักครึ่งคำ

             สัตตบงกชมองทีเกื้อผ่านความสลัวราง เห็นดวงตาเขาหรุบลง ราวกับจะซ่อนความรู้สึกไม่ให้ใครเห็น มีเพียงเสียงลมที่บอกกล่าวความในใจ ซึ่งเธอรับรู้ชัดเจนทุกถ้อยคำ

             หยาดน้ำใส ๆ เอ่อคลอดวงตา ก่อนมันจะไหลลงมาเงียบ ๆ โดยไม่มีใครสังเกต หัวใจเขาเจ็บปวด แล้วหัวใจเธอไม่ร้าวรานหรอกหรือ...

             ...ไม่อยาก...พรากขวัญภิรมย์...จำใจข่มใจไปจากนวล...

             เขาเจ็บ เธอก็เจ็บ เขาจำต้องข่มหัวใจรัก...เธอก็ต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างที่สุดข่มใจเช่นกัน...ในวันที่กลับมา เพื่อบอกเลิก ให้เขาหมดหวังในตัวเธอตลอดกาล...



            พี่เกื้อคะ...หนูดีต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสม

             แล้วพี่ไม่เหมาะสมตรงไหน พี่มั่นใจว่าสามารถดูแลหนูดีได้ตลอดชีวิต

             แต่พี่เกื้อไม่สามารถดูแลบ้าน ดูแลครอบครัวหนูดี...ไม่สามารถช่วยฟื้นฐานะครอบครัวหนูดีได้

             เขาอึ้ง...พูดอะไรไม่ออก เขารู้จักครอบครัวหญิงสาวคนรัก...เป็นผู้ดีเก่า เคยมีอดีตอันรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง เกียรติยศสูงส่ง...ปัจจุบัน ทุกสิ่งล้วนลับหาย พ่อของหนูดี ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเสียชีวิต ทิ้งภรรยาม่ายกับลูกสาวคนเดียว

             แม่ของหนูดียังติดในเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ หน้าตาวงศ์ตระกูล พยายามรักษามันไว้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการยอมขายสมบัติที่มี หรือหาเงินด้วยการพนันจนเป็นหนี้จำนวนมหาศาล

             หนูดีถูกปลุกปั้น สร้างสรรค์ให้สมบูรณ์ งามพร้อมที่สุด ทั้งชาติตระกูลดี ความประพฤติงดงาม การศึกษาสูง การงานโดดเด่น เป็นหน้าเป็นตา เพื่อให้เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้าย ในการค้ำยันเกียรติยศของวงศ์ตระกูลเอาไว้

             คนที่จะเป็นลูกเขยบ้านนี้ มีเงื่อนไขข้อเดียว...

             รวยพอจะเป็นคลังสมบัติ เพื่อรักษาหน้าตาให้พวกเขาได้หรือไม่?

             ทีเกื้อรู้...เขาขาดคุณสมบัตินั้น!

 



             หนูดี... คำเรียกขานนี้อ่อนหวาน หวังจะเรียกคืนความสัมพันธ์ แล้วความรักของเรา...

             เขามีสิ่งเดียวที่ให้ได้คือ ความรัก ความรักที่ไม่เคยมีให้ใครง่าย ๆ

             ความรัก ที่ทำให้คนอย่างเขา ยอมวิงวอน ขอร้องเธอเป็นครั้งสุดท้าย

             หญิงสาวตอบคำขอร้องนี้ด้วยน้ำตานองหน้า

             หนูดีมีทางเลือกแค่สองทาง...หนึ่งคือเป็นผู้หญิงที่ดี ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง และไม่ยอมทำร้ายหัวใจคนที่ตัวเองรัก กับทางเลือกที่สอง เป็นลูกที่ดี ไม่ทำให้แม่ร้องไห้ เสียใจ และทำหน้าที่ทายาทคนเดียว รักษาชื่อเสียงครอบครัว วงศ์ตระกูลของตัวเองไว้

             ทีเกื้อพูดไม่ออก ไม่รู้จะวิงวอนอย่างไร หัวใจมันเจ็บจนเกินทนไหว ความเป็นลูกผู้ชาย ถูกสอนให้อดทน และ เข้าใจ ความจำเป็นของคนรอบข้าง

             เขาเข้าใจหนูดี แต่หัวใจมันไม่ยินยอมรับฟังการตัดสินใจของเธอ

             พี่... เวลานี้เขาควรจะพูดอะไรอีก...จะมีคำพูดไหน เป็นของขวัญให้เธอในการจากลากันครั้งนี้...

             พี่ยอมรับ...การตัดสินใจของหนูดี ขณะพูด เขาก็นึกด่าตนเองว่าเป็น...ไอ้คนโกหก...

             พี่...พี่จะไม่ทำให้หนูดี...ลำบากใจ คำพูดสุดท้าย หลุดออกมาอย่างยากเย็น

 

 

             เขายอมถอยหลัง...ลูกผู้ชายเช่นเขา รู้ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ...แม้การกระทำบางอย่าง มันโหดร้ายยิ่งกว่าเชือดหัวใจตัวเอง...แต่ถ้าจำเป็น...เขาก็ยินดีกระทำ

             วันนั้น...เขาแค่คาดไม่ถึง...คนที่เหมาะสมกับหนูดี คือพี่ชายเขาเอง!



 

             ทีเกื้อทิ้งรอยหวานปนเศร้าไว้ในลมขลุ่ยระลอกสุดท้าย มันจับใจบางคน จนทำให้น้ำตาไหลริน...

             หลังสิ้นเสียงขลุ่ย ความเงียบบังเกิดขึ้น ผู้ฟังล้วนต้องมนต์สะกดของกระแสเสียง จนไม่กล้ากระทั่งส่งเสียงปรบมือ มาทำลายบรรยากาศ

             ครู่หนึ่ง ตาชมจึงเอ่ยปากเบา ๆ

             แปลกจัง ปีนี้คุณเกื้อเป่าขลุ่ยฟังแล้วเศร้ากว่าทุกปี

             นั่นสิ ยังกับไม่ได้เป่าให้ดาบอินกับแม่นวลงั้นแหละ ยายยิ้มเสริม

             คนเขาพัฒนาฝีมือขึ้น จะให้เป่าเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะจ๊ะ ตายาย เอื้อกานต์แก้ตัวแทนน้องชาย

             ทีเกื้อวางขลุ่ยไว้ข้างกาย สายตามองผ่านหญิงสาวที่นั่งเงียบ ไม่พูดจา อีกฝ่ายรู้สึกตัว จึงเสมองอีกทาง พลางขยับตัวเข้าหาเอื้อกานต์หวังเป็นที่พึ่งพิง

             ธีรภูมิเคยฟังทีเกื้อเป่าขลุ่ยเพลงนี้มาก่อน พอได้ยินวันนี้ก็รู้สึกไม่ต่างจากสองตายาย ยิ่งเห็นสายตาน้องชายมองผ่านสัตตบงกช และกิริยาที่หญิงสาวแสดงออกนั้น ยิ่งทำให้สะดุดใจ



             จริงของหนูเอื้อนะ คุณเกื้อพัฒนาฝีมือขึ้น ฟังเพราะกว่าทุกปี แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะพานางฟ้าของคุณ มาฟังเพลงนี้สักทีล่ะ ปล่อยให้ยายรอเธอมาหลายปีแล้วยายยิ้มถาม

             คำถามนี้ทำเอาทีเกื้อเย็นสันหลังวาบ นั่งนิ่งเหมือนถูกสาป สัตตบงกชตัวเย็นเฉียบ ไม่กล้ากระทั่งหันไปมองหน้าใคร

             อะไรนะจ๊ะยาย...นางฟ้าของเกื้อ...เจ้าเกื้อมันไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่ยักรู้ ธีรภูมิสงสัย

             หลายปีแล้ว ตอนนั้นคุณภูมิน่าจะไปเรียนต่างประเทศแล้วล่ะ ยายยิ้มตอบ

             ธีรภูมิหันไปหลิ่วตาล้อเลียนน้องชาย อีกฝ่ายกลับเฉยไม่ตอบรับ จึงฉุกใจมาคุยกับสองตายายต่อ

             แหม เห็นมันเฉยอย่างนี้ผมยิ่งอยากรู้...ยายเล่าเรื่องนางฟ้าของเกื้อให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ ธีรภูมิอ้อนผู้เฒ่า เชื่อว่าคงได้ฟังอะไรดี ๆ มากกว่าเค้นจากเจ้าตัวแน่ ๆ

             ยายยิ้มหัวเราะเอิ๊ก ๆ ชอบใจ นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ก่อนจะเรียบเรียงเล่าให้ชายหนุ่มฟังอย่างมีความสุข

             หลายปีก่อนโน้น...ตอนนั้นคุณเกื้อเพิ่งจะสอบเข้านักเรียนเตรียมนายร้อยได้มั้ง...แกมาเล่าให้ฟังว่า เจอเด็กผู้หญิงคนนึง สวยเหมือนนางฟ้า พอได้รู้จักแล้วก็ชอบ บอกว่าเขาเหมือนตุ๊กตาแก้วใส ทำให้นึกอยากคุ้มครอง ปกป้อง แล้วก็อยากพาเขามาไหว้แม่นวล มากราบคุณตาที่นี่

             โอ้โห...ถ้าเจ้าเกื้อมันพูดขนาดนี้ แสดงว่ารักจริงนะเนี่ย...คนอย่างหมอนี่ ถ้าไม่มั่นใจกับใครจริง ๆ รับรองไม่คิดพามาไหว้คนที่มันรักมากที่สุดหรอก

             คำพูดของธีรภูมิ เสียดแทงกลางใจหญิงสาว อดเหลือบมองชายหนุ่มเจ้าของเรื่องในเงามืดไม่ได้

             ยายก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เลยถามไปว่า นางฟ้าคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร นิสัยดีไหม...คุณเกื้อก็บอกว่า เขาเป็นลูกสาวผู้ดี พ่อแม่หวงมาก แต่เธอเป็นคนน่ารัก ยิ่งได้รู้จักยิ่งเห็นว่าเป็นผู้หญิงใส ๆ มีสมอง อยู่ใกล้แล้วมีความสุข ยิ้มได้ตลอดเวลา เป็นผู้หญิงที่คุณเกื้อเขาอยากปกป้องไปตลอดชีวิต

             สัตตบงกชกลั้นก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกคอหอย สะกดกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลมาอีก เอื้อกานต์ก้มมองหญิงสาวที่นั่งเบียดใกล้ เข้าใจความรู้สึก ไม่อยากให้เธอเจ็บปวดมากกว่านี้

             ยายจ๊ะ...ห่อข้าวต้มมัดเสร็จแล้ว เอาไปเก็บในครัวเลยดีมั้ย

             เดี๋ยวก็ได้จ้ะหนูเอื้อ...เออ...จริงสิ...พูดถึงเรื่องคุณเกื้อกับนางฟ้า ยายก็คิดถึงหนูเอื้อกับพ่อกลดเหมือนกัน

             คำว่า พ่อกลด จากปากยายยิ้ม ทำให้เอื้อกานต์นิ่งไปชั่วขณะ

             เอ๊ะ...เดี๋ยว ธีรภูมิสนใจ...ลืมเรื่องทีเกื้อกับนางฟ้าชั่วขณะ เอื้อ...พี่ตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า พ่อกลด ที่ยายยิ้มพูดถึงเป็นใครน่ะ

             อุ๊ย...ยายขอโทษ ยายยิ้มเพิ่งนึกได้ ว่าไม่ควรเอ่ยชื่อบุคคลนี้ แต่ช้าไปเสียแล้ว ธีรภูมิหันซ้ายหันขวา รอว่าใครจะช่วยคลี่คลายความสงสัยแก่ตนเองได้

             เล่าเถอะจ้ะยาย เอื้อกานต์พูดเสียงอ่อนโยน เดี๋ยวพี่ภูมิจะมาว่าทีหลังได้ว่า เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ แต่ไม่ยอมบอกเรื่องส่วนตัวกันเลย

             ธีรภูมิไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่จบมัธยม ใช้เวลาเรียนปริญญาตรียันจบดอกเตอร์เป็นเวลาหลายปีเต็มที กลับเมืองไทยแค่ช่วงปิดเทอม ซึ่งก็โดนมารดาล็อคตัวออกงาน ไม่มีโอกาสพบน้องทั้งสอง พอเรียนจบกลับมาทำงานจริงจัง เวลานั้นทีเกื้อกับเอื้อกานต์ก็ออกไปอยู่คอนโด มีงานยุ่งจนเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก แทบไม่มีโอกาสติดต่อ คุยกันประสาพี่น้อง

             พูดถึงพ่อกลดแล้วยายก็เสียดาย ยายยิ้มเริ่มต้น แกเป็นผู้ชายที่ดีจริง ๆ หายากมาก คนที่รูปงามทั้งภายนอก ภายในแบบนี้

             งาม? ธีรภูมิทวนคำอย่างสงสัยปนขัน

             อู้ย...พูดถึงรูปงามน่ะ คุณกลดแกหล่อมาก หล่อกว่าคุณเกื้ออีก ยายยิ้มยืนยัน ทีเกื้อฝืนยิ้มรับ

             หน้าตาแกหล่อเหมือนพวกแขกขาว ผิวงี้ขาวเนียน ผู้หญิงยังอาย นัยน์ตาสวยแบบแขก ยายเห็นครั้งแรกยังหลงเลย นิสัยดี ไม่ถือตัว พูดเพราะ มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ แล้วก็รักหนูเอื้อเหลือเกิน ยายเห็นนะ สายตาแกแทบจะไม่ห่างจากหนูเอื้อเลย

             เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำงานอะไรน่ะยาย ธีรภูมิอยากรู้

             เอ...เขาเป็นใครนะหนูเอื้อยายยิ้มหันไปถาม

             เอื้อกานต์ระบายลมหายใจแผ่วเบา สังเกตเห็นความกระเพื่อมไหวน้อย ๆ ในใจ

             เขาเป็นรุ่นพี่คณะนิติฯ ที่เรียนจบไปแล้ว ตอนเจอกันพี่เขาทำงานเป็นผู้ช่วยทนายความ แล้วก็กำลังเรียนเนติฯ เทอมสุดท้าย

             พวกนักกฎหมายเหรอ

             พี่กลดอยากเป็นผู้พิพากษาค่ะ เคยบอกว่าจบเนติฯแล้ว จะไปสอบผู้พิพากษาต่อเลย เอื้อกานต์ตอบ

             น่าแปลก ยามพูดถึงเขา ใจที่เคยสงบ ไม่มีตะกอนทุกข์ กลับขุ่นขึ้นเล็กน้อย หมอกมัวความเศร้าเริ่มก่อตัว จนเอื้อกานต์รู้ว่าตนไม่ควรพูดถึงเขาต่อ

             ตอนเขามาที่นี่ ยายเห็นยังตะลึง ผู้ชายอะไรรูปหล่อขนาดนี้ แถมยังน่ารัก ไม่ถือตัว พูดจาดี สมเป็นว่าที่ผู้พิพากษาจริง ๆ

             โห...เพอร์เฟกต์ขนาดนั้นเชียว ธีรภูมิอุทาน มองน้องสาวอย่างล้อเลียน แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ ทำไมไม่แนะนำให้พี่รู้จักบ้าง

             พี่กลดเสียแล้วค่ะ...เครื่องบินตก เอื้อกานต์ใช้คำพูดสั้น รวบรัด ชัดเจน เพื่อตนจะได้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

             ธีรภูมิอึ้ง แววตาเสียใจ

             เอื้อ...พี่ขอโทษ

             ก่อนจะมีใครพูดจา พาเอื้อกานต์ย้อนกลับไปหาเรื่องเศร้าวันวานอีก ทีเกื้อก็ขยับตัวลุกขึ้น หยิบถาดที่เรียงข้าวต้มมัดขึ้นมา

             ผมเอาข้าวต้มมัดไปเก็บในครัวก่อนนะ...ยายจะนึ่งตอนไหน ให้ช่วยติดเตาไฟมั้ย

             สองตายายหันไปสนใจนายตำรวจหนุ่ม และการเตรียมงานทำบุญพรุ่งนี้

             คุณเกื้อไม่ต้องมาช่วยยายติดไฟหรอก...เดี๋ยวยายจัดการเรื่องข้าวต้มมัดเอง นึ่งตอนเช้ามืดน่าจะทัน

             ทีเกื้อพยักหน้ารับ ลุกขึ้นพร้อมถาดข้าวต้มมัด ธีรนัฐที่นั่งข้างจึงลุกขึ้น ช่วยยกถาดที่เหลือตามน้องชายเข้าครัว

             วงสนทนานอกชานจึงแยกย้ายกันโดยปริยาย

             เอื้อกานต์มองตามหลังน้องชาย ยิ้มน้อย ๆ อย่างเข้าใจ...ถ้ายังคุยเรื่อง พี่กลด ต่อ ในบรรยากาศเดิมเช่นนี้ ตรงที่ ๆ เขาเคยนั่งฟังเสียงขลุ่ย ดูดาวกับหล่อน หัวใจคงรับไม่ไหว ทีเกื้อจึงช่วยแก้สถานการณ์ให้

             คิดแล้วก็ อดส่ายหน้าไม่ได้...

             เจ้าเกื้อเอ๊ย...ทีเรื่องของคนอื่นน่ะเก่ง ช่วยเขาได้ดี...ส่วนเรื่องตัวเองกลับแย่...เอาตัวไม่รอดซะอย่างนั้น!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP