วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อาคม ๘
นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
เอื้อกานต์มาถึงบ้านคุณตาตั้งแต่เช้า พบกับตาชม ยายยิ้มคนเก่าคนแก่ที่อาศัย ดูแลบ้านหลังนี้ให้ โชคดีที่นภติดงานตามคณะครม.สัญจรเหมือนทีเกื้อ จึงโทรบอกว่ามาไม่ได้
หลังพักผ่อนจากการขับรถคนเดียว หญิงสาวก็ช่วยยายยิ้มทำความสะอาดห้องนอนเก่าของตน ตั้งใจว่าพอเสร็จแล้วจะไปตลาด ซื้อของมาทำอาหารเตรียมไปทำบุญที่วัดพรุ่งนี้
“หนูเอื้อ จะให้ยายทำความสะอาดห้องคุณเกื้อด้วยเลยมั้ย” ยายยิ้มถามหลังจากช่วยกันทำความสะอาดห้องของเธอเสร็จ
“ไม่ต้องหรอกจ้ะยาย คืนนี้เกื้อมันคงไม่มานอนที่นี่หรอก เห็นบอกว่าจะตามไปเจอกันที่วัดพรุ่งนี้เลย”
พูดจบก็เกิดนิมิตแวบในหัว...เห็นทีเกื้อขับรถพาพ่อ...ธีรภูมิ และสัตตบงกชมาที่นี่
“เอ่อ...ทำเลยก็ดีจ้ะยาย...ทำความสะอาดห้องคุณตาด้วยนะ”
“ทำหมดเลยเหรอหนู...แหม...ทำเหมือนกับจะมีคนมาค้างที่นี่กันหลายคนงั้นแหละ”
หญิงสาวยิ้มรับ ไม่อธิบาย แล้วรีบหุบยิ้มทันที รู้สึกหัวใจเต้นถี่ รัวเร็ว คล้ายระฆังลั่นเตือนสัญญาณอันตราย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ทีเกื้อยืนหอบหายใจถี่ท่ามกลางเด็กวัยรุ่นที่หมอบฟุบลงกับพื้นทั้งสี่คน เขาใช้เวลาไม่นานสำหรับการจัดการแก๊งปาหินร่างผอมบางเหล่านี้
ถึงจะเป็นเวลาไม่นานมันก็ชวนให้นึกสงสัย ทำไมคนบนรถยังนั่งนิ่งอยู่ได้โดยไม่ส่งเสียง หรือลงมาดูกันเลย
ทีเกื้อฉุกใจ รีบเดินกลับไปที่รถ
สิ่งที่เห็นคือพ่อ ธีรภูมิ และสัตตบงกชต่างฟุบหลับอยู่กับเบาะ
เขาพลาดแล้ว...ทีเกื้อมั่นใจว่าตนเองยืนห่างจากรถไม่กี่ก้าว หากมีใครเข้าใกล้ย่อมมองเห็น เหตุใดคนในรถถึงกลายเป็นแบบนี้
ชายหนุ่มเปิดประตูรถออก กลิ่นแปลก ๆ บางอย่างโชยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ชวนวิงเวียน คลื่นเหียนที่สุด
โดนวางยา! ใครกันสามารถวางยาพ่อและทุกคนบนรถโดยเขาไม่รู้ตัว!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
บทที่ ๗
ประตูรถทุกบานเปิดออก ทีเกื้อลำเลียงทุกคนออกมานั่งพักใต้ต้นไม้ริมถนน สภาพแต่ละคนอยู่ในอาการสลบไสล ไม่ได้สติ กลิ่นฉุนยังคละคลุ้งอบอวลในรถ ชายหนุ่มหยิบขวดน้ำดื่มออกมา แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้พ่อ หนูดี และธีรภูมิตามลำดับ หวังให้ความสดชื่น เย็นฉ่ำของน้ำ ช่วยเรียกสติทำให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เสร็จจากดูแลคนไม่ได้สติ ทีเกื้อก็หันไปดูกลุ่มวัยรุ่นที่เขาจัดการจนหมอบอยู่ริมถนน ปรากฏว่าพวกมันยังไม่หมดฤทธิ์ พอมีแรงลุกไหว ก็หิ้วปีกเพื่อน ๆ พากันกะเผลก ๆ หนีหายโดยเขาไม่ทันสอบปากคำ
นายตำรวจหนุ่มเดินไปดูฝากระโปรงรถ รู้สึกสะดุดตา นอกจากจะมีรอยหินกระแทกจนฝากระโปรงรถยุบแล้ว ยังมีคราบอะไรบางอย่างติดอยู่ที่รอยยุบนั้นด้วย
ทีเกื้อใช้ปลายนิ้วแตะคราบ สัมผัสถึงความเหนียวหนืดบาง ๆ ใกล้แห้ง พอยกขึ้นมาดมก็รู้ชัด กลิ่นของมันฉุนเตะจมูกไม่ต่างจากกลิ่นที่อบอวลอยู่ในรถเลย
ก้อนหินที่ขว้างมาไม่ธรรมดาเสียแล้ว ต้องมีอะไรบางอย่างผูกติดมาด้วย พอมันกระทบกับฝากระโปรงก็แตกออก ไหลซึมลงตัวเครื่อง แล้วระเหยเป็นไอเข้าไปในตัวรถได้
พอเริ่มปะติดปะต่อเรื่อง เขาก็นึกถึงแก๊งปาหินที่เพิ่งหนีลับสายตา รีบวิ่งไปดู มองหาแต่ช้าไปเสียแล้ว พวกมันอาศัยความชำนาญพื้นที่ แยกย้ายกันหนีหายจนไม่เหลือร่องรอยให้ตามทัน
ถอนใจเฮือกใหญ่ นึกโมโหตัวเอง ทำไมถึงไม่รีบจับตัวพวกมันไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้เค้าเงื่อนอะไรมากกว่านี้
ขณะเดินกลับไปดูบิดาและคนอื่น ๆ ก็มีรถยนต์อีกคัน ขับมาจอดต่อท้ายรถเขา
“เอื้อ!” ทีเกื้อร้องทัก เมื่อเห็นพี่สาวลงจากรถ ไม่สงสัยสักนิดว่าเจ้าตัวมาได้อย่างไร
ทุกครั้งที่เขาเกิดเรื่อง ประสบเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ หากเอื้อกานต์อยู่ใกล้ เธอจะรีบมาช่วยทันที
“เกิดอะไรขึ้น ทุกคนเป็นไงบ้าง” หญิงสาวถาม สายตามองคนที่นอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้
“สลบเหมือดกันหมด ไม่รู้โดนยาอะไรเข้าไป รีบมาดูก่อนเถอะ”
ถึงพูดเร่งเร้า ในใจกลับโล่งอก คลายกังวล เอื้อกานต์มาถึงแล้ว หมดห่วงเรื่องคนทั้งสามจะเป็นอะไรไปได้เลย
เอื้อกานต์ดูอาการคนเจ็บอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นบอกน้องชาย
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่พวกเขาโดนยาอะไร แล้วโดนได้ยังไง”
“พวกแก๊งปาหิน...ไม่รู้มันเอายาอะไรติดมาด้วย พอกระทบฝากระโปรงรถแล้วมันคงแตก ยามันเลยระเหยเข้าไปในรถได้”
“พาไปดูหน่อยสิ” คุณหมอลุกขึ้นยืน
ทีเกื้อเดินนำหน้าโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ชี้ให้ดูจุดที่ฝากระโปรงยุบ เอื้อกานต์ก้มลงดูคราบยาที่ตกค้าง ได้กลิ่นฉุนติดจมูกจาง ๆ
“ว่าไง” ทีเกื้อถาม
“ไม่รู้สิ” คุณหมอตอบ หัวคิ้วขมวด
“พาพวกเขาไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีมั้ย” ทีเกื้อห่วงอาการทุกคนมากกว่าจะเร่งสืบสาวสาเหตุ
“ไม่จำเป็นหรอก อาการแค่นี้ไม่เท่าไหร่ พาไปพักที่บ้านคุณตาดีกว่า เอื้อรักษาได้” คุณหมอรับรอง
“โอเค งั้นเกื้อจะอุ้มพวกเขาไปไว้ที่รถเอื้อแล้วกัน...ฝากด้วยนะ เดี๋ยวจะขับอีกคันตามไป”
“ตอนขับตามมาต้องเปิดกระจกให้หมดทุกบานเลยนะ จะได้ไล่กลิ่นยาพวกนี้ด้วย”
“รู้แล้วน่า...เกื้อไม่อยากขับ ๆ รถไปแล้ววูบกลางทางเหมือนกัน”
สองพี่น้องคุยกัน สรุปปัญหาและทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว ไม่นาน รถสองคันแล่นตามกัน ทิ้งร่องรอยความว่างเปล่าไว้เบื้องหลัง
ไม่นาน...อีกเช่นกัน คิมเดินออกมาจากแนวไม้ข้างทาง มองตามท้ายรถทั้งสองด้วยแววตาเร้นลึก ยากคาดเดาความรู้สึก
การทำงานครั้งนี้มีอุปสรรคนิดหน่อย...ยังดีที่มันสำเร็จ!
เขารู้ว่ารัฐมนตรีธีรนัฐจะมาในวันนี้ แผนการถูกเตรียมไว้แบบหนึ่ง พอกำหนดการถูกเปลี่ยน คณะถูกทิ้งไว้ที่โรงแรม แล้วตัวรัฐมนตรีกับผู้ติดตามขับรถออกจากโรงแรมโดยไม่บอกจุดหมายปลายทางล่วงหน้า
คิมตั้งใจขับรถสะกดรอยตาม แต่ “อาจารย์” ก็โทรมาดัก พร้อมกับวางแผนให้ใหม่ คิมจึงสามารถมาดักรอ พร้อมเตรียมการที่นี่ได้อย่างเฉียดฉิว
โชคดีที่การสะกดใช้งานแก๊งวัยรุ่นปาหินไม่ใช่เรื่องยาก กระทั่งให้พวกมันออกมาสกัดกั้น ถ่วงเวลาตำรวจผู้ติดตามก็ไม่ลำบาก จะห่วงก็แค่ไม่ให้พวกมันถูกจับได้ กับรอดูจนแน่ใจว่ายาออกฤทธิ์เรียบร้อย
งานสำเร็จ...คิมยังอยู่ที่เดิม เหมือนมีบางอย่างค้างคาใจ
เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกเข้า คิมรีบรับสายทันที...
“เรียบร้อยใช่ไหม” คำถามจากผู้เป็นอาจารย์
“ครับ”
“วางเหยื่อสำหรับรายที่หกเสร็จแล้ว...ทำไมไม่รีบไปเตรียมพิธีจัดการกับเหยื่อรายที่ห้า” ผู้พูดราวกับเห็นการกระทำของเขา
“ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”
คิมรับคำ เสียงจากโทรศัพท์ขาดหาย ใบหน้าเขาราบเรียบไร้ความรู้สึก หากนัยน์ตาบังเกิดความปั่นป่วนซ่อนเร้นภายใน...
ไม่นาน เขาหันหลังกลับ เดินลับไปจากแนวไม้ข้างทาง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตาชมกับยายยิ้มเป็นคนเก่าคนแก่ที่นี่ แกอาศัยที่ดินของดาบอินทำสวน ปลูกผักขายตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาว สนิทสนมคุ้นเคยเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกับทีเกื้อ เอื้อกานต์ เห็นสองฝาแฝดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
พอดาบอิน กับนวล แม่ของสองพี่น้องเสียชีวิต ธีรนัฐมารับลูกทั้งสองไปเลี้ยงที่กรุงเทพ สองตายายจึงรับอาสา ดูแลบ้านให้ โดยเอื้อกานต์ ทีเกื้อจะมาที่นี่อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทำบุญครบรอบวันตายของมารดา
ปีแรก ๆ คุณย่าจะพาสองพี่น้อง พร้อมกับธีรภูมิมาด้วยกัน หลังจากคุณย่าเสีย ธีรภูมิไปต่างประเทศ ปีหลัง ๆ จึงเหลือกันแค่สองพี่น้องเป็นส่วนมาก
ปีนี้ผิดจากปีอื่น มีคนมาบ้านดาบอินมากกว่าทุกปี และเป็นคนที่ตาชมกับยายยิ้มคาดไม่ถึงเสียด้วย...
ขณะที่เอื้อกานต์ช่วยยายยิ้มทำความสะอาด จู่ ๆ หล่อนก็ผลุนผลันออกไปโดยไม่บอกเหตุผล ยายยิ้มต้องเรียกตาชมมาช่วยทำความสะอาดต่อจนเสร็จครบทุกห้อง
จากนั้นไม่นานเอื้อกานต์ก็กลับมาพร้อมอาคันตุกะติดรถอีกสามคน แต่ละคนล้วนสลบไสล ไม่ได้สติ ยายยิ้มจำรัฐมนตรีธีรนัฐได้ แม้จะไม่เห็นหน้ากันสิบกว่าปี
“อ้าว...พ่อหนูเอื้อนี่ เป็นอะไรไปน่ะลูก” แกถามพลางกุลีกุจอลงบันไดมาช่วย
คนต่อมาที่แกเห็นคือธีรภูมิ
“คุณภูมิก็มาด้วย ไม่เจอกันนานเชียว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะหนู” แกถามไปเรื่อยทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบ
สุดท้ายเป็นหญิงสาวที่ยายยิ้มไม่คุ้นหน้า แต่เห็นแล้วอดอุทานไม่ได้
“ตายจริง...ใครกันจ๊ะหนูเอื้อ...สวยยังกะนางฟ้าเชียว”
เอื้อกานต์ยิ้มเฉย ไม่ตอบสักคำถาม เพราะขืนยอมตอบเสียคำถามหนึ่งแล้ว ยายแกคงถามต่ออีกเป็นสิบ ไม่หยุดง่าย ๆ แน่
ทีเกื้อตามมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน สองพี่น้องช่วยดูแลคนหมดสติ โดยมีสองตายายเป็นผู้ช่วย...ครู่ใหญ่ ธีรภูมิกับท่านรัฐมนตรีค่อยเริ่มรู้สึกตัว ส่วนสัตตบงกชยังไม่ได้สติ
“เกื้อ ช่วยอุ้มหนูดีไปไว้ในห้องเอื้อที อาการแบบนี้หมดปัญหาแล้วล่ะ ปล่อยให้นอนพักเต็มอิ่มสักเดี๋ยวก็ฟื้นเอง”
ทีเกื้อมองพี่สาวตนเอง พลางเหลือบตาไปทางธีรภูมิ เป็นเชิงบอกให้เปลี่ยนตัวคนอุ้มดีกว่า
“พี่ภูมิยังไม่มีแรงหรอก” เสียงเอื้อกานต์ตอบในใจ
นายตำรวจทำท่าอึกอัก เหมือนไม่ค่อยเต็มใจ เอื้อกานต์หมั่นไส้ จึงแกล้งพูดออกเสียงให้ได้ยินทุกคน
“อ้อ...ถ้าเกื้อเป็นห่วงอาการของหนูดีเขาอยู่นะ เดี๋ยวเอื้อจะตามไปดูให้ ตอนนี้พาเขาไปพักก่อนไป๊”
ชายหนุ่มรีบอุ้มหญิงสาวไปห้องเอื้อกานต์ อย่างรวดเร็ว ไม่อิดออด เพราะรู้...ขืนกระบิดกระบวนมาก พี่สาวอาจมีไม้เด็ดอื่นมาทำให้เขาเสียวสันหลังได้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สัตตบงกชรู้สึกตัวเป็นคนสุดท้าย หล่อนลืมตาทั้งที่ยังมึน เบลอ มีอาการคลื่นเหียน สายตารับภาพไม่ชัดเจน ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะทบทวนความทรงจำได้ครบ
เธออยู่ในคณะเดินทางของท่านรัฐมนตรี ระหว่างทางเกิดเหตุโดนพวกแก๊งวัยรุ่น ปาหินใส่กระจกรถ โชคดีทีเกื้อหลบทัน หินโดนแค่ฝากระโปรง ไม่โดนกระจก คนในรถจึงปลอดภัย...แต่...
พอทีเกื้อจอดรถลงไปตามหาพวกตัวการ ในรถก็เกิดเหตุผิดปกติ
เครื่องยนต์ยังไม่ดับ แอร์เป่าให้ความเย็นปกติ ทว่ามันมีกลิ่นแปลก ๆ แทรกอยู่ในลมแอร์นั้น คนในรถสูดลมหายใจติดขัด ไม่สะดวก กำลังจะเปิดประตูรีบออกมาข้างนอก แต่ไม่ทัน...ความรู้สึกดับวูบตั้งแต่นั้น!
หญิงสาวขยับตัว อาการคลื่นเหียนวิงเวียนลดลงจนเกือบเป็นปกติ ฝืนลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายยังเปลี้ย ๆ ไม่ค่อยมีแรง
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาประคองหนุนหลัง พยุงจนหล่อนนั่งได้สะดวก
“ขอบคุณค่ะพี่เอื้อ” สัตตบงกชบอกอย่างเพลีย ๆ
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะหนูดี” คุณหมอถามเสียงอ่อนโยน อาทร
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ...ตอนนี้หนูดีอยู่ที่ไหน?”
หญิงสาวมองรอบตัว นึกแปลกใจ แทนที่มันจะเป็นห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล กลับกลายเป็นห้องนอนกว้าง อากาศโปร่ง ไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์ หน้าต่างติดมุ้งลวด มองเห็นต้นไม้ใหญ่ แนวไม้เขียวชอุ่มสบายตา
“ที่นี่เป็นบ้านคุณตาพี่เองจ้ะ...ตอนนี้หนูดีก็นอนอยู่ในห้องของพี่” คุณหมอตอบ
หญิงสาวชะงัก...ที่นี่คือบ้านคุณตาของเอื้อกานต์ และทีเกื้อ...บ้านที่เขาคนนั้นเคยชักชวนให้เธอมาหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาส จนถึงวันหนึ่ง ที่เธอรู้ตัวว่า...ไม่มีสิทธิมาที่นี่ได้อีกแล้ว
สุดท้าย ก็มาถึง โดยไม่ทันเตรียมใจ ตั้งตัว...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ท่านรัฐมนตรีกับลูกชายคนโตได้สติ ฟื้นตัวสักพักใหญ่ นึกถึงคณะติดตามที่โรงแรม ธีรนัฐจึงสั่งลูกชายให้โทรบอกคนที่นั่นว่ายกเลิกนัดตอนค่ำ...
“ครับ...ครับ...ตอนนี้คุณพ่อท่านอยู่ที่บ้านเพื่อนเก่า อาจจะติดลมคุยกันนาน ไม่แน่ใจว่าจะกลับโรงแรมตอนไหน แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างช้าสุดท่านน่าจะไปถึงโรงแรมก่อนท่านนายกฯ จะลงเครื่องแน่ ๆ”
ธีรภูมิทำหน้าที่เลขาจำเป็นแทนคู่หมั้น
“อะไรนะครับ...อ๋อ...กำหนดการประชุมพรุ่งนี้ต้องเลื่อนหรือครับ ท่านนายกฯ ติดภารกิจด่วน จะมาลงเครื่องประมาณเที่ยง เลื่อนประชุมเป็นบ่ายโมงนะครับ...ได้ครับ...ผมจะเรียนคุณพ่อให้รับทราบทันทีเลย”
หลังจากวางสาย เลขาจำเป็นก็รายงานบิดา พร้อมออกความเห็น
“นายกฯ มาประมาณเที่ยงครับพ่อ เราไม่ต้องรีบ คืนนี้เราค้างที่นี่ดีมั้ย พรุ่งนี้จะได้ทำบุญตอนเช้าพร้อมกับเกื้อเขาเลย”
“แหม...ได้ยังงั้นก็ดีเลยคุณ...บ้านนี้จะได้คึกคักหน่อย เงียบเหงามาหลายปี แล้ว” ตาชม นั่งคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ รีบออกปากสนับสนุน
“มันจะเป็นการรบกวนตาชมเกินไปหรือเปล่า” ท่านรัฐมนตรีออกตัว
“โอ๊ย...ไม่เลย” ยายยิ้มรีบตอบแทน “หนูเอื้อบอกให้อิฉันทำความสะอาดห้องไว้หมดทุกห้องแล้ว ไม่มีปัญหา...แหม...ยังกะรู้เลยว่าคุณพ่อของเธอจะมา”
“แล้วอย่างนี้จะลำบากหนูดีเขามั้ย” คราวนี้คนเป็นพ่อถามความเห็นลูกชายคนโต
“ไม่หรอกพ่อ” ธีรภูมิรับรอง “หนูดีเขาน่ารัก กินอยู่ง่าย ไม่มีปัญหาแน่ ๆ อีกหน่อยก็จะมาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ให้เขารู้จักพวกเราในด้านนี้บ้างก็ดีนะครับ”
เท่านี้ทุกอย่างก็ผ่าน...เรียบร้อย
สองตายายดีใจที่มีแขกมาพักกันหลายคน รีบลงไปจัดเตรียมอาหารชุดใหญ่สำหรับเย็นนี้อย่างเต็มที่ ไม่สนใจคำขัดแบบเกรงใจจากสองพ่อลูก
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เวลาเย็น ณ สนามกีฬาประจำจังหวัด
แสงสีส้มแดงอาบสนามฟุตบอล ที่ถูกโอบล้อมด้วยอัฒจันทร์คนดูอันว่างเปล่า บริเวณโดยรอบเงียบเชียบ ไร้ผู้คน ประตูทางเข้า-ออกถูกปิด เนื่องจากเวลาเย็น และไม่มีการแข่งขันใด ๆ สถานที่แห่งนี้จึงวังเวง ชวนขนหัวลุก
ทว่า...แม้ประตูถูกปิด ห้ามคนเข้า ที่กลางสนามนั้นกลับมีคน ๆ หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าขุดดินตรงจุดกึ่งกลางอย่างตั้งใจ
หลุมที่ขุดนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น ไม่กว้าง ไม่ลึกมาก พอได้หลุมที่ต้องการ เขาก็หยิบลูกกลม ๆ ลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าข้างกาย ลูกกลมนั้นปั้นมาจากดินเหนียว มันมีรอยถูกผ่าครึ่งเป็นสองส่วนไว้ก่อนแล้ว
เขาบิก้อนดินเหนียวออก แบ่งมันเป็นสองส่วน พลิกตรงกลางขึ้นมา เผยให้เห็นช่องกลมด้านใน ซึ่งเตรียมไว้ใส่ของบางอย่าง
คิมเอื้อมมือล้วงกระเป๋า หยิบถุงกระดาษใบเล็กออกมาแล้วเทสิ่งที่อยู่ภายในลงบนพื้น...
มันคือสร้อยคอทองคำ ห้อยจี้รูปตาชั่งเส้นหนึ่ง
สร้อยเส้นนี้เป็นของสำคัญของเหยื่อรายที่ห้า
หนึ่งในกระบวนเมียน้อยทั้งหลายของมัน นำมาส่ง ของชิ้นนี้ เคยมีความสำคัญในอดีต ตอนวัยหนุ่มที่กำลังมีไฟสร้างสรรค์ในการทำงาน แต่ปัจจุบันเจ้าตัวลืมเลือนมันไปแล้ว ขนาดหายไปยังไม่รู้สึก ระลึกถึง
เขาหยิบมันยัดใส่ช่องตรงกลางดินเหนียวได้พอดี จากนั้นหยิบก้อนดินอีกครึ่งซีกขึ้นมาประกบ ใช้มือคลึงก้อนกลมนั้นเบา ๆ จนดินผสานเป็นเนื้อเดียวไม่เห็นร่องรอยผ่าซีก
คิมนำดินเหนียวก้อนนั้นใส่ลงในหลุมที่ขุด ปล่อยส่วนนูนด้านบนให้โผล่พ้นพื้นขึ้นมาเล็กน้อย โกยดินรอบ ๆ มากลบ แล้วเกลี่ยดินบริเวณนั้นจนเสมอ ดูเผิน ๆ แทบไม่เห็นความแตกต่าง
งานในขั้นนี้เสร็จลงแล้ว!
คิมหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสลัว แสงสีส้มแดงหดหาย ความวังเวง อ้างว้างแผ่กระจายไปทั่ว
ถ้ามองมาแต่ไกล จะไม่มีใครเห็นความผิดปกติในสิ่งที่เขาทำ แต่หากใครช่างสังเกต เดินเข้ามาใกล้ จะเห็นแค่รอยนูนเล็ก ๆ โผล่ขึ้น ทำให้ดินดูไม่เรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คิมหันหลังกลับ เดินออกจากสนาม ทิ้งเงาหลังอันเดียวดายไว้พร้อมกับแสงสุดท้ายของวัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ค่ำคืน หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไป...
ทีเกื้อหาทางเลี่ยงคนอื่น ๆ ด้วยการหลบเข้าห้องพระของคุณตา ยืนมองข้างฝาซึ่งเรียงรายด้วยรูปผู้วายชนม์ทั้งหลาย ทั้งภาพคุณยาย คุณตา และมารดาตนเอง
เขาคุกเข่าลงกราบรูปทุกท่านด้วยความเคารพ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้รูปของแม่ เลื่อนสายตาไปยังคุณตา เห็นใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาคมดุมองมาละม้ายตนเอง
“ผมพาพ่อมาค้างที่นี่...คุณตาอย่าโกรธนะครับ” เขาพึมพำเบา ๆ
สายตาสบดวงตาในรูป คลับคล้ายสัมผัสกระแสอบอุ่นที่ผู้วายชนม์ทิ้งไว้ให้ แทนคำตอบรับอนุญาต ทีเกื้อรู้ว่าคุณตาไม่ชอบพ่อ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยปฏิเสธความสัมพันธ์ ไม่อาฆาตแค้นถึงขนาดไม่ยอมให้มาเหยียบบ้าน หรือนอนค้างคืนแน่ ๆ
ขยับท่านั่งจากคุกเข่าเป็นพับเพียบ กวาดตามองรอบห้อง ตั้งแต่โต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป ที่มีองค์พระขนาดต่าง ๆ ตั้งเรียงเป็นลำดับงดงาม มาถึงกรอบรูปบรรพบุรุษ แล้วมาจบที่ตู้กระจกหนังสือ ที่คุณตาใช้เก็บเหรียญ องค์พระผง รวมถึงหนังสือธรรมะ สมบัติส่วนตัวเก่า ๆหลายชิ้น
ทีเกื้อฉุกใจคิดถึงเรื่องที่เคยคุยกับท่านรองฯ ผู้บังคับบัญชาในเวลานี้ ท่านเคยบอกว่าสมัยหนุ่ม ๆ ได้ร่วมงานกับคุณตา เจอคดีแปลก ๆ มาด้วยกัน อีกทั้งคุณตายังได้สั่งสอนวิชาหลายอย่างให้ไม่น้อย
แสดงว่าคุณตาน่าจะมีความรู้เรื่องศาสตร์ลึกลับพอตัว!
คิดได้อย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้น เดินไปที่หน้าตู้หนังสือ เปิดมันออก แล้วมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่องานตนเอง
ชั้นบนสุด เป็นที่เก็บพระสมเด็จฯ พระผง พระกริ่ง รวมถึงเหรียญของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง โดยจัดเรียงใส่กล่องใสเป็นระเบียบ ชั้นต่อมาจัดเรียงหนังสือธรรมะหลายเล่มของพระภิกษุสงฆ์ ครูบาอาจารย์ที่พิมพ์แจกในงานต่าง ๆ ชั้นถัดไปมีกล่องหลายใบ บรรจุของอย่างละเล็กละน้อยที่ชายหนุ่มไม่รู้จัก และยังไม่คิดรื้อมันออกมาดูเวลานี้
จนกระทั่งถึงชั้นสุดท้าย เขาเจอสมุดเล่มหนึ่ง เขียนด้วยลายมือสวย เป็นระเบียบ ด้านหน้าปกเขียนคำแค่สองคำ “อาคม”
สองคำที่สะดุด กระแทกใจ จนเขาต้องหยิบมันออกมานั่งพลิก เปิดอ่านเนื้อหาภายในคร่าว ๆ พออ่านไปได้หน่อย รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยผุดทีละน้อย
ในนั้น คุณตาได้บันทึก เขียนถึงคดีแปลกที่เคยเจอ เป็นคดีที่ไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อ่านไปยิ่งชวนน่าสนใจ ชวนศึกษาอย่างบอกไม่ถูก
ทีเกื้อตั้งใจใช้เวลาหลบผู้คนมานั่งอ่านบันทึกคุณตาในห้องพระอย่างละเอียด แต่มีเสียงเคาะประตูมาขัดจังหวะ หนำซ้ำ คนเคาะยังไม่รอคำอนุญาต เปิดประตูเยี่ยมหน้าเข้ามาหน้าตาเฉย
“มาหลบอยู่นี่เอง...เอื้อทายแม่นจริง ๆ” ธีรภูมิเอ่ยทักอารมณ์ดี พลางเดินเข้ามาโดยคนอยู่ก่อนไม่ทันได้ออกปากไล่
ชายหนุ่มผู้มาใหม่หันไปคุกเข่ากราบพระ และกราบรูปบรรพบุรุษของทีเกื้อก่อนหันมาบอกง่าย ๆ
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
“ผมจะนั่งอ่านบันทึกของคุณตาอีกสักพัก” ทีเกื้อชูสมุดให้ดูแทนการปฏิเสธ
“โธ่เอ๊ย...หนังสือน่ะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้...มาช่วยพี่กับพวกสาว ๆ ห่อข้าวต้มมัดกันก่อน นี่เป็นของเตรียมไปทำบุญพรุ่งนี้เชียวนะ”
นักเรียนนอกพูดราวกับนี่เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ
“ตาชมกับยายยิ้มแกชำนาญอยู่แล้ว ทำกันแป๊บเดียวก็เสร็จ ไม่ต้องให้ผมไปช่วยหรอก”
ทีเกื้อพยายามเลี่ยง ทั้งที่ทุกปีเขาเป็นลูกมือสองตายายช่วยห่อข้าวต้มมัดประจำ
“ไม่ได้สิ...ช่วยกันหลายคนสนุกดี นาน ๆ ทีน่า...มาเถอะ” ธีรนัฐคะยั้นคะยอแกมบังคับ
“ไม่ล่ะพี่” ทีเกื้อตอบสั้น ๆ คราวนี้คนคุ้นเคยย่อมรู้ ไม่ควรเซ้าซี้อีก
“ก็ได้” ธีรภูมิยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอื้อเขาฝากมาบอกว่า...ถ้าไม่ออกมาช่วยกัน บางที เอื้อเขาห่อข้าวต้มมัดเพลิน ๆ แล้วอาจเผลอเล่านิทานสนุก ๆ ให้พวกพี่ฟังแก้เซ็งก็ได้”
ทีเกื้อปิดสมุดฉับ หันไปมองทางนอกห้อง...
การมีคน ‘รู้ใจ’ มันก็ดีอยู่...แต่รู้ ‘จุดอ่อน’ ของเขาด้วยนี่สิ...มันน่าเจ็บใจ
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks
< Prev | Next > |
---|