วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๕


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ค่ะ พี่ภูมิเสียงของหญิงสาวตรงหน้าเรียกสติผู้กองหนุ่มกลับมา

             หนูดีอยู่ในห้องหนังสือค่ะ กำลังอธิบายงานให้นายตำรวจคนใหม่ ที่จะมาดูแลคุณพ่อ

             ทีเกื้อมองหญิงสาวที่คุยโทรศัพท์ห่างกันไม่กี่คืบ เหมือนเห็นภาพวาดงดงามที่ห่างออกไปแสนไกล...ไกลจนเกินเอื้อมมือถึง

             พี่ภูมิจะเข้ามาที่นี่หรือคะ...ค่ะได้...หนูดีจะรอ

             สัตตบงกชวางหูโทรศัพท์ มองหน้านายตำรวจหนุ่ม สีหน้าปรับเป็นปกติ คำถามต่อมาราบเรียบ ธรรมดา

             อีกเดี๋ยวคุณธีรภูมิ ลูกชายท่านจะแวะเข้ามาค่ะ ผู้กองมีอะไรจะถามหนูดีอีกมั้ยคะ

             คุณหญิงของท่านรัฐมนตรีเคยได้ยินเสียงเพลงเรียกเข้านี้หรือเปล่า ทีเกื้อถามอีกเรื่องไม่เกี่ยวกับงานตรงหน้า

             หญิงสาวชะงัก ทั้งงุนงงกับคำถาม และรู้สึกเหมือนเด็กกำลังโดนจับผิด

             เวลาอยู่กับผู้ใหญ่ หนูดีจะปิดเสียงโทรศัพท์ค่ะ

             ก็ดี...แต่อย่าเผลอให้คุณหญิงได้ยินเข้าล่ะ...ท่านเกลียดเพลงนี้มาก

             อาจเพราะท้ายเสียงทีเกื้อฟังแข็ง ประชดแรง หญิงสาวจึงขมวดคิ้ว

             เพิ่งทราบว่าผู้กองรู้จักคุณหญิงท่านดีขนาดนี้

             น้ำเสียงอีกฝ่ายประชดคืน ทีเกื้อจึงนิ่ง ไม่คิดอธิบายเพิ่ม...

             ...แม่เขาชื่อนวล...จึงไม่แปลกอะไรที่คุณหญิงจะเกลียดเพลงน้ำตาแสงไต้ และผู้หญิงชื่อนวลทุกคน

             นึกยังไงถึงใช้เพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้า ว่าจะไม่ถาม แต่อดใจไม่ได้

             หญิงสาวนิ่ง ก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือ รู้ตัวว่าทำพลาดต่อหน้าเขาไปแล้ว

             เพลงนี้ก็เพราะดีนี่คะ...ตอนนี้หนูดีต้องทำงานกับผู้ใหญ่ เลยเลือกเพลงที่พวกท่านน่าจะชอบฟัง

             รู้ทั้งรู้ว่าคำพูดทั้งหมดเป็นข้ออ้าง ทีเกื้อกลับไม่คิดเปิดโปง ยิ่งหนูดีพยายามพูดเลี่ยงเท่าไหร่ เขายิ่งรู้ว่าเธอยังไม่อาจลืมเลือนความสัมพันธ์ครั้งเก่านั้น

             เพราะครั้งหนึ่ง เขาเคยบอกเธอว่า ชอบเพลงนี้มากที่สุด



             พี่ชอบเพลงน้ำตาแสงไต้มากที่สุดเลย

             ร้องยังไงคะ

             นวล...เจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ...

             พี่เกื้ออย่าร้องให้ใครฟังอีกนะ

             ทำไมล่ะ

             มันห่วยมาก!”

             รู้แล้วน่า...เอื้อมันด่าพี่ประจำ ว่าร้องเพลงทีไรมันกินข้าวไม่ลงทุกที

             มิน่า พี่เอื้อถึงสวย หุ่นดี!”

             เสียดายที่หนูดีไม่มีโอกาสได้ฟังคุณตาพี่ร้องเพลงนี้...ท่านร้องเพราะมากเลย...พี่ยังจำบรรยากาศตอนนั้นที่บ้านนอกได้...กลางคืน ตอนหัวค่ำเดือนหงาย คุณตาเอาเสื่อมาปูให้พวกพี่นอนเล่นดูดาวกันที่นอกชาน แล้วท่านก็จะเล่านิทาน ร้องเพลงน้ำตาแสงไต้ให้ฟัง มันเป็นช่วงเวลาที่พี่มีความสุขที่สุดเลย

             อิจฉาจัง หนูดีไม่เคยมีช่วงเวลาอบอุ่นแบบนั้นเลย ทุกวันหนูดีต้องไปเรียนพิเศษ ซ้อมบัลเลต์ ซ้อมดนตรี ไม่เคยมีเวลาพัก หัวถึงหมอนก็หลับสนิท...หนูดีอยากได้พักผ่อน สบาย ๆ แบบนั้นบ้าง ไม่ต้องได้ยินเสียงคุณแม่สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ทั้งที่เราไม่ชอบ...พี่เกื้อต้องสัญญานะว่าจะพาหนูดีไปนอนดูดาวที่บ้านคุณตาบ้าง...อ้อ... แต่พี่เกื้อไม่ต้องร้องเพลงน้ำตาแสงไต้ก็ได้...หนูดีจะหาซีดีไปเปิดแทน

             จ้ะ พี่สัญญา

             ถึงจะรับปากเช่นนั้น แต่จนถึงวันนี้ ทีเกื้อไม่เคยมีโอกาสทำตามสัญญานั้นเลย



            เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังสองสามครั้ง ก่อนเปิดออก สองหนุ่มสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มหุ่นเพรียว ใบหน้ามีรอยยิ้มอารมณ์ดี เดินเข้ามาพร้อมเสียงทักทายร่าเริง

             ขอโทษนะหนูดี พี่เข้ามารบกวนเวลาทำงานหรือเปล่า

             ทีเกื้อได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมอง พอชายผู้มาใหม่เห็นนายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาตบไหล่ทักทาย

             อ้าว...เกื้อเองเหรอ

             ครับ พี่ภูมิ ทีเกื้อตอบรับน้ำเสียงกันเอง

             หญิงสาวมองสองหนุ่มด้วยสายตางุนงง คาดไม่ถึงทั้งคู่จะรู้จักกัน อีกทั้งน้ำเสียงฟังดูสนิทสนม คุ้นเคยขนาดนี้

             ดอกเตอร์ธีรภูมิ เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านรัฐมนตรีธีรนัฐ กับคุณหญิงอัปสร ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเรียนจบดอกเตอร์จากต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย กลับมาทำงานในบริษัทของมารดา สร้างผลงานโดดเด่น ผลกำไรขึ้นเกือบเท่าตัว หุ้นพุ่งสูงขึ้นอีกหลายจุด และปัจจุบันกำลังก้าวสู่เวทีการเมืองตามบิดา

             นับเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ความรู้ดี ฐานะดี ชาติตระกูลดี มีความสามารถ วิสัยทัศน์ไกล มีแบ็คอัพการเมืองจากบิดา การเงินจากมารดา เป็นที่หมายปองของบรรดาสาว ๆ ไฮโซทั้งหลาย

             ปัจจุบันได้หมั้นหมายกับสัตตบงกช สาวสวย จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากต่างประเทศ มีเชื้อสายผู้ดี นามสกุลเก่าแก่ และเคยเป็นพิธีกรหญิงชื่อดังคนหนึ่ง

             ทั้งคู่เหมาะสมกันจนคนในแวดวงไฮโซอดอิจฉาไม่ได้

             ดอกเตอร์หนุ่มเห็นหญิงสาวคู่หมั้นมีสีหน้างุนงงแปลกใจ จึงหัวเราะเบา ๆ

             อ้าว...หนูดีทำหน้างงแล้ว เขาหยอกล้อ อารมณ์ดี นี่คุณพ่อยังไม่แนะนำเกื้อให้รู้จักอีกหรือจ๊ะ

             ธีรภูมิพูดเช่นนี้ คนฟังยิ่งไม่เข้าใจ ทีเกื้อพยายามมองหน้าพี่ชายต่างมารดาเป็นเชิงห้าม ไม่ให้บอกฐานะของตน

             งั้นพี่แนะนำเอง เขาบอกง่าย ๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ ไหน ๆ เราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะไม่รู้จักกันได้ยังไง...เจ้าเกื้อนี่เป็นน้องชายพี่เอง...จำได้มั้ย ตอนอยู่ที่โน่น พี่เคยเล่าให้ฟังว่ามีน้องฝาแฝดคนละแม่อยู่สองคน...คนนี้แหละเป็นแฝดชายชื่อเจ้าเกื้อ ส่วนแฝดผู้หญิงชื่อเอื้อ เป็นคุณหมอ

             ทีเกื้อทำตัวไม่ถูก เหมือนโดนถีบให้ตกจากที่สูงโดยไม่ทันตั้งตัว สัตตบงกชหันขวับมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา นัยน์ตาคู่สวยกำลังบอกแทนวาจาหนึ่งซึ่งชายหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกผิด

             หนูดีไม่มีความสำคัญเลยใช่มั้ยคะ...พี่เกื้อถึงปิดเรื่องนี้ไว้ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน



             อ้าว...เงียบ อึ้งไปทั้งคู่เชียว ธีรภูมิไม่รู้ว่าตนเองได้วางระเบิดลูกเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว สีหน้า ท่าทางเขาจึงร่าเริง ทำตัวสบาย นั่งบนเก้าอี้อีกตัว แล้วหันมาคุยกับทีเกื้อ แบบคนไม่ได้พบกันนาน

             เอื้อเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่พี่กลับจากต่างประเทศ ก็ไม่ค่อยยอมติดต่อกันบ้างเลย

             กำลังยุ่ง ๆ เรื่องงานนั่นแหละครับ ผมก็ไม่ว่างเหมือนกัน...ขอโทษด้วยที่ผมกับเอื้อไม่ได้ไปงานหมั้นของพี่

             พอพูดถึงงานหมั้นระดับประเทศของดอกเตอร์ธีรภูมิ กับสัตตบงกช สีหน้าของผู้ฟังแสดงความเข้าใจ พยักหน้า น้ำเสียงอารมณ์ดี

             พี่เข้าใจ...ขืนเกื้อกับเอื้อมางานหมั้น รับรองคุณหญิงอัปสร แม่ของพี่คงได้แปลงร่างจากนางฟ้าเป็นนางยักษ์แหง ๆ ...รายนั้นเขายิ่งไม่อยากให้ใครรู้ว่า คุณพ่อยังมีลูกชายลูกสาวดี ๆ อีกตั้งสองคน

             ทีเกื้อมีสีหน้ากระอักกระอ่วน อีกฝ่ายท่าทางเข้าใจ แต่ยังไม่หยุดพูด หนำซ้ำยังหันไปอธิบายให้หญิงสาวคนเดียวในห้องฟังอีก

             สำหรับหนูดี กำลังจะมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวของเรา ยังไงพี่ก็ต้องบอกให้รู้อยู่แล้ว...เรื่องราวต่าง ๆ ก็อย่างที่พี่เคยเล่าให้ฟังตอนอยู่โน้นแหละ สองคนนี้เป็นน้องที่พี่รักมาก คนทั้งบ้านเขาก็รู้ ยอมรับกันหมด มีคุณแม่พี่คนเดียวที่ไม่ยอมรับ

             หญิงสาวไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติม สมัยรู้จักกับธีรภูมิที่ต่างประเทศ เขาเคยเล่าถึงน้องฝาแฝดต่างมารดาให้ฟังจริง ๆ เวลานั้นหล่อนฟังด้วยความรู้สึกสงสาร เห็นใจ เคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้ามีโอกาสพบกัน ก็อยากจะเข้าไปกอดให้กำลังใจสักครั้งหนึ่ง

             ใครจะไปคาดถึง น้องฝาแฝดของธีรภูมิกลับเป็นคนคุ้นเคย ที่ตนเองรู้จักมาสิบกว่าปี!

             เออ...จริงสิหนูดี...พี่เกือบลืมเรื่องที่จะลงมาบอกไป...วันนี้หนูดีต้องตามคุณพ่อไปที่ทำเนียบหรือเปล่า

             เอ่อ ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อท่านให้หนูดีอธิบายตารางงานของท่านกับผู้กองทีเกื้อ

             หญิงสาวเน้นชื่อนายตำรวจหนุ่มอย่างจงใจประชด

             เสร็จแล้วต้องแยกแฟ้ม เตรียมเอกสารสำคัญให้ท่าน บ่ายนี้สมาชิกในพรรคจะมาประชุมกันที่นี่

             คฤหาสน์ของท่านรัฐมนตรี ได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่ทำการพรรค เพื่อใช้จัดประชุม วางแผนงานต่าง ๆ

             โอเค ดีเลย เที่ยงนี้คุณแม่นัดทานข้าวด้วยกันนะ จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานแต่งงาน แล้วบ่ายนี้ช่างเขาจะเอาชุดเจ้าสาวมาให้ลอง

             ค่ะ

             เสร็จธุระของพี่แล้ว หนูดีทำงานต่อเถอะ...อ้อ...เกื้อ ถ้าคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว ตามพี่ไปที่เรือนหลังเล็กหน่อยนะ จะพาไปไหว้คุณย่า

             ครับ



            ธีรภูมิออกจากห้อง สองหนุ่มสาวได้แต่มองหน้ากัน มีคำพูด คำถาม และคำอธิบายมากมายต้องการบอกกล่าวเพื่อคลี่คลายความค้างคาใจ แต่ก็ยังไม่มีใครยอมปริปากก่อน

             สัตตบงกชกำลังรอ...รอคำอธิบาย...ทำไมเขาถึงต้องปิดบังเรื่องราวของครอบครัวตัวเอง

             ทีเกื้อกลับรู้สึก...ทำไมต้องพูด...ทำไมต้องเล่า ในเมื่อการคบหากันเป็นเรื่องของคนสองคน และเรื่องบางเรื่องมันเป็นบาดแผล...ที่เจ็บปวดเกินไป หากจะสะกิดมัน

             สุดท้าย หญิงสาวยอมเอ่ยปากก่อน ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ห่างเหิน

             ถ้าอย่างนั้น หนูดีจะสำเนาตารางงานสัปดาห์นี้ให้ผู้กองนะคะ ถ้าสงสัยอะไรค่อยถามทีหลังก็ได้ ผู้กองตามพี่ภูมิไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลา

             ทีเกื้อลุกขึ้น หันหลังจากมาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เหลียวกลับมามองเลยว่า หญิงสาวในห้อง กำลังมองตามหลังเขา ด้วยดวงตาเจ็บปวดรวดร้าว



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





             เรือนหลังเล็กถูกแยกเป็นสัดส่วน อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ มีประตูเข้า-ออกต่างหากโดยไม่จำเป็นต้องผ่านประตูใหญ่ด้านหน้า

             บรรยากาศครึ้ม สงบ ร่มเย็นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่หญิงชราผู้เคยเป็นเจ้าของได้เพาะปลูกเอง สวนดอกไม้กำลังออกดอกงดงาม แสดงว่าคนที่อยู่ข้างหลังยังคอยเอาใจใส่ ไม่ทอดทิ้ง

             ทีเกื้อเดินตามทางโรยกรวด สายตามองต้นไม้ ใบหญ้า ตัวเรือนด้วยสายตารำลึกคุ้นเคย

             หากการมาอยู่ในครอบครัวของบิดาเป็นความลำบากทุกข์ทน เรือนน้อยหลังเล็กที่มีหญิงชราเป็นประมุขหลังนี้ ก็คือโอเอซิสกลางทะเลทราย เป็นปราการมั่นคง ที่คอยปกป้องพายุร้ายจาก คุณผู้หญิง ให้แก่เด็กน้อยทั้งสอง

             ตัวเรือนเก่าโทรมตามกาลเวลา ถึงอย่างนั้นก็ยังแข็งแรง ทนทานด้วยการซ่อมแซม ดูแลสม่ำเสมอ ภายในมีเครื่องเรือนน้อยชิ้น ไม่มีของประดับประดาตกแต่งเกินความจำเป็น บอกถึงความสมถะของเจ้าของ

             บนผนังห้องรับแขก ประดับรูปหญิงชราผู้มีเค้าความงาม แฝงเด็ดเดี่ยว แววตาปราณีเอาไว้ ทีเกื้อมาถึงก็เห็นพี่ชายยืนดูภาพคุณย่ารอเขาอยู่

             หลังงานศพคุณย่า พี่ก็ไม่เคยเห็นแกมาที่นี่เลยนะเกื้อ ดอกเตอร์หนุ่ม หันมาพูดน้ำเสียงจริงจังแฝงความอ่อนโยน

             ขอโทษครับพี่ คราวนี้ทีเกื้อไม่ใช้เรื่องงานมาอ้าง กับคนคุ้นเคย สนิทสนม และอยู่ด้วยกันส่วนตัวเช่นนี้ เขามักตรงไปตรงมาเสมอ

             พี่รู้...ตั้งแต่คุณย่าท่านเสีย แกกับเอื้อก็ตั้งใจจะไม่มาเหยียบบ้านหลังนี้อีก

             คอนโดที่คุณพ่อซื้อให้ผมกับเอื้อ ก็อยู่สะดวกสบายดีแล้ว พวกผมไม่อยากมาให้คุณหญิงท่านเห็นเป็นที่ขัดตาเปล่า ๆ

             งานหมั้นของพี่ ก็ไม่เห็นมาแสดงความยินดี

             นายตำรวจนิ่งชั่วครู่ นัยน์ตามองพี่ชายต่างมารดาด้วยแววตาหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายรับรู้ความหมายได้

             ผมกับเอื้อ...ควรยินดีกับพี่ จริงหรือครับ

             เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าสดใส อารมณ์ดีของดอกเตอร์หนุ่มสลดลง แววตาเจ็บปวด รู้สึกผิดฉายขึ้นวูบหนึ่ง

             ขอบใจ คำพูดจากความรู้สึกจริง มีแค่แกกับเอื้อที่เข้าใจ...จริงใจกับพี่ และรักพี่อย่างที่พี่เป็นจริง ๆ

             ทีเกื้อไม่พูดต่อ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องพูด ชายหนุ่มเดินเข้าไปตรงหน้ารูปคุณย่า และคุกเข่าลงก้มกราบ ด้วยกิริยางดงาม เคารพรัก อย่างไม่ค่อยมีใครได้เห็นมาก่อน

             รำลึกความหลังย้อนมาเป็นฉาก ๆ...



             ตั้งแต่เด็กทีเกื้อคิดว่าตนเป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อ มีแต่คุณตาผู้เข้มแข็ง กับคุณแม่ใจดีเป็นคนเลี้ยงดู จนกระทั่งคุณตาเสียชีวิต ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามา และแม่บอกต่อพวกเขาว่า

             คนนี้เป็นพ่อแท้ ๆ ของลูกจ้ะ

             เวลานั้นเขากับเอื้อยังเด็กมาก จึงไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงเพิ่งมาหา ทำไมไม่เคยติดต่อมาเลย จนนานวันเข้าพวกเขาก็เริ่มรับรู้

             แม่เป็นเมียน้อย...ไม่ใช่ภรรยาตัวจริงของพ่อ

             แม่พลาดตั้งท้องกับพ่อโดยไม่รู้ว่าพ่อมีภรรยาอยู่แล้ว พอรู้ความจริงก็อุ้มท้องหนีมาอยู่บ้านนอกกับคุณตา ซึ่งท่านยอมให้อภัย รับเลี้ยงดูทั้งลูกและหลานฝาแฝดอย่างดี โดยมีข้อห้าม...ไม่ให้แม่ติดต่อกับพ่ออีก

             ผิดครั้งแรกเพราะเราไม่รู้ พ่อไม่ว่า...แต่ตอนนี้แกรู้ว่าเขามีเมียอยู่แล้ว ถ้ายังไปยุ่งกับเขาอีก ก็เท่ากับแกเป็นชู้ พ่อจะไม่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวเป็นชู้กับใครเด็ดขาด

             คุณตาไม่ได้ทำแค่พูด หนำซ้ำยังออกหน้ากีดกัน ขัดขวางการติดต่อระหว่างพ่อกับแม่ทุกวิถีทาง จนกระทั่งท่านเสียชีวิต...พ่อจึงขอโอกาสกับแม่เพื่อเปิดเผยตัวเองกับลูกฝาแฝด

             ถึงนวลจะไม่ให้โอกาสระหว่างเรา แต่ขอโอกาสให้ผมได้ส่งเสียลูกได้มั้ย

             แม่ยังรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคุณตา โดยไม่ยอมเป็นชู้ ไม่เป็นเมียน้อยพ่ออีก แต่ก็ยอมให้พ่อได้ส่งเสีย เลี้ยงดูในบางโอกาส ทั้งยังให้พ่อเปิดเผยตัวเองต่อลูก ๆ ให้สองฝาแฝดได้รู้จักพ่อแท้ ๆ ของตน

             มันเป็นหน้าที่ของแม่ แม่บอกต่อพวกเขาเช่นนั้น

             ทว่า...แม่อายุสั้นเหลือเกิน เสียชีวิตตามคุณตาไปในเวลาไม่กี่ปี พวกเขายังเด็ก ไม่มีญาติคนอื่นรับไปดูแล พ่อจึงพาพวกเขามาบ้านหลังนี้ คฤหาสน์ที่ร่ำรวยเงินทอง แต่แห้งแล้งความปราณี

             คุณผู้หญิง ประมุขของบ้านต้อนรับสองพี่น้องด้วยถ้อยคำบาดหู

             นี่หรือ พวกลูกเมียน้อยของคุณ...ในเมื่อแม่มันตายแล้ว ฉันก็ไม่ว่าอะไร ถ้าคุณจะพามันมาอยู่ที่นี่ แต่จำเอาไว้นะว่า พวกมันจะไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับลูกภูมิของฉันเด็ดขาด

             เมื่อในคฤหาสน์เริ่มส่อเค้ากดดัน เร่าร้อน และคนเป็นพ่อก็ลำบากใจที่จะปกป้องลูก คุณย่า หญิงชราผู้บอบบางก็กล้าประกาศต่อหน้านางพญาผู้เหยียบทุกคนในบ้าน

              ถึงเธอจะไม่เมตตาเด็กกำพร้าลูกเมียน้อย ไม่ยอมรับมัน แต่ถึงยังไงเจ้าแฝดคู่นี้มันก็เป็นหลานฉัน เป็นลูกเจ้านัฐ ให้มันมาอยู่ที่เรือนหลังเล็กกับฉันแล้วกัน จะได้ไม่ขัดหูขัดตาเธอ

             ดีค่ะ หนูก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว...แต่หนูขอนะคะ อย่าให้พวกมันใช้นามสกุลคุณนัฐเด็ดขาด เพราะหนูจะไม่ยอมให้พวกมันได้ชื่อเป็นทายาท มีส่วนในสมบัติที่หนูหามาแน่นอน

             ได้...ถึงมันจะไม่ได้ใช้นามสกุลพ่อมัน แต่ฉันก็ยอมรับว่ามันเป็นหลานฉัน ทุกคนในบ้านก็รู้ว่านี่คือลูกเจ้านัฐ เธอปิดปากทุกคนไม่ได้หรอก

             ถึงปิดไม่ได้ แต่อย่าให้หนูได้ยินแล้วกันค่ะ

             เด็กน้อยทั้งสองเพิ่งขาดแม่ ถึงจะมีพ่อ ก็ไม่สามารถเรียก พ่อ ได้เต็มปาก มีคุณย่าเพียงผู้เดียวที่กล้าอ้าแขนโอบกอดพวกเขา ด้วยความรัก ความอบอุ่นอย่างเต็มหัวใจ

             หญิงชราบอบบาง ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ใจเด็ดนักหนา ทำให้ชีวิตวัยเยาว์ของสองฝาแฝดไม่ทุกข์ทนเกินไป



            ทีเกื้อขยับตัวลุกขึ้นยืน เงยหน้าสบกับดวงตาคุณย่าในรูป สัมผัสถึงความรัก ความผูกพันที่ส่งมาให้ ทำให้ขอบตาเริ่มร้อนรื้น ต้องรีบกะพริบตาไล่หยาดน้ำที่กำลังเริ่มมา

             ถ้าคุณย่าได้เห็นแกกับเอื้อวันนี้ ท่านคงภูมิใจมาก ธีรภูมิพูดจากเบื้องหลัง

             คุณย่ามักพูดเสมอ... ทีเกื้อเอ่ยเบา ๆ ในใจมีรำลึกอันงดงาม ว่าท่านไม่ค่อยแข็งแรง คงอยู่ได้ไม่นาน...แต่ท่านก็จะอยู่จนกว่าจะส่งพวกเราถึงฝั่งให้ได้

             แล้วท่านก็ทำสำเร็จ คนเป็นพี่ชายยืนยัน

             ครับ ทีเกื้อยิ้มให้คุณย่า คุณย่าท่านจากไปอย่างสบายใจ ไม่มีเรื่องค้างคาใจแล้ว

             สองพี่น้องปล่อยความเงียบให้คลี่คลุมลงมาชั่วขณะ ก่อนทีเกื้อจะละสายตาจากภาพคุณย่าแล้วหันมามองพี่ชาย

             พี่ภูมิให้ผมมาที่เรือนหลังเล็กนี่ คงไม่ใช่แค่มากราบคุณย่าอย่างเดียวใช่ไหม

             ใช่ ธีรภูมิตอบตรง ไม่ปิดบัง พี่นึกสงสัยตั้งแต่คุณพ่อบอกว่าจะมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาอารักขาเพิ่มแล้ว เลยอยากรู้ว่าตอนนี้ท่านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

             ทีเกื้อนิ่ง เรื่องงานของเขาไม่ใช่ความลับขนาดบอกใครไม่ได้ แต่บางประเด็นหากบอกไปอาจก่อให้เกิดข้อสงสัยมากเรื่องเปล่า ๆ ถ้าจำเป็นต้องบอกพี่ชาย เขาควรเลือกเฟ้นถ้อยคำสักหน่อย

             ผมตอบไม่ได้ว่าท่านมีปัญหาหรือเปล่า แต่ผมว่าคนสำคัญบางคนในพรรคท่านอาจมีปัญหา ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นใคร ทางเราเลยส่งพวกผมให้มาคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

             พิเศษขนาดไหน เรื่องราวเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย
 
             งั้นเรานั่งคุยกันเลยดีกว่า ผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วยอยู่เหมือนกัน

             จากคำพูดนี้ ดอกเตอร์หนุ่มก็รู้ว่าการมาของน้องชายไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย



            ทั้งสองนั่งคุยในห้องรับแขกเรือนหลังเล็ก ทีเกื้อเล่าเรื่องการตายปริศนา รวมถึงประเด็นข้อสงสัย สมมุติฐานต่าง ๆ ของตำรวจ จนมาถึงเรื่องการส่งพวกเขาออกมาตรวจสอบหาข้อมูล โดยใช้หน้าที่ผู้ติดตามบังหน้า

             มีเรื่องเดียวที่นายตำรวจหนุ่มไม่บอกออกไป นั่นคือสมมุติฐานเรื่องการ โดนของ เขาคิดว่าขืนบอกเรื่องนี้กับชายหนุ่มดีกรีดอกเตอร์ รับรองไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

             ลุงโกวิทกับอาดนูพี่พอจะรู้จัก สองท่านนี้เป็นผู้ใหญ่ในพรรค ซึ่งมาเสียชีวิตไล่ ๆ กันแบบนี้ก็น่าแปลกเหมือนกัน ส่วนอีกสองรายที่เป็นนักธุรกิจ พี่เคยได้ยินแต่ชื่อ แล้วพวกเขามาเกี่ยวอะไรกับพรรคคุณพ่อด้วยล่ะ

             คนนึงเป็นนายทุนใหญ่ให้พรรค ส่วนอีกคนเป็นมาเฟียที่ทำงานลับ ๆ ให้

             อย่างงั้นเหรอ... ธีรภูมิพูดช้า ๆ สมองครุ่นคิด

             พี่ถามผมเรื่องนี้ก็ดีแล้ว เพราะผมก็มีเรื่องอยากให้พี่ช่วยด้วยเหมือนกัน

             ว่ามาเลย

             ตอนนี้พี่เริ่มเข้าไปทำงานในพรรคแล้ว ผมอยากให้พี่ช่วยสืบให้หน่อยว่า คนที่เสียชีวิตทั้งสี่คนนี้ เคยมีคดี หรืองานอะไรที่พัวพันกันหรือเปล่า แล้วยังมีคนอื่นนอกจากนี้อีกมั้ย

             เกื้อคิดว่าพวกเขาอาจร่วมมือกันทำให้ใครบางคนเจ็บแค้น แล้วคนนั้นกลับมาฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ ดอกเตอร์หนุ่มตั้งข้อสงสัย

             ก็มีโอกาสเป็นไปได้...ถ้าเราได้รู้เรื่องที่พวกเขาพัวพันกัน และยิ่งได้รู้ว่ายังมีใครอีกบ้าง เราอาจจะปกป้องคนที่เหลืออยู่ได้ ที่สำคัญมันสามารถสาวโยงถึงตัวฆาตกรได้ไม่ยาก

             อืม...ก็จริง ได้สิพี่รับปากช่วย คิดว่าคงไม่ลำบากเท่าไหร่หรอก

             ขอบคุณครับพี่ภูมิ

             ทีเกื้อถอนใจยาว ความอึดอัด ลำบากใจตั้งแต่ก้าวกลับมาในสถานที่นี้ค่อยบรรเทาเบาบางลง พี่ชายที่อยู่ตรงหน้าสามารถช่วยเหลือเขาเรื่องงานได้จริง

             แต่ทว่า...พี่ชายคนนี้อีกเช่นกัน ที่มีส่วนทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด โดยไม่รู้ตัว...


 

- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





บทที่ ๕



             เจนตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง งัวเงีย หัวหมุนเบลอ รู้สึกถึงงานบางอย่างที่ต้องทำ เป็นงานซึ่งไม่เข้าใจว่าทำเพื่ออะไร และเพราะอะไร

             บนหัวเตียงมีถุงกระดาษบรรจุ ของ บางอย่าง ปิดมิดชิด เจนจำไม่ได้ ในนั้นมีอะไร ทั้งที่แน่ใจว่าตนเป็นคนขโมยมาจาก ท่าน แล้วแอบนำมันใส่ถุงแอบเอาออกมา

             เธอ ลืม รูปลักษณะของชิ้นนั้นไปแล้ว

             จดจำได้เพียง วันนี้ต้องนำมันไปส่งให้กับคน ๆ หนึ่งชื่อ คิม

             รูปร่าง หน้าตาเขาเป็นเช่นไร เจนก็ ลืม อีกเช่นกัน

             หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเร็วผิดเคย เข็มนาฬิกาเดินช้า ๆ เวลานัดขยับใกล้เข้ามา แต่งตัวเสร็จก็หยิบกระเป๋าถือ ถุงกระดาษใส่รถ และขับออกมาทันทีโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง!

             ใช่...เจนไม่รู้ต้องไปที่ไหน จำสถานที่นัดพบไม่ได้ แต่พออยู่หน้าพวงมาลัย รถวิ่งเรื่อย ๆ เธอก็เริ่มรู้ว่าควรขับไปอย่างไร ตรงไปถึงไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตรงแยกใด

             ขับรถด้วยอาการ ความรู้สึกเช่นนี้อยู่เกือบชั่วโมงก็เลี้ยวรถเข้าจอดตรงลานจอดรถแห่งหนึ่ง หยิบกระเป๋าถือ และถุงกระดาษลงมายืนเคว้งอยู่ข้างรถชั่วขณะ มองรอบตัวอย่างงุนงง พร้อมตั้งคำถามกับตัวเอง

             ฉันมาทำอะไรที่นี่!”

             สถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟ

             เจนเดินขึ้นบนชานชาลาความรู้สึกตัวเพียงครึ่ง ๆ อาการเบลอยังเกาะกุม ครอบคลุมเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งนาน หัวยิ่งหมุนคว้าง เวียนศีรษะรีบมองหาเก้าอี้ยาวใกล้ ๆ ทรุดตัวลงนั่ง

             วางถุงกระดาษข้างตัว หายใจขัด ๆ ไม่เต็มปอด ตาพร่ามองภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน รถไฟกำลังจะแล่นเข้าเทียบชานชาลา เสียงสัญญาณเตือนดังไล่ ๆ กับเสียงหวูดรถไฟที่แว่วมาแต่ไกล

             เจนนั่งนิ่งเหมือนหุ่น สติสัมปชัญญะไม่อยู่กับตัว ตามองตรงหน้ากลับไม่เห็นอะไร มีเพียงโสตประสาทที่ยังทำงานอยู่

             รถไฟวิ่งเข้าเทียบท่าชานชาลา เสียงหวูดดังลั่นสลับกับเสียงล้อเบียดรางดังชึ่กชักกระชั้น สั่นสะเทือนกระตุ้น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์

             เจนสะดุ้ง เบิกตากว้าง ความรู้สึกกลับเป็นตนเองสมบูรณ์ เหลียวเลิ่กลั่กมองรอบตัว พยายามนึกทบทวนว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

             ...นึกไม่ออก...ความทรงจำขาดหาย ดับสนิท

             หญิงสาวจำไม่ได้ ออกมาจากบ้านอย่างไร จำไม่ได้ มาทำอะไรที่นี่ เวลาขนาดนี้ เธอน่าจะเพิ่งตื่นขึ้นบนเตียงอันคุ้นเคยไม่ใช่หรือ

             เหลือบมองดูนาฬิกา ตกใจอีกครั้ง

             ตายแล้ว... เธออุทานในใจ

             เวลาบ่ายสองโมงเศษ หล่อนนัดร้านสปา เสริมสวยเจ้าประจำไว้ ต้องรีบไปโดยด่วน วันนี้เจ้าของร้านบอกจะให้ลองใช้ครีมพอกหน้าตัวใหม่เสียด้วย

             คืนนี้...ท่านจะมาหา...หากเธอไม่สวยพร้อม เนียนแน่นไปทั้งตัว ท่านอาจหนีไปหาอีหนูคนอื่นแทน

             เจนจดจำได้ทุกเรื่อง ทุกอย่างเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน แต่พอนึกถึงเรื่องการมาสถานีรถไฟแห่งนี้ เธอกลับจำไม่ได้ ไม่รู้อะไรแม้สักนิดเดียว

             ไม่รู้กระทั่ง...ถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างตัวหายไปแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -





สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP