วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๓


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ทันทีที่ได้สติ นายตำรวจหนุ่มเห็นประตูที่ตนจะเปิด ได้แง้มออกและค่อยงับเข้ามา เวลานี้เขาไม่คิดอะไรมาก รีบเปิดประตู พร้อมก้าวออกจากห้องทันที

             สติแจ่มชัด สายตาหายพร่ามัว ทีเกื้อเห็นเงาหลังชายคนหนึ่งเดินตรงไปยังบันไดทางหนีไฟด้วยฝีเท้าก้าวยาว ต่างจากคนอื่นทั่วไป

             ทีเกื้อเดินกึ่งวิ่งไล่ตามชายปริศนาโดยไม่ลังเล เขาเป็นบุคคลที่น่าสงสัย หากบอกว่าการตายของเกริกภพเป็นฆาตกรรม มันก็อาจเป็นได้ ที่ชายผู้นี้คือฆาตกร!

             มีมือสังหารบางจำพวกชอบกลับมาดูผลงานของตนเอง เพื่อยืนยันการตายของเหยื่อ และดูว่ามีใครพบร่องรอยเบาะแสที่จะสาวถึงตนได้หรือไม่

             ชายหนุ่มเชื่อว่า มันคงภูมิใจในผลงานแน่นอน เพราะขนาดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังยืนยันว่าผู้ตายหัวใจล้มเหลว ไม่มีหลักฐานใด มาค้านถึงสาเหตุการตายครั้งนี้



             ทีเกื้อเร่งฝีเท้าจนระยะห่างสองคนไม่เกินสิบเมตร ใกล้พอจะเห็นรูปร่าง ส่วนสูง เสื้อผ้าของคนข้างหน้าชัดเจน

             ชายคนนั้นสูงพอ ๆ กับเขา ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ ทับด้วยแจ็กเก๊ตแขนกุดแบบนักข่าว สะพายกระเป๋ากล้องใบใหญ่ สามารถก้าวเดินรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

             ระยะห่างร่นมาไม่เกินห้าเมตร ชายปริศนาเปิดประตูทางหนีไฟ แล้วผลุบหาย ทีเกื้อเร่งฝีเท้า คว้าบานประตูแล้วกระโจนตามกระชั้นชิด

             หยุด! รอก่อน นายตำรวจหนุ่มตะโกน เมื่อเห็นฝ่ายนั้นลงบันไดถึงสี่ห้าขั้นแล้ว

             เสียงก้องดังสะท้อนไปมา ชายนำหน้าชะงักเท้า หยุดยืนนิ่ง จงใจรอ

             ทีเกื้อผ่อนลมหายใจเบา หัวใจเต้นแรง ประสาทตื่นตัว พร้อมเผชิญหน้า อาการบาดเจ็บจากแผลถูกยิงเมื่อคืนส่งสัญญาณเบา ๆ บอกให้รู้ว่าร่างกายเขายังไม่เต็มร้อย

             ช่วยหันหน้ามาหน่อย ทีเกื้อสั่งเสียงห้วน ขาก้าวช้า ๆ เข้าหาร่างที่ยังไม่ขยับเขยื้อน

             ฝ่ายนั้นค่อย ๆ หันมา สีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึก ชายในชุดเหมือนนักข่าวมีใบหน้าเรียบ ๆ ไม่สะดุดตา ไม่มีจุดเด่นชวนจดจำ ไม่ต่างจากคนเดินตามท้องถนน ที่ต่อให้สวนกันเกินสิบรอบก็ยังจำหน้ากันไม่ได้



             มีอะไรหรือครับคุณตำรวจ ฝ่ายนั้นถาม มีร่องรอยยิ้ม ๆ ในน้ำเสียง ทั้งที่ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึก

             คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นตำรวจ ทีเกื้อมั่นใจ เขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบ หรือมีสิ่งใดบนร่างกายที่ประกาศตนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลย

             ก็มีแต่ตำรวจเท่านั้นแหละ ที่ชอบออกคำสั่งแบบนี้

             คำแก้ตัวมีน้ำหนัก ทีเกื้อกลับไม่เชื่อ

             คุณมาทำอะไรที่นี่ คนเป็นตำรวจถาม

             ผมเป็นนักข่าว ก็มาทำข่าวสิครับ ฝ่ายตรงข้ามตอบง่าย ๆ

             จากหนังสือพิมพ์ หรือทีวีช่องไหน ทีเกื้อถามต่อ

             ริมฝีปากฝ่ายตรงข้ามขยับยิ้มน้อย ๆ ก่อนล้วงหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งให้

             ทีเกื้อยื่นมือรับ แต่แล้วกลิ่นฉุนแปลก ๆ อย่างเคยสัมผัสในห้องแถลงข่าวก็เวียนมาอีกครั้ง คราวนี้มันฉุนรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ตลบอบอวลรอบตัว ครอบคลุมทั่วร่างราวกับหมอกควันหนา ๆ

             สายตาพร่ามัว ชายตรงหน้าดูเบลอ ซ้อนเป็นสี่ห้าคน ขาอ่อนแรง ค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น หน้ามืด หมดสติโดยไม่ทันระวังตัว



             สติ ความรับรู้หายไปครู่ใหญ่ โลกรอบตัวมืด เงียบงัน วังเวง...

             ฆานประสาทกลับมาเป็นสิ่งแรก จมูกได้กลิ่นจาง ๆ นัยน์ตายังลืมไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ ทีเกื้อระบายลมหายใจยาว แล้วดึงกลับ ตั้งสติ เรียกกำลัง พยายามลืมตาขึ้นมาให้สำเร็จ

             เปลือกตาขยับทีละน้อย จักษุประสาทเริ่มปรับสภาพมองเห็น หูแว่วเสียงฝีเท้าอยู่นอกประตูทางหนีไฟ เสียงคุ้นหู ใกล้เข้ามา ไม่นาน ประตูเปิดออก นัยน์ตาเขารับภาพชัดเจน

             หมอเอื้อกานต์ยืนหลังประตู มองตรงมายังร่างน้องชายที่กองทรุดกับพื้นด้วยความโล่งอก เดินมาหาสองสามก้าว แล้วย่อเข่า ทรุดตัวลงมาระดับเดียวกัน ยิ้มขัน ๆ ใส่ดวงตาฝ่ายตรงข้าม

             ว่าไงผู้กอง ถ้าง่วงนอนนักก็กลับไปนอนที่บ้านสิ มาแอบคุดคู้ทำอะไรอยู่แถวนี้

             ทีเกื้อไม่มีแรงขยับริมฝีปาก พูดตอบโต้ ดูเหมือนพี่สาวรู้ทันจึงแหย่ต่อ

             สงสัยเป็นตำรวจขาลุยซะเคย เลยนอนที่นอนสบาย ๆ กับใครเขาไม่เป็นต้องมานอนกับพื้นแบบนี้เนอะ

             บ้าสิ ในที่สุดทีเกื้อก็หลุดคำพูดแรกออกมาได้ ใครเขาอยากมานอนตรงนี้กันล่ะ

             ทันทีที่เปล่งเสียง ร่างกายก็ถูกปลดจากพันธนาการที่มองไม่เห็น แขนขาเป็นอิสระ ขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่ติดขัด

             ไหวมั้ย เอื้อกานต์ลุกตาม ไปเจออะไรเข้าล่ะถึงโดนน็อคซะขนาดนี้

             ความที่รู้มือกัน จึงมั่นใจ คนทำให้ทีเกื้อล้มขนาดนี้ได้ ฝีมือต้องไม่ธรรมดา

             ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ทีเกื้อตอบ นัยน์ตาส่องประกายจ้า แต่มั่นใจว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการตายของเกริกภพแน่ๆ

             สีหน้าท่าทางของเอื้อกานต์ไม่มีร่องรอยแปลกใจสักนิด หนำซ้ำยังกวาดตามองรอบ ๆ จมูกสัมผัสกลิ่นบางอย่างที่เกือบจะจางหายไปแล้ว

             เขาใช้ยาอะไรน่ะ ทำไมถึงแรงขนาดนี้ หญิงสาวเปรย ทั้งที่น้องชายไม่ได้พูดถึงสาเหตุการโดนน็อคของตนเองเลยสักคำ

             มันใช้ยาสลบกับเกื้อเหรอ ชายหนุ่มถาม

             ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เอื้อกานต์ตอบ มองหน้าน้องชายตรง ๆ ถ้าเกื้อเจอเขาอีกครั้ง ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ กลิ่นแบบนี้มันไม่ใช่กลิ่นยาสลบสมัยใหม่อย่างที่เอื้อรู้จักเลย

             สองพี่น้องสบตากันแล้วถอนใจเบา ๆ



             กลับไปคุยกันที่บ้านดีมั้ย คุณหมอชวนน้องชาย

             ทีเกื้อพยักหน้า บอกไม่ถูก ทำไมรู้สึกเหมือนเจอกำแพงหนาล้อมรอบสี่ด้าน หนำซ้ำกำแพงนั้นยังบีบล้อมเข้ามาช้า ๆ อย่างไม่ให้ทันตั้งตัว

             นิมิตปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง...เป็นภาพหมอกหนาสีดำสนิทกางกั้นตรงหน้า

             สัญชาตญาณภายในแปลความหมายของมันเป็น ความอาฆาต ความแค้นที่ดำมืดน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ ยังแปลได้อีกว่า เส้นทางข้างหน้า คือความไม่รู้อันแสนอันตราย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




            ใกล้รุ่ง ตะวันกำลังจะขึ้น ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ขอบฟ้าเริ่มจับแสงระเรื่ออมส้มจาง ๆ

             เอื้อกานต์นั่งอยู่ในท่าสบายบนเก้าอี้หวาย ริมระเบียงห้องชุดคอนโดมิเนียมชั้นสามสิบ ความสูงขนาดนี้ช่วยให้แลเห็นขอบฟ้าลิบ ๆ ตรงหน้าสะดวกขึ้น

             หญิงสาวผ่อนคลายร่างกาย ระบายลมหายใจที่คั่งค้างออก แล้วดึงลมเข้ามาช้า ๆ แผ่วเบา นัยน์ตาจับแสงที่ปลายฟ้าเป็นอารมณ์ จิตใจแผ่กว้าง เบิกบาน จุดสว่างลิบ ๆ ถูกนำมากำหนดเป็นภาพนิมิตก่อนปิดเปลือกตาลง

             จิตจดจ่อ เคล้าเคลียกับดวงสว่างในใจอยู่เนิ่นนาน จนเกิดความตั้งมั่นเป็นธรรมชาติ

             ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ความสว่างภายนอกช่วยขับความสว่างภายในให้เด่นดวงกว่าเดิม แล้วด้วยความที่จิตคุ้นเคยกับการดูกาย จิตจึงกำหนดนิมิตร่างกายมนุษย์ขึ้นมากลางแสงสว่างเบื้องหน้า จากนั้นจิตก็เข้าไปไล่ดูอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว สนุกสนาน เหมือนคุณหมอที่มีใจรักในการตรวจรักษาผู้ป่วย กำลังซักซ้อมไล่หาจุดบกพร่อง อาการผิดปกติในร่างกายมนุษย์ประจำวัน

             การฝึกซ้อมกับ ของเล่น แบบนี้ ช่วยให้เอื้อกานต์สามารถ รักษาแบบพิเศษ กับบางคนได้สะดวก ชำนาญ

             หมอเอื้อกานต์ไม่เคยพบ หรือได้รับคำสอนจากครูบาอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน จึงไม่รู้ว่า จากของเล่น ที่ตนทำได้ สามารถพัฒนาไปสู่การภาวนา ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังได้เลยทีเดียว

             ด้วยความที่พอใจแค่ได้รักษา ช่วยเหลือคนเจ็บเท่านั้น เอื้อกานต์จึงไม่คิดกระตือรือร้นที่จะฝึกฝน หรือสนใจเรียนรู้ว่า จิต ยังมีความมหัศจรรย์ด้านอื่นใดอีกบ้าง

            ครู่ใหญ่ ความสงบเริ่มถอน ความตั้งมั่นคลายตัว รูปนิมิตหายไป จิตมีความฟุ้งซ่านตามปกติลายฟ้าเป็นอารมณ์ จิตใจแผ่กว้าง เอื้อกานต์เผลอคิดถึงเหตุการณ์ในโรงพยาบาล วันแถลงข่าว



             พอจบจากการซักถาม งานแถลงข่าวเลิก ทั้งนักข่าวและญาติผู้ป่วยได้รับความพอใจในระดับหนึ่ง เอื้อกานต์ลงจากเวที เจอนภ ไม่พบทีเกื้อ เกิดสังหรณ์แปลก ๆ นภบอกว่าทีเกื้อไปเข้าห้องน้ำ เอื้อกานต์รู้สึกว่ามันไม่ใช่

             ทีเกื้อกำลังเจอปัญหาบางอย่าง!

             หญิงสาวไม่บอกข้อสงสัยนี้ต่อเพื่อนน้องชาย แต่หลบฉากออกมาตามหาเอง พบทีเกื้อหมดสติอยู่ตรงบันไดหนีไฟ

             หลังจากชายหนุ่มฟื้น และกลับมาพูดคุยรายละเอียดกันที่บ้าน ทั้งสองได้ข้อสรุปว่ากำลังเจอเรื่องเหนือธรรมชาติเข้าแล้ว

             นายเกริกภพถูกฆ่าตายแน่ ๆ แต่เอื้อไม่รู้ว่า อะไร ทำให้เขาตาย

             แล้วจะทำยังไงดี ทีเกื้อถาม เรื่องที่สองพี่น้องรู้ มาจากสัมผัสภายใน และสัญชาตญาณล้วน ๆ ไม่มีหลักฐาน พยานให้คนอื่นยอมรับได้

             ดูไปก่อน...ตอนนี้เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายนั้นเลย อีกอย่าง ดูเหมือนเขาไม่มีเจตนาร้ายอะไรกับพวกเราด้วย ไม่งั้นคงไม่ทำให้เกื้อแค่สลบไปหรอก

             ชายหนุ่มนิ่ง ยอมรับ...การที่ทั้งสองมีความสามารถบางอย่างเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่ไม่คิดเปิดเผย บอกต่อใครเพราะกลัวความวุ่นวาย ทำให้เรียนรู้ คุ้นชินกับการสงบ นิ่ง...และใช้สติปัญญาคลี่คลาย ช่วยเหลือในแบบลับหลัง ไม่ออกหน้าออกตามาตลอด

             ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งคู่ตกลงใจที่จะสงบใจ เฝ้ารอดูในแบบเดิม



             เอื้อกานต์ลืมตาขึ้น แสงสว่างกระจ่างทั่วฟ้า จิตใจอิ่มเต็ม เบิกบาน ลุกขึ้น เหยียดกายยืนเต็มร่าง แล้วค่อยหันไปเลื่อนบานประตูเข้าที่พักตนเอง

             ในนั้นเป็นห้องชุดหรู พื้นที่ใช้สอยกว้าง เล่นระดับ มีชั้นบนเป็นห้องนอน ชั้นล่างแบ่งเป็นห้องรับแขก นั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร และครัว

             เอื้อกานต์เดินมาถึงครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่ม ทีเกื้อก็เพิ่งออกจากห้องออกกำลังกาย เหงื่อโซม ชุ่มเสื้อกล้ามตัวบางที่ใส่อยู่ หัวไหล่ยังมีผ้าพันแผลปิดไว้

             เอื้อ ช่วยดูแผลให้หน่อยสิ...จะเอาผ้าก๊อซนี่ออกได้หรือยัง ชักรำคาญแล้ว

             ทำไม...วันนี้ต้องแต่งเครื่องแบบแล้วกลัวไม่เท่เหรอ

             ไม่ใช่ แค่รำคาญเฉย ๆ ถ้าแผลมันหายแล้วก็น่าเอาออกได้นี่...แต่วันนี้ต้องแต่งเครื่องแบบจริง ๆ นั่นแหละ เจ้านายให้ไปรายงานตัวที่สำนักงานตำรวจฯ เห็นว่ามีงานเฉพาะกิจพิเศษให้ทำ

             งานอะไร หญิงสาวถาม ไม่หวังคำตอบจริงจัง

             ไม่รู้สิ อีกฝ่ายตอบแบบไม่ใส่ใจเช่นกัน



             ด้วยความที่จิตยังมีกำลังจากสมาธิเมื่อครู่ คำพูดโต้ตอบแบบไม่จริงจังนั้น สะกิดให้เกิดประกายบางอย่างขึ้น

             มันไม่ใช่ภาพนิมิตอย่างเดิม ๆ แค่ร่างกายชาวาบเบา ๆ มีเสียงกระซิบแว่วในหู

             ถึงเวลาแล้ว...



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๓



             ห้องประชุมขนาดเล็ก จุได้ไม่เกินสิบห้าคน ถูกใช้ประชุมนายตำรวจกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่งเต็มโต๊ะประชุม ทุกนายกำลังดูภาพบนจอ ที่ฉายให้เห็นศพสี่ศพ แต่ละศพเสียชีวิตในสภาพคล้ายกัน

             นายโกวิท อายุ ๖๕ปี เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย

             นายดนู อายุ ๕๙ปี เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว

             นายคะนึง อายุ ๖๗ปี เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย

             และนายเกริกภพ อายุ ๕๘ปี เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว



             สภาพศพเหล่านี้ ไม่แตกต่างจากผู้เสียชีวิตด้วยอาการเดียวกันในรายอื่น พวกเขาไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยฟกช้ำ ไม่มีกระทั่งรอยเข็มที่อาจแสดงถึงการฆาตกรรม

             ปัญหาคือ ทั้งสี่ก่อนตาย มีอาการทุรนทุรายอย่างหนัก สองรายตัวแดงเถือกเหมือนโดนไฟเผา อีกสองรายตัวเย็น เขียวซีดเหมือนจมน้ำตาย

             แต่หลังจากเสียชีวิต พวกเขาจะกลับมาเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยแดงเถือก หรือเขียวซีดอย่างใด หนำซ้ำ เมื่อได้รับการตรวจอย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว สาเหตุการตายของพวกเขาคือหัวใจวาย และหัวใจล้มเหลว

             นี่คือสี่ผู้เสียชีวิตอย่างน่าสงสัยในรอบสี่เดือน



             ใครมีคำถามบ้าง

             ทั้งสี่คนมีความเกี่ยวข้องกันทางด้านไหนบ้างครับ

             นายโกวิท เป็นรัฐมนตรีจากพรรคแกนนำรัฐบาล

             นายดนู เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

             นายคะนึง เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ที่ให้เงินสนับสนุนพรรคแกนนำรัฐบาล

             และนายเกริกภพ เป็นเจ้าของธุรกิจสถานบันเทิงหลายแห่ง เป็นตัวแทนนำเข้าสุราต่างประเทศยี่ห้อดัง เบื้องหลังเป็นมาเฟียที่ทำงานลับ ๆ ให้กับรัฐมนตรีในพรรคแกนนำบางคน

             สรุปว่า ทั้งสี่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบัน



             เป็นไปได้ไหมครับว่าการตายของพวกเขาจะเป็นเหตุบังเอิญ

             พวกเขาเสียชีวิตห่างกันคนละเดือน ลักษณะก่อนตาย และหลังตายคล้ายคลึงกัน

             เพราะอย่างนั้นเราถึงสงสัยว่ามันอาจเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง

             แล้วมีเหตุจูงใจอะไรไหมครับ...หรือมีหลักฐานอะไรพอให้เราสงสัยได้ว่ามีแนวโน้มเป็นการฆาตกรรม

             เหตุจูงใจนั้น เราต้องสืบหา ส่วนหลักฐานในปัจจุบันก็มีไม่มากพอ

             เหตุนี้ เราถึงเรียกพวกคุณมา

             เราจะให้พวกคุณไปคอยติดตามรัฐมนตรีของพรรคแกนนำรัฐบาล กับส.ส.ในพรรคบางคนที่ได้รับตำแหน่งสำคัญ

             แต่วีไอพีพวกนี้ เขามีนายตำรวจติดตาม อารักขาอยู่แล้วนะครับ

             เราไม่ได้ให้พวกคุณไปเป็นบอดี้การ์ด ติดตามพวกเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนั้น

             เราต้องการให้คุณไปคอยติดตาม สังเกตเก็บข้อมูลแวดล้อม รอบตัวพวกเขา และคอยรายงาน หากมีเรื่องอะไรผิดปกติ



            เช่นอะไรบ้างครับ

             ลูกจ้างในบ้านที่เพิ่งรับมาใหม่ คนแปลกหน้าที่มาขอพบ ข้าวของต่าง ๆ ที่ได้รับมาเป็นพิเศษแบบหาตัวคนให้ไม่เจอ หรือกระทั่งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของวีไอพีที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

             เพื่ออะไรครับ

             ประเด็นนี้เราจะอธิบายภายหลัง



             มีใครสงสัย ต้องการถามอีกไหม

             ที่บอกว่าพวกเราไม่ต้องติดตามวีไอพีกลุ่มนี้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วจะให้ติดตามพวกเขายังไง...แค่ไหน

             รายละเอียดอยู่ในซองที่พวกคุณจะได้รับ

             ซองนี้จะบอกว่าคุณต้องไปติดตามใคร และคอยสังเกตดูแลเรื่องอะไรบ้าง เพราะวีไอพีแต่ละท่าน ก็จะต้องใช้วิธีดูแล ติดตามแตกต่างกัน

             หลังประชุมรวมนี้ เราจะแยกให้พวกคุณได้คุย สอบถามรายละเอียดกับผู้ดูแล หัวหน้าชุดของคุณ จะได้เข้าใจงานที่ทำมากขึ้น

             ทีเกื้อนั่งฟังการประชุมตั้งแต่ต้น เปิดหูฟัง โดยไม่ได้ตั้งคำถามใด ๆ ตำรวจหลายคนในห้อง มีทั้งรุ่นพี่ รุ่นอาวุโส และเพื่อนสนิทอย่างนภ ทุกคนมารวมกันด้วยคดีที่เขากับเอื้อกานต์เคยตั้งข้อสงสัยมาแล้ว

             ภาพบนจอสะกิดเตือนให้นึกถึงคำพูดของพี่สาว ที่ว่ามันเป็นการฆาตกรรม ในที่สุดตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็จับพิรุธ ตั้งข้อสงสัยประเด็นนี้เช่นกัน อีกทั้งยังมีข้อมูลผู้ตายมากพอที่จะตั้งสมมุติฐาน หาจุดร่วมความเกี่ยวข้องคดี จนกระทั่งวางแผนการสืบสวนออกมา

             การซักถามมีต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนทุกคนจะได้รับซองรายละเอียดของงาน จากนั้นแยกย้ายออกจากห้องประชุมเพื่อไปพบผู้ดูแล ซึ่งจะให้รายละเอียดเฉพาะในงานของตน

             ทีเกื้อได้เข้าพบนายตำรวจอาวุโสชั้นผู้ใหญ่ ระดับท่านรองฯ ท่าทางเคร่งขรึม ผมหงอกขาวใกล้วัยเกษียณ

             เมื่อนั่งเก้าอี้ตรงหน้า ชายหนุ่มเห็นแววตาฝ่ายตรงข้ามมองมาอย่างพินิจเป็นพิเศษ ในมือนายตำรวจอาวุโสผู้นั้นมีแฟ้มประวัติคร่าว ๆ ของเขาอยู่



             ผู้กอง...ที...เกื้อ ท่านรองฯ เรียกชื่อช้า ๆ

             ครับ ทีเกื้อสบสายตาผู้ใหญ่ตรง ๆ โดยไม่หลบ มีความอ่อนน้อมอยู่ในนั้น จึงเห็นแววเอ็นดูมองมาอย่างน่าแปลกใจ

             คุณเป็นอะไรกับดาบอิน คำถามที่คาดไม่ถึง

             ท่านเป็นคุณตาผมครับ ทีเกื้อตอบ

             แล้วทำไมถึงใช้นามสกุลเดียวกัน

             ชายหนุ่มนิ่งชั่วขณะ นัยน์ตาทอประกายเจ็บปวดชั่วแวบ

             ผมใช้นามสกุลของแม่ครับ

             อ้อ... อีกฝ่ายไม่ใส่ใจกิริยาของทีเกื้อ

             สมัยอยู่ภูธร ดาบอินมีบุญคุณกับผมมาก ถือว่าเป็นครูคนหนึ่งของผมเลย

             ทีเกื้อรับฟัง ไม่เสริมคำพูด สังเกตเห็นผู้อาวุโสกว่ามีท่าทางผ่อนคลาย เป็นกันเอง แววตามีเมตตา

             เข้าเรื่องงานของเราก่อนดีไหม

             ครับ

             ก่อนจะเปิดซองดูว่าคุณได้รับหน้าที่ติดตามใคร...อยากถามอะไรก่อนไหม

             ทีเกื้อนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนยิงคำถามตรงไปตรงมา

             ท่านคิดว่าสาเหตุแท้จริง ที่ทำให้สี่คนนั้นตายคืออะไร

             ท่านรองฯ ยิ้มในหน้า สายตามองมาเหมือนเอ็นดูลูกหลาน

             ผมคิดว่าพวกเขา โดนของ’”

             คำตอบง่าย ตรงจนคนถามสะดุ้ง ใบหน้าท่านรองฯ มีรอยยิ้มมากขึ้น

             ฟังให้ดีๆนะ ผมบอกว่า ผมคิดว่า... เท่านั้นนะ ถ้าคุณถามคำถามนี้กับนายตำรวจท่านอื่น เขาอาจไม่บอกคุณตรง ๆ แบบนี้ เพราะมันไม่มีหลักฐาน ฟังดูงมงาย เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่น่าใช้ตั้งเป็นสมมุติฐานด้วยซ้ำ

             สายตาที่สบมาบอกถึงความเป็นกันเอง ผู้อาวุโสจึงพูดต่อแบบสบาย ๆ

             สมัยหนุ่ม ๆ ผมก็เคยคิดอย่างนั้น จนได้มาทำงานกับดาบอิน ตาของคุณ และได้เจอคดีแบบนี้ด้วยตัวเอง!”

             ทีเกื้อพูดไม่ออก ยิ่งฟังคำอธิบาย ยิ่งทำใจลำบาก คิดเล่น ๆ ถ้าเหยื่อเสียชีวิตเพราะ โดนของ จริง แล้วตำรวจอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้าง

             เมื่อตำรวจหนุ่มไม่มีคำถาม ผู้อาวุโสจึงเล่าต่อ

             ตาคุณน่ะ มีความรู้เรื่องพวกนี้พอตัว ท่านเป็นนักเลงเก่า ก่อนมาเป็นตำรวจ สมัยก่อนเขาเรียกว่าเป็นคน มีวิชาทำให้ผมได้ความรู้เรื่องนี้จากท่านไม่น้อย พอประมวลกับรูปคดีปัจจุบัน เห็นความเกี่ยวโยงกันแบบนี้ ผมจึงตั้งสาเหตุการตายไปทางนั้นก่อน

             เพราะอย่างนั้น ท่านถึงให้พวกเราคอยสังเกตคนรอบตัวของพวกวีไอพี ข้าวของที่ใช้ส่วนตัวของเขาอย่างนั้นหรือครับ

             คนที่จะทำของใส่กันนั้น มันต้องมีความแค้นต่อกันมาก ๆ สิ่งหนึ่งที่เราจะสืบหาคือ คนเหล่านี้เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับใครอย่างรุนแรงมาบ้าง และนอกจากผู้เสียชีวิตทั้งสี่คนแล้ว ยังมีใครอีกที่เข้าข่ายนี้ ถ้าเรารู้ จะได้ระวังป้องกัน ไม่ให้เขาโดนทำร้ายด้วยวิธีนี้

             ป้องกันได้ด้วยหรือครับ

             การจะทำของใส่ใคร มันต้องมี อะไร บางอย่าง เป็นสื่อแทนตัวของเหยื่อ แล้วของประเภทนั้น มันก็ไม่ใช่อะไรก็ได้ ต้องแล้วแต่ว่าของชิ้นนั้นมีแรงเป็นสื่อแค่ไหน และวิชาของคนร้ายเป็นประเภทใด

             ทีเกื้อฟังแล้วมึน แทบไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในศาสตร์ที่ไม่มีสอนในโรงเรียนตำรวจเลย

             ฟังแล้วผมยังงง ๆ ทีเกื้อพูด สรุปว่าเราจะป้องกันเหยื่อได้ยังไงครับ

             ตอนนี้วิธีป้องกันที่เราทำได้ก่อน คือให้พวกคุณคอยติดตามวีไอพี ที่อยู่ในขอบข่ายเป้าหมาย แล้วรายงานความผิดปกติของคนรอบตัว สิ่งรอบตัว เช่นถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามา หรือมีของสำคัญของเขาหายไป ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเสี่ยงต่อการโดนทำร้าย รีบรายงานมาแล้วผมจะบอกวิธีป้องกันอีกที

             ทีเกื้อฟังแล้วนึกถึงคุณตา นึกถึงบ้านคุณตาซึ่งเขาเคยอาศัยเมื่อตอนเป็นเด็ก จำได้ว่าในห้องพระของคุณตานั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลังมากมาย เด็กอย่างเขาเห็นแล้วขยาด กลัวจนไม่กล้าเข้าไปคนเดียวสักครั้ง

             เอาล่ะ...คุณคงอยากรู้แล้วว่า ต้องไปรับผิดชอบใคร...เปิดซองได้เลย เดี๋ยวผมจะอธิบายรายละเอียดในงานส่วนของคุณอีกที

             ทีเกื้อเปิดซองออก ดึงกระดาษปึกบาง ๆ มาดู เห็นภาพรัฐมนตรีที่ตนต้องติดตามแล้วก็อึ้ง พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




            ปัง...ปัง...ปัง เสียงกระสุนปืนดังเป็นระยะ ทิ้งช่วงห่างเท่ากัน

             ทีเกื้อเล็งเป้า ตั้งสมาธิ เหนี่ยวไกด้วยจิตแน่ว ตรง สูดลมหายใจเบา ๆ เว้นระยะ แล้วเหนี่ยวไกอีกครั้ง รับรู้แรงสะท้อนของปืน เสียงที่ดังเข้ามาในหู

             นัยน์ตามองศูนย์เล็ง เพ่งเป้าหมาย เหนี่ยวไกซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ปล่อยร่างกาย จิตใจ ผสานกลมกลืนอยู่กับจังหวะ สายตา แรงสะท้อน สะเทือนตามธรรมชาติ

             กระสุนหมดแม็ก สไลด์ลูกเลื่อนค้าง ชายหนุ่มค่อยระบายลมหายใจยาว จิตใจที่จดจ่อกับการยิงปืนครู่ใหญ่ช่วยให้ความฟุ้งซ่าน อาการมัว ๆ มึน ๆ ในหัวลดลง

             ทีเกื้อรู้สึกจิตใจ อารมณ์ไม่ปกติตั้งแต่รู้ว่าต้องไปทำงานติดตามใคร อารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจนั้นยังตามเกาะกวนไม่เลิก จึงหาทางเปลี่ยนอารมณ์ด้วยการยิงปืน

             ไงวะไอ้ที เครียดกับงานใหม่ถึงขนาดมายิงปืนระบายอารมณ์เลยเหรอ นภเดินเข้ามาทัก

             ทีเกื้อขึ้นเซฟ ปลดสไลด์ลูกเลื่อน ถอดแมกกาซีน บรรจุกระสุนชุดใหม่โดยไม่ตอบวาจาเพื่อนสนิท

             เฮ้ย เครียดจริงหรือมึง นภคุ้นเคยกับทีเกื้อมากพอที่จะสังเกตอาการเฉย ๆ นิ่ง ๆ ของเขาได้

             ถ้าเป็นแบบนี้หลบได้ควรหลบ ห้ามแหย่เด็ดขาด!

             กูก็โดนงานเหมือนมึงนี่แหละ ยังชิว ๆ เลย เจ้านายสั่งอะไรก็ทำไปตามนั้นแหละว้า...คิดมากทำไม

             กูไม่ได้เครียดเรื่องงาน...อย่าเดาส่งเดช นี่คือการตอบโต้สถานเบา

             อ้าว แล้วเรื่องอะไร นภถาม

             ทีเกื้อใช้การบรรจุแมกกาซีน ดึงลูกเลื่อน ปลดเซฟ เตรียมยิงแทนการตอบ นภถอยหลัง ยืนกอดอกรอคอยอย่างใจเย็น

             สายตาเล็งไปที่ศูนย์ และเป้าหมายอีกครั้ง นิ้วเหนี่ยวไกยิงติดต่อกันเป็นชุด ๆ สามสี่ชุดจนกระสุนหมด ค่อยวางปืน หันมาเห็นเพื่อนสนิทยังไม่ไปไหน

             มึงมีธุระอะไรกับกูอีกวะ ทีเกื้อถาม

             วันนี้หมอเอื้อว่างมั้ย กูว่าจะชวนเขาไปดูหนังหน่อย

             มึงก็มีเบอร์เขานี่ ทำไมไม่โทรไปถามเอง

             โธ่เพื่อนรัก จะไม่ช่วยเหลือกันหน่อยเหรอ นภแกล้งทำเสียงอ้อน

             ทีเกื้อถอนใจ นัยน์ตาหดหู่ลง

             ถ้าจะให้กูช่วยมึง...ก็ช่วยได้อย่างเดียวนั่นแหละ คือบอกให้มึงตัดใจจากเอื้อซะ

             อ้าว เฮ้ย... นภงง

             ถ้าเอื้อเขาจะรัก...เขาก็รักมึงนานแล้ว ทีเกื้อพูดช้า ๆ ดวงตาแลเลยจากเพื่อนสนิทไปยังผนังห้องโล่ง

             ของที่ไม่ใช่ของเรา...ยังไงมันก็ไม่ใช่

             ถึงเป็นวาจาบอกต่อเพื่อนสนิท ทีเกื้อก็รู้ดี ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนเสียดแทง และย้ำเตือนตนเองตรง ๆ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - - - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks





แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP