วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๔


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เพิ่งทุ่มเศษ ทีเกื้อนั่งเงียบ ๆ ริมระเบียงห้อง ทอดสายตาไกลยังท้องถนนเบื้องล่าง แสงไฟจากรถรามากมายย้อมถนนหนทางจนสว่างโพลน รถแต่ละคันไม่ต่างกับมดตัวน้อยวิ่งไปวิ่งมาไม่รู้จักหยุดพัก

             ไฟในห้องคอนโดเปิด แสงสว่างส่องมาถึงระเบียง บอกให้รู้ถึงการกลับมาของหมอเอื้อกานต์

             ทีเกื้อไม่ขยับตัว ไม่สนใจทักทาย หูแว่วเสียงฝีเท้าเดินตรงมาหา ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ออกมาจากด้านหลังช่วยให้ผ่อนคลายกว่าเดิม

             มานั่งทำอะไรคนเดียวมืด ๆ เอื้อกานต์ถาม พลางนั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ

             เหนื่อยมั้ย ชายหนุ่มถามลอย ๆ ไม่มองหน้าพี่สาว

             แค่ได้ยินน้ำสียง เอื้อกานต์ก็เห็นอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม

             เอื้อไม่เหนื่อยหรอก...เกื้อต่างหากที่เหนื่อย...ไม่สบายใจเรื่องอะไร

             พรุ่งนี้ต้องไปเจอคนที่ไม่อยากเจอ ชายหนุ่มตอบตรง ไม่ปิดบัง

             ใคร เอื้อกานต์ถาม แล้วชะงัก

             ตลอดชีวิตทีเกื้อ มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่เขาไม่ต้องการพบหน้า

             เรื่องงานใช่มั้ย หญิงสาวทายถูกตั้งแต่คำแรก

             ใช่...ต้องไปติดตามรัฐมนตรี...คิดว่าคงหนีกันไม่พ้น

             เอื้อกานต์ถอนใจ เหลือบมองเสี้ยวใบหน้าน้องชาย แววตาเขาเหม่อลอย รวดร้าว สัมผัสใจ ก็รู้สึกถึงความหดหู่ เจ็บปวด เป็นทุกข์ จึงได้แต่นิ่ง ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง

             เกื้อคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ทำใจได้ คิดว่าสามารถลืมเรื่องของเขาได้แล้ว คิดว่าชีวิตนี้เราคงไม่ต้องพบ ไม่เจอกันอีก จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวด...แบบนี้

             หญิงสาวฟังด้วยใจสงบ เห็นจิตของคนข้าง ๆ สับสน อึงอลด้วยความฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งเรื่องราวเก่า ๆ ย้อนทวน ย้อนคิด แล้วพยายามปฏิเสธ ไม่ยอมรับมัน บีบคั้นจนเกิดทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

             เกื้อ...อย่าหนีทุกข์ หญิงสาวเตือนสติ

             ชายหนุ่มหันกลับ พบสายตาที่เข้มแข็ง หนักแน่นของพี่สาวรออยู่

             มีทุกข์ก็ให้ รู้ มันสิ อย่าหนีมัน อย่าพยายามปฏิเสธ

             เอื้อกานต์พูดช้า ๆ เพื่อให้เข้าถึงใจอีกฝ่ายตรง ๆ

             ถ้าพรุ่งนี้...จะต้องเจอเขา ก็ค่อยให้มันเจ็บพรุ่งนี้...จะมากังวล คิดฟุ้งซ่านเรื่องเก่า ๆ แล้วมาทำร้ายใจเราตั้งแต่เดี๋ยวนี้ทำไม

             ทีเกื้อได้สติ ความหนักแน่น มั่นคงของเอื้อกานต์ถ่ายทอดมาถึง ทำให้เห็นทุกข์ เห็นเหตุของมันในปัจจุบันชัดเจน

             เวลานี้เขา ทุกข์ใจ เพราะ คิด

             ลมหายใจถูกระบายแผ่วเบา ตั้งสติ ทีเกื้อละสายตาจากพี่สาวกลับไปมองท้องถนนดังเดิม แววตาเปลี่ยนไปหนักแน่น รู้สึกตัวกว่าเดิม

             เอื้อ เนิ่นนานกว่าชายหนุ่มจะเอ่ยเรียกคนข้าง ๆ

             ว่ายังไง

             วันนี้ไม่ไปดูหนังกับนภมันเหรอ

             หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ

             ไม่ล่ะ...ไม่อยากให้เขาคิดว่ามีความหวัง

             พี่...เขาก็ตายไปนานแล้ว ทำไมไม่มองหาคนใหม่ซะทีทีเกื้อจงใจเลี่ยง ไม่เอ่ยชื่อบางชื่อออกมา

             มันไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้เอื้อไม่เหลือความทุกข์จากการพลัดพรากครั้งนั้นแล้ว...แล้วการที่ยังมีพี่เขาอยู่ในใจ ก็ไม่ทำให้เจ็บปวดอะไร... ถ้าหากมีคนที่ใช่เข้ามา เอื้อเองก็ไม่เคยปิดกั้นตัวเอง...แต่นภไม่ใช่คนที่ใช่คนนั้น

             ทีเกื้อฝืนยิ้ม

             นั่นสินะ บางทีการ จากตาย มันก็ทำให้เราเจ็บปวดสั้นกว่าการ จากเป็น’”

             ไม่ใช่หรอก เอื้อกานต์ค้าน การยอมรับความจริงว่า มีพบต้อง มีจาก และไม่มีใครเป็น ของเราต่างหาก ที่เป็นตัวบอกว่าเราจะเจ็บปวดกับมันนานแค่ไหน...ถ้ายอมรับความจริงได้เร็ว มันก็เจ็บไม่นาน ถ้าไม่รู้จักยอมรับมัน ใจมันก็จะเจ็บซ้ำเจ็บซากอยู่กับเรื่องเดิม ๆ ไม่ไปไหนเสียที

             ทั้งสองนิ่งเงียบเนิ่นนาน เอื้อกานต์ยังไม่ขยับไปไหน รู้ว่าทีเกื้อมีอีกคำพูดที่จะบอกแก่ตน

             ขอบใจนะเอื้อ

             หญิงสาวเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมเขาเบา ๆ เหมือนเคยทำตอนเยาว์วัย เป็นกิริยาที่นานครั้งจะทำสักที ชายหนุ่มเอี้ยวศีรษะหลบ หัวเราะขัน ความขุ่นมัวในใจละลายไปต่อหน้าต่อตา



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



            ที่เห็นตรงหน้าเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ สร้างอย่างโอ่โถง สวยงามบนที่ดินสามไร่ ทีเกื้อขับรถเข้าไปจอดตรงที่จอดเรียบร้อย ก็มีชายแต่งชุดซาฟารีเดินเข้ามาหา

             ร้อยตำรวจเอกทีเกื้อ ฝ่ายนั้นเอ่ยชื่อเขาแทนการไถ่ถาม และทักทาย

             ครับ ทีเกื้อรับคำ รีบลงจากรถ

             ท่านได้รับแจ้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าคุณจะมารายงานตัววันนี้ รีบเข้าไปเถอะ ท่านรออยู่ แต่เดี๋ยวต้องออกไปประชุมกันแล้ว

             ทีเกื้อพยักหน้ารับ พร้อมกับเดินตามเข้าไปในตัวบ้าน ความใหญ่โตหรูหรา อลังการของมัน ข่มให้เขาตัวเล็กลงกว่าเคย สายตามองรอบตัวคล้ายกำลังเก็บข้อมูล หากที่แท้กลับมองหาใครบางคน คนที่เขาไม่พร้อมเจอในเวลานี้

             หยุดยืนหน้าห้องหนังสือ ผู้นำทางยกมือเคาะประตู

             ...ก๊อก ก๊อก...

             เข้ามาได้ เสียงทุ้มมีอำนาจดังจากข้างใน

             ประตูเปิด ทีเกื้อรู้สึกเกร็ง ไม่อยากเข้าไป แต่เมื่อชายในชุดซาฟารีนำหน้า เขาก็เดินตามอย่างไม่รู้สึกตัว

             ห้องหนังสือกว้าง ชั้นหนังสือเรียงสูง ชิดผนัง อัดแน่นด้วยหนังสือนานาชนิด กลางห้องตั้งโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เจ้าของห้องกำลังนั่งรอ มองตรงมายังนายตำรวจคนใหม่

             รัฐมนตรีธีรนัฐ เป็นชายวัยหกสิบต้น ๆ ร่างกายแข็งแรง ดูหนุ่มกว่าอายุ มีเพียงจอนผมที่หงอกขาวสีเหลือบเงินเท่านั้นที่บอกถึงวัยเริ่มชรา

             ผู้กองทีเกื้อมาแล้วครับท่าน ผู้นำทางกล่าวแนะนำ

             ทีเกื้อทำความเคารพ เห็นดวงตาคมดุจากเจ้าของห้องกำลังมองมาไม่วางตา

             ออกไปก่อน ท่านรัฐมนตรีบอกกับชายนำทาง

             ครับ ฝ่ายผู้น้อยรับคำ

             จากนั้น ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทีเกื้อยังไม่ขยับตัว ดวงตามอง วีไอพี ในความรับผิดชอบ เพื่อรอคอยคำสั่งต่อไป

             นั่งสิ ฝ่ายผู้ใหญ่พูดก่อน

             นายตำรวจหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ออก นั่งตัวตรงโดยไม่พูดจา

             สบายดีมั้ย คำทักทายแบบกันเองกึ่งห่างเหินแปลก ๆ

             ครับ...ท่าน ทีเกื้อจงใจเน้นคำท้าย

             อีกฝ่ายถอนใจเบา ๆ

             ทำไมไม่แวะมาหาบ้างคำพูดบอกถึงความคุ้นเคย ใกล้ชิด

             ผมมีงานยุ่ง และคิดว่าท่านคงไม่ว่างเหมือนกัน

             ได้ข่าวว่าโดนยิงมา หายดีหรือยัง น้ำเสียงไม่อาจปกปิดความเป็นห่วง

             ดีขึ้น...แล้วครับ... อาจเพราะความเป็นห่วงนั้นสัมผัสถึงใจ น้ำเสียงทีเกื้อจึงอ่อนลง และไม่อาจหลุดคำว่า ท่าน ออกมาได้

             เอื้อเป็นยังไงบ้าง

             ความอ่อนโยนในวาจายามถามถึงพี่สาวฝาแฝดของเขา ทำให้นายตำรวจหนุ่มผ่อนคลายตัวเองลง

             สบายดีครับ...พ่อ

             ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมา คำพูดที่แม่บอกให้เขาเรียกขาน ยามเมื่อพบชายคนนี้ครั้งแรก



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



             เกื้อ...เอื้อ...นี่พ่อของลูก เรียกพ่อสิจ๊ะแม่บอกเสียงเศร้า ๆ

             พ่อ... เอื้อเป็นคนแรกที่ยอมเอ่ยคำนี้

             ทีเกื้อกลับจ้องมองชายแปลกหน้าเขม็ง ในหัวมีคำถามมากมาย

             ...พ่อเขายังไม่ตายหรือ...ทำไมพ่อเพิ่งมาหาตอนนี้...

             เกื้อ...เรียกพ่อสิลูก เพราะน้ำเสียงอ่อน ๆ เศร้า ๆ ของแม่ ทำให้เด็กชายหัวแข็งยอมใจอ่อน เอ่ยปากคำนั้นออกไป

             พ่อ...



             แต่พอแม่เสียชีวิต เขากับพี่สาวต้องมาอยู่บ้านหลังใหญ่หลังนี้ สิ่งแรกที่ได้เจอคือสายตาอันเย็นชา ดุร้ายของ คุณผู้หญิง ประมุขของบ้าน และเป็นภรรยาตัวจริงของพ่อ



             อย่าให้ลูกเมียน้อยพวกนี้มาเรียกคุณว่า พ่อ ต่อหน้าฉันอีกนะ

             โธ่...คุณ พวกเขาเป็นลูกผมนะ ไม่ให้ลูกเรียกผมว่าพ่อ แล้วจะให้เขาเรียกว่าอะไร

             จะเรียกอะไรก็ได้ แต่อย่าให้ฉันรู้สึกว่าคุณยังมีลูกคนอื่นอีก นอกจากตาภูมิของเรา...ฉันทนไม่ได้...แค่ยอมรับให้พวกมันมาอยู่ชายคาเดียวกันนี่ก็เต็มกลืนที่สุดแล้ว ฉันจะไม่ยอมทนเรื่องอื่นอีก



             คุณผู้หญิงมีความอดทนต่ำ ยอมทนไม่ได้กับแทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลูกเมียน้อยทั้งสองคนนี้



             เด็กสองคนนั้นไปอยู่เรือนคุณย่า ให้แม่ของคุณเลี้ยงน่ะดีแล้ว ฉันทนเห็นหน้าพวกมันทุกวันไม่ไหว

             อย่าให้ฉันรู้ว่าคุณเซ็นรับเด็กสองคนนั่นเป็นลูกเชียวนะ ฉันไม่ยอมให้พวกมันมีส่วนในมรดกด้วยหรอก ให้มันใช้นามสกุลของแม่มันน่ะดีแล้ว



             ความเจ็บปวด บีบคั้นในวัยเยาว์ หลังจากกำพร้ามารดา สร้างความเข้มแข็งแก่จิตใจให้แก่เขาสองพี่น้อง เมื่อสามารถออกจากบ้านหลังนี้ได้ คิดว่าตลอดชีวิตคงไม่มีความจำเป็นต้องกลับมาอีกแล้ว

             ที่ไหนได้...ทันทีที่เปิดซอง เห็นรูปและชื่อของรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบ เขาแทบช็อค รีบออกปาก ขอเปลี่ยนงานกับตำรวจคนอื่นทันที

             ไม่ได้...ท่านเจาะจงเลือกคุณ ท่านรองฯ บอกต่อเขาอย่างนั้น

 

 

- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



           เมื่อหนีไม่ได้ เขาจำเป็นต้องมานั่งเก้าอี้ตรงหน้าบิดาตนเองเช่นนี้...ชายผู้เป็นพ่อ...แต่เขาไม่สามารถเรียกคำว่าพ่อ ได้เต็มปาก

             ตอนสำนักงานตำรวจฯ แจ้งมาว่าพ่อต้องมีตำรวจติดตามเพิ่มอีกคน ก็เลยถามเขาไปว่า จะขอเลือกเองบ้างได้มั้ย พอเขาว่าได้ ก็เลยเลือกให้แกมา ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าแกโดนยิง

             งานตำรวจ บางทีก็เลี่ยงเรื่องเจ็บตัวไม่ได้หรอกครับ เขาตอบ

             ท่านรัฐมนตรีมองหน้าบุตรชายนอกสมรส สัมผัสถึงความห่างเหิน กำแพงบาง ๆ ที่อีกฝ่ายกางกั้นไว้ จึงได้แต่ถอนใจ เปลี่ยนเรื่องพูดคุย

             เดี๋ยวพ่อต้องรีบไปประชุม แกคุยรายละเอียดเกี่ยวกับตารางงานพ่อจาก หนูดี เลขาของพ่อแล้วกัน

             พูดจบก็กดกริ่งบนโต๊ะ ชายในชุดซาฟารีเปิดประตูเข้ามา

             ไปตามหนูดีมาที่ห้องนี้หน่อย

             ครับ

             ลับร่างชายในชุดซาฟารี ท่านรัฐมนตรีก็หันมาบอกลูกชาย

             แกทำความรู้จักกับเขาไว้ก็ดีนะ หนูดี หรือสัตตบงกช เขาเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของแก

             ได้ยินชื่อนี้ทีเกื้อถึงกับสะท้านใจ สูดลมหายใจยาวลึก การมาพบพ่อวันนี้นับว่าเป็นเรื่องยาก ลำบากใจเกินทนแล้ว การที่จะต้องพบกับผู้หญิงคนนี้...สัตตบงกช...ยิ่งยากกว่าหลายเท่า

             ผู้หญิงคนนี้เคยทำหัวใจเขาแหลกลาญ เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ผู้หญิงที่เคยคิดว่าจะไม่ยอมเจอหน้ากันอีก กลับจะต้องมาพบพาน ในสถานการณ์แสนลำบาก กลืนไม่เข้า คายไม่ออกแบบนี้

             เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ตามด้วยเสียงเคาะประตู จากนั้นบานประตูเปิดออก ทีเกื้อได้กลิ่นหอมเคยคุ้น ลอยมาแตะจมูกเบา ๆ



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



บทที่ ๔



             นาน...เสมือนเวลานั้นผ่านมานานเหลือเกิน

             วันที่ทีเกื้อพบสัตตบงกชเป็นครั้งแรก...

             สมัยมัธยม ทีเกื้อกับเอื้อกานต์จะมาเรียนกวดวิชาที่ย่านแหล่งรวมวัยรุ่นชื่อดังแห่งหนึ่ง ช่วงพักทั้งสองมักออกมานั่งเล่นหาเครื่องดื่มของกิน คนเป็นพี่สาวช่างเลือกมากกว่าจึงใช้เวลาเลือกสรรนาน ส่วนน้องชายไม่จุกจิกเท่า อะไรก็กินได้ จึงซื้อของร้านใกล้ ๆ มานั่งกินรอ

            ขณะดื่มเครื่องดื่ม สายตามองโน้นนี่เรื่อยเปื่อย จนไปปะทะเข้ากับเด็กสาวบอบบาง ผิวขาวใส หัวใจสะดุดจ้องมองอย่างลืมตัว นัยน์ตาสาวน้อยหวานคมบาดใจ แก้มสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ ริมฝีปากแดงสดปราศจากการเติมแต่ง

             ทีเกื้อเห็นผู้หญิงสวยมาไม่น้อย ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน และสาว ๆ ในย่านช้อปปิ้งเดินเที่ยวของวัยรุ่น ไม่เคยมีเด็กผู้หญิงคนไหนจับตาจับใจจนเขาไม่สามารถละสายตาได้ขนาดนี้

             ขนาดไม่เป็นสาวเต็มตัว เธอยังเปล่งประกายความงามบาดตาสะกดใจถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่หัวใจเด็กหนุ่มอย่างทีเกื้อหลุดลอยตามสาวน้อยแปลกหน้าไปแบบยากจะกลับคืน

             เด็กสาวนั่งบนเก้าอี้ไม่ไกลจากเขานัก ใกล้ตัวเธอมีหญิงสาวหน้าบูดคอยดูแล เทคแคร์คล้ายพี่เลี้ยงประจำตัว เห็นแค่นี้พอเดาได้ว่าเธอคงเป็น คุณหนู ที่พ่อแม่ห่วงหวงขนาดไหน

             ทีเกื้อมองจนเกือบเหม่อ กระทั่งเอื้อกานต์กลับมานั่งตรงหน้ายังไม่รู้สึกตัว

             เกื้อ...เป็นอะไร ถามไปอย่างนั้นเอง ท่าทางแบบนี้ มองปราดเดียวก็รู้

             เอื้อ... คนเป็นน้องชายละสายตาจากสาวน้อยอย่างยากเย็น

             อือ...มีอะไร เอื้อกานต์เห็นอาการน้องชายแล้วนึกขันแกมหมั่นไส้

             เอื้อ... ทีเกื้อพูดซ้ำแบบลอย ๆ เคยเห็น...นางฟ้ามั้ย

             คนเป็นพี่สาวได้ยินแทบปล่อยหัวเราะก๊าก ด้วยความที่อยากแกล้งน้องชาย จึงฝืนตีหน้าขรึม ตอบน้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น

             เคยสิ

             พอพี่สาวพูดแบบซีเรียสขึ้นมา เด็กหนุ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาจริง ๆ

             จริงน่ะ

             จริง เอื้อกานต์ตอบ นัยน์ตาพราวระยับ เห็นทุกวันเลย เวลาส่องกระจกตอนเช้าไง

             เท่านั้น ทีเกื้อก็ปล่อยหัวเราะพรืดใหญ่ ยกมือชี้หน้าพี่สาวอย่างไม่รู้จะหาคำไหนมาตอบให้ทันกัน

             เอื้อกานต์เป็นผู้หญิงที่สวยจริง เขารู้...สวยชนิดหนุ่ม ๆ ทั้งโรงเรียนมารุมจีบจนเขากีดกันแทบไม่ไหว แต่สำหรับทีเกื้อ ความสวยที่เห็นทุกวันแบบนี้ไม่ทำให้เขารู้สึกแปลก สะดุดตาอะไรเลย หนำซ้ำยังเฉย ๆ ด้วยซ้ำทุกครั้งที่มองหน้ากัน

             ผิดกับความสวยของเด็กสาวที่เพิ่งเห็นขณะนี้...เป็นความสวยที่ทำให้เขาลืมเนื้อลืมตัวไปชั่วขณะทีเดียว

             ขณะที่สองพี่น้องกำลังต่อปากต่อคำกันนั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่า สาวน้อยนางฟ้าของทีเกื้อกำลังหันมาทางนี้เช่นกัน เสียงหัวเราะอย่างไม่มีเบรกของเด็กหนุ่มเรียกสายตาเธอให้หันมามอง และใบหน้าคมคาย นัยน์ตาคมดุที่กำลังพราวระยับด้วยรอยยิ้มของเขา ก็จับตาแม่สาวน้อยตั้งแต่แรกเห็นเช่นเดียวกัน

             วันนั้น...ผ่านมานานนับสิบกว่าปีแล้ว



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



            วันนี้...สองคนมายืนประจันหน้ากัน ในสถานที่ และสถานการณ์ต่างจากเดิม...จากสาวน้อยที่สวยสดใสกลายเป็นหญิงสาวสวยจัดจับตา จากเด็กหนุ่มหน้าใส คมคาย กลายเป็นนายตำรวจหนุ่มคมเข้ม มาดมั่น

             หนูดี...นี่ผู้กองทีเกื้อ จะมาเป็นนายตำรวจติดตามพ่อตั้งแต่วันนี้นะ ท่านรัฐมนตรีเอ่ยแนะนำ

             สวัสดีค่ะ หญิงสาวยกมือไหว้

             ทีเกื้อยืนนิ่ง ทำตัวไม่ถูก ทั้งที่ควรทำแค่ยกมือรับไหว้ นัยน์ตามัวจับจ้องดวงหน้าที่ยากจะลบลืมอย่างเผลอไผล อยากตัดใจแต่มันติดตรึงความทรงจำไม่ยอมหลุดถอน

             นี่...หนูดี หรือสัตตบงกช น่าจะคุ้นหน้านะ หนูดีเคยเป็นพิธีกรรายการดัง ก่อนจะมาเป็นเลขา

             ครับ...ผมรู้จัก ทีเกื้อหลุดคำพูดแรกออกมา

             งั้นดีแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรถามเขาแล้วกัน...พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มงานใช่มั้ย

             ครับ



             ท่านรัฐมนตรีออกจากห้องหนังสือนานแล้ว สองหนุ่มสาวยังไม่มีวาจาอื่นสนทนาต่อกัน ทั้งคู่นั่งห่างแค่โต๊ะกั้น ตรงหน้ามีเพียงสมุดงานของรัฐมนตรีเปิดวางไว้

             ความเงียบย่อมมีเวลาสิ้นสุด ฝ่ายหญิงยอมเอ่ยปากก่อน

             นี่เป็นตารางงานของท่านค่ะ ต้องการให้หนูดีถ่ายสำเนาไว้ให้หรือเปล่า

             ถึงจะเอ่ยวาจาแทนตัวว่า หนูดี ดังเดิม หากน้ำเสียง กิริยา ความรู้สึก มันไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว

             ได้ครับ...ขอบคุณมาก คำพูดเต็มไปด้วยมารยาท ไม่ต่างจากกำแพงหนา กั้นทั้งสองไว้คนละโลก

             ผู้กองยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับท่าน จะถามหนูดีอีกมั้ยคะ

             มี... เขาตอบ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก

             คำพูดตรง ทื่อเช่นนี้ทำให้หญิงสาวนิ่ง เข้าใจ...คำถามมันไม่สามารถหลุดออกมาจากปากได้ ทว่าดวงตาของเขามีคำถามมากมาย มากกว่าวาจาเป็นร้อยเป็นพันคำ...คำถามซึ่ง...ยากจะให้คำตอบ

             คำถามที่ว่า...ทำไมเราต้องเลิกกัน

             ความเงียบกำลังคืบคลานมาอีกครั้ง ถ้าไม่มีบางสิ่งแทรกขึ้นมาก่อน

             ...นวลเจ้าพี่เอย...นวลเจ้าพี่เอย...

             เสียงเรียกเข้าดังมาจากโทรศัพท์หญิงสาว เป็นเสียงเพลงไพเราะหวานนุ่มนวล หนูดีรีบกดรับด้วยสีหน้าผิดปกติ ทีเกื้อมองตามรู้สึกแน่นหน้าอก คอหอยตีบตันพูดอะไรไม่ออก

             เสียงเพลงเรียกเข้าเงียบหายแล้ว...เสียงเพลงในความทรงจำกลับกังวานชัด



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



            นวลเจ้าพี่เอย...คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ

             ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวน ครวญคร่ำอาลัย

             เสียงทุ้มใหญ่ กังวานนุ่ม หวานจากคุณตาผู้วายชนม์ เพลงนี้มักถูกร้องให้หลานชายตัวน้อยฟังที่ระเบียงนอกชานบ้าน ยามนอนดูดาวด้วยกันในค่ำคืนแสนอบอุ่น

             รู้ไหม ตาร้องเพลงนี้จีบยายแกจนเขาใจอ่อนเลยนา

             พอคุณตาแต่งงานกับคุณยาย มีแม่ของเกื้อ คุณตาเลยตั้งชื่อแม่ว่า นวล อย่างในเพลงใช่ม้า...เรื่องนี้คุณตาเล่าให้เกื้อฟังเป็นร้อยรอบแล้ว

             ต่อไปเอ็งลองใช้เพลงนี้ร้องจีบสาวดูบ้างสิ

             ไม่เอาหรอก เชยจะตาย...เกื้อไม่เห็นชอบเด็กผู้หญิงเลย เจี๊ยวจ๊าว วุ่นวาย ขี้งอน น่ารำคาญ

             เออ...ตอนตัวกระเปี๊ยกก็พูดแบบนี้แหละ ขี้คร้านพอเป็นหนุ่มขึ้นมา จะมัวแต่วิ่งตามรับ-ส่งสาวจนไม่ยอมกลับบ้าน

             เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคุณตาวันนั้นยังก้องในหู และเพลง น้ำตาแสงไต้ ก็กลายเป็นบทเพลงที่ทำให้ระลึกถึงคุณตาทุกคราวที่ได้ยิน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks






แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP