วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เสียงฝีเท้าดังกังวานบนทางเดินยาวที่จะนำไปสู่ห้องดับจิต แสงไฟบริเวณนี้ค่อนข้างสลัว อากาศเย็น เงียบ เอื้อกานต์เดินเป็นจังหวะช้า ๆ ในใจมีความกังวล สงสัยรุมเร้า ถึงผู้ป่วยที่เพิ่งเสียชีวิตล่าสุด

             เธอยังไม่ทราบสาเหตุแท้จริงในการตายนั้น และยิ่งภรรยาผู้ตายไม่ต้องการให้ผ่าพิสูจน์ ก็ยิ่งอยากรู้ว่า ชายผู้มีอิทธิพลคนนั้นตายด้วยสาเหตุใด

             เข้ามาในห้องดับจิต บรรยากาศเงียบ เย็น วังเวง ชวนให้หลายคนตะครั้นใจไม่สามารถอยู่ได้นาน

             เอื้อกานต์เข้าไปยืนดูศพรายล่าสุดที่ยังนอนอยู่บนเตียงเข็น

             ใบหน้าผู้ตายขาวซีด บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมานก่อนตาย ร่องรอยสีแดงเถือกตอนเห็นครั้งแรกหายไปหมด ราวกับถูกความเย็นภายในห้องขับไล่ กระไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างก็จางหาย เหลือเพียงสภาพศพเย็นชืด

             เอื้อกานต์เอื้อมมือแตะข้อมือศพเบา ๆ หลับตาลง ผ่อนลมหายใจจนจิตสงบ เปิดสัมผัสภายในให้กว้าง เชื่อมโยงกับร่างตรงหน้า

             นิมิตบางอย่างเกิดขึ้น!

             ภาพตุ๊กตาที่ดำ กรอบเกรียม และป่นเป็นขี้เถ้าเหมือนถูกไฟไหม้ปรากฏขึ้น

             ลมหายใจถูกระบายออกเบา ๆ เปิดเปลือกตา ถอนปลายนิ้วจากข้อมือผู้ตาย ภาพนิมิตยังค้างคาความทรงจำ มันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

             เอื้อกานต์รู้แค่ว่า...ชายคนนี้ไม่ได้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรืออุบัติเหตุใด ๆ เลย



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



            ทีเกื้อหลับตา นอนพักผ่อนสองสามชั่วโมง บาดแผลที่โดนยิงก็เริ่มแสดงอาการปวด ปลุกเขาให้รู้สึกตัวขึ้นมา

             เวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่ ผู้ป่วยคนอื่นในห้องรวมเดียวกันยังหลับสนิท ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดมิด ไม่มีร่องรอยของอรุณมาเยือนให้เห็น

             ประสาทหูชายหนุ่มแว่วเสียงเปิดประตูเบา ๆ สายตาเลื่อนไปทางต้นเสียง พบกับร่างในเสื้อกาวน์เดินเข้ามาหา สีขาวของชุดดูสว่างชวนให้อบอุ่นใจ

             ไม่รู้จักหลับนอนบ้างเหรอคุณหมอ...คนไข้ไม่หนีไปไหนหรอก ไม่ต้องมาคุม ทีเกื้อพูดเบาๆ

             คุณหมอสาวลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง มองหน้าผู้ป่วยเหมือนเห็นเด็กชายซน ๆ คนหนึ่ง

             ไม่ได้มาคุม เสียงเอื้อกานต์กังวานใส เอื้อมมือไปแตะผ้าพันแผลที่หัวไหล่ชายหนุ่มอย่างเบามือ

             เอื้อ...ไม่ต้องหรอก ทีเกื้อบอกเสียงอ่อนโยน รู้ว่าพี่สาวตนเองกำลังจะทำอะไร

             เปลืองแรงเปล่า ๆ เกื้อไม่ปวดเท่าไหร่หรอก พูดทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่าย เข้าใจ อาการบาดเจ็บตนกระจ่างขนาดไหน

             หมอเอื้อกานต์ยิ้ม มองลึกเข้าไปในดวงตาชายหนุ่ม

             พรุ่งนี้ตั้งใจจะออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ...ถ้าไม่ ช่วย แบบนี้ อาการปวดก็ไม่หายง่าย ๆ หรอก แผลอาจอักเสบได้ คราวนี้ต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองสามวันเป็นอย่างน้อย เอามั้ย

             ชายหนุ่มถอนใจ ไม่เถียง เอื้อกานต์ดึงมือเขาขึ้นมาเกาะกุม กระชับแน่น ทีเกื้อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ระบายลมหายใจยาว สัมผัสถึงลมหายใจเข้าออกของอีกฝ่าย รับรู้จังหวะเต้นของหัวใจหญิงสาว

             ไม่นานลมหายใจของทีเกื้อและเอื้อกานต์ก็เข้าออก สั้นยาวเป็นจังหวะเดียว ผสานกันเสมือนหนึ่งลมหายใจ

             กระแสอันอบอุ่น นุ่มนวลไหลผ่านจากฝ่ามือคุณหมอ เข้าสู่กลางฝ่ามือนายตำรวจหนุ่ม แล้วค่อยซึมแทรกขึ้นมาตามท่อนแขนจนถึงหัวไหล่ ก่อนจะกระจายเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณที่เจ็บปวด และค่อย ๆ เยียวยา ผสานบาดแผลอย่างเชื่องช้า

             มันเป็นการรักษาแบบ พิเศษ ที่พี่น้องฝาแฝดรู้กันแค่สองคน มันคือความลับที่ถูกเก็บซ่อนมานานนับสิบปี



             เมื่อยังเยาว์วัย เด็กชายทีเกื้อมีนิสัยซุกซน ชอบเล่นโลดโผน ท้าทาย บางทีก็แอบหนีแม่กับพี่สาวไปเล่นนอกบ้านเป็นวัน ๆ จนเย็นย่ำก็ไม่ค่อยกลับบ้าน

             แม่ต้องให้ผู้เป็นพี่สาวออกไปตาม เพราะรู้ว่า ต่อให้เจ้าวายร้ายแฝดชายไปหลบอยู่ไหน แฝดหญิงผู้พี่ก็จะมีความสามารถ รู้ และตามเจอได้ทุกคราว

             แม่หนูน้อยออกไปตามหาน้องชายตามคำสั่งแม่ แต่เพียงแค่วิ่งพ้นประตูบ้านก็สะดุ้งสุดตัว เจ็บแปลบที่หัวเข่า นิมิต เห็น น้องชายตกต้นไม้นอนลุกไม่ขึ้น

             กำลังจะกลับเข้าบ้านไปบอกให้แม่ออกมาช่วย ก็นึกได้ว่า...แม่เคยขู่ไว้...

             ถ้าเจ้าเกื้อมันเล่นซนจนเจ็บตัวอีก แม่จะตีซ้ำ!”

             ด้วยความที่กลัวน้องชายจะถูกตีจริง ๆ จึงรีบวิ่งจู๊ดไปหาคนเจ็บก่อน เห็นเจ้าตัวป้อมที่เพิ่งตกต้นไม้กำลังขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทางเจ็บไม่เบา

             ทำไมถึงตกมาล่ะ เด็กหญิงนั่งยอง ๆ ถาม

             ก็...มันลื่น เด็กชายแข็งใจตอบ

             เจ็บตรงไหนหรือเปล่า

             ไม่...ไม่เจ็บเลย ทีเกื้อตอบเมิน ๆ ไม่ยอมสบตาพี่สาว

             ไม่เจ็บก็ลุกซิ... รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บจริง ก็ยังแกล้งพูด

             ทีเกื้อกัดฟัน แข็งใจขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ล้มแผละแข้งขาไม่ทำตามคำสั่ง

             เดี๋ยวเอื้อจะไปบอกแม่ให้มาช่วยนะ เด็กหญิงลุกขึ้นเริ่มเป็นห่วงน้องชายจริง ๆ

             ไม่เอ๊า... เจ้าตัวซนรีบร้องลั่น ก่อนบอกเสียงอ่อย เดี๋ยวโดนแม่ตี

             ที่จริงการถูกแม่ตี ยังเจ็บน้อยกว่าตกต้นไม้เสียอีก เจ้าตัวป้อมกลับกลัวแม่มากกว่าห่วงอาการของตัวเอง

             เด็กหญิงนั่งลง เห็นท่าทางน้องชายแล้วก็เข้าใจ...สำหรับทีเกื้อ...การถูกตี แปลว่าแม่รักเขาน้อยกว่าพี่สาว...

             งั้นตามใครดีล่ะ พี่สาวถามอย่างไม่รู้จะช่วยยังไง

             เดี๋ยวหายเจ็บเค้าก็ลุกได้เอง ทีเกื้อบอกอย่างมั่นใจ

             เอื้อกานต์มองน้องชายด้วยจิตใจเป็นห่วง อยากช่วยเหลือ...และโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยนก็ก่อขึ้นในจิตใจ เกิดความตั้งมั่นขึ้นมาโดยไม่ได้บังคับ สายตาแลทะลุร่างป้อม ๆ ตรงหน้าเหมือนผ่านเครื่องเอ็กซ์เรย์ เห็นร่างกายภายในเป็นโครงกระดูก เส้นเอ็น กระจ่างชัด จนเห็นถึงที่มาของอาการบาดเจ็บอีกฝ่าย

             หัวเข่าหลุดนี่เกื้อ จะหายเจ็บเองได้เหรอ คำพูดซื่อ ๆ นัยน์ตาแลตรง จิตใจมีกำลังอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

             เค้าเป็นผู้ชาย เจ็บแค่นี้ทนได้ เดี๋ยวก็หายแน่ๆ อีกฝ่ายไม่สงสัยเรื่องที่พี่สาวรู้ ตัวเขาไม่มีความสามารถเช่นนั้น แต่ความเข้มแข็งของกายและใจ ไม่เคยเป็นรองใคร

             ถึงจะเป็นเด็ก เอื้อกานต์ก็รู้ว่าทีเกื้อใจเด็ดแค่ไหน ความใกล้ชิด ผูกพัน รู้ใจกันทำให้เด็กหญิงเกิดความรู้สึก อยากจะช่วย น้องชายอย่างแรงกล้า และขณะนั้นก็มีพลังบางอย่างก่อตัวขึ้น หมุนเวียนอยู่ในกาย เป็นพลังที่เจ้าตัว รู้ เองอย่างไม่มีเหตุผลว่า มันสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บได้

             มา...เดี๋ยวเอื้อรักษาให้ พูดจบก็เอื้อมมือไปแตะที่หัวเข่าทีเกื้อ นัยน์ตาหลับลง ภาพในหัวปรากฏเป็นนิมิตกระดูกหัวเข่าที่หลุด และเห็นเส้นใยบางอย่างที่ยุ่งเหยิง ตีบตัน ต้นเหตุให้เกิดอาการเจ็บปวด

             เพียงแค่รู้สึก...อาทร รักษา...พลังที่หมุนเวียนในตนก็ถ่ายเทออกมาทางฝ่ามือ ไหลเป็นเหมือนลำธารเส้นตรง เข้าไปแก้ไขเส้นใยที่ตีบตัน ยุ่งเหยิง และค่อย ๆ ดึงกระดูกให้กลับเข้าที่...

             เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หัวเข่าที่หลุดก็เข้าที่ อาการเจ็บปวดผ่อนคลาย หายเกือบหมด ทีเกื้อลุกขึ้นยืน ร่างกายเป็นปกติ มองพี่สาวตนอย่างทึ่งแกมชื่นชม

             เอื้อ...ทำได้ยังไงน่ะ

             ไม่รู้สิ เด็กหญิงตอบตามตรง ประสบการณ์การรักษาแบบพิเศษครั้งแรกนี้ มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ

             หือ...เป็นไปได้ไงน่ะ ผู้เป็นน้องชายเกิดความสงสัย แต่เพียงชั่วขณะเดียวก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา

             โห...ถ้าทำได้ยังงี้น่าไปเป็นหมอเนอะ

             จริงเหรอ ผู้พูดสงสัยความสามารถตนเอง

             แล้วเอื้อทำแบบนี้กับคนอื่นได้หรือเปล่า ทีเกื้อถาม

             ไม่รู้สิ คุณหมอตัวน้อยตอบไม่ได้

             ขณะที่พูดเช่นนั้นนั้น จิตใจก็คิดถึงการได้ช่วยเหลือ รักษาผู้อื่น ทำให้ผู้คนมากมายหายจากความทุกข์ทรมาน แล้วความอบอุ่น สุขใจอย่างใหญ่ก็เกิดขึ้น เป็นปีติพองฟูแน่นล้นหัวอก

             ดีจัง...ถ้าเอื้อเป็นหมอ แล้วช่วยรักษาคนให้หายเจ็บป่วยได้เยอะ ๆแบบนี้ ยิ่งพูดคำนี้ออกมา จิตใจยิ่งเบิกบาน ราวกับตนมีพลังปาฏิหาริย์ สามารถช่วยรักษาคนได้ทั้งโลก

             ถ้าเอื้อเป็นหมอ...เกื้อก็จะเป็นตำรวจอย่างคุณตาดีมั้ย...บาดเจ็บมาก็ไม่กลัว ให้เอื้อรักษาได้ เด็กชายพูดอย่างร่าเริง และเอ่ยถึงคุณตา ผู้เป็นฮีโร่ในดวงใจ

             สองฝาแฝดหัวเราะอย่างมีความสุข โดยไม่อาจรู้ว่า จากประสบการณ์และคำพูดต่อกันในครั้งนี้ จะบอกถึงเส้นทางวันข้างหน้าของทั้งคู่อย่างถูกต้องแม่นยำ ราวกับพยากรณ์ตัวเองเอาไว้



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



บทที่ ๒



             เที่ยงเศษ

             ทีเกื้อลงจากเตียงคนป่วย เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวกลับบ้าน พอออกจากห้องน้ำก็พบเพื่อนตำรวจ แต่งกายครึ่งท่อน ยืนมองหาเขาอยู่ในห้องผู้ป่วยรวม

             มองหาใครวะ ทีเกื้อทัก

             ไอ้ห่าที อีกฝ่ายสะดุ้ง หันมาด่า กูไม่เห็นมึงบนเตียง คิดว่าเขาเอาไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิตซะแล้ว

             ไอ้ห่านภ ชายหนุ่มใช้คำพูดฝ่ายตรงข้ามย้อนคืน อย่างกูเขาไม่เอาไว้ที่ห้องดับจิตหรอก...เสียเวลา

             ขึ้นเมรุเลยใช่มั้ย

             เออ...เมรุเตี่ยมึงสิ กูกำลังจะกลับบ้านแล้ว

             โดนยิงหรือแค่หกล้มหัวแตกวะ ทำไมหมอเอื้อปล่อยมึงกลับเร็วนัก

             กูไม่ได้เป็นอะไรมาก จะเก็บไว้ให้หนักเตียงโรงพยาบาลทำไม

             พูดจบทีเกื้อก็เดินนำเพื่อนออกจากห้องผู้ป่วย ทอดน่องช้า ๆ บนทางเดินริมระเบียง นภเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยนักเรียนนายร้อย พอจบก็แยกย้ายทำงานกันคนละที่ แต่ยังติดต่อรู้ข่าวคราวกันสม่ำเสมอ

             จะออกจากโรงพยาบาลทั้งทีไม่ไปบอกกล่าวขออนุญาตคุณหมอเขาก่อนเหรอ นภเอ่ยปากลอย ๆ

             ทีเกื้อยิ้มรู้ทัน

             เอื้อมันบอกให้กูกลับได้แล้ว จะต้องไปขออนุญาตอะไรอีก...ยกเว้นมึงอยากเจอพี่สาวกู

             นภยิ้มรับ นัยน์ตาเป็นประกาย

             นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว หมอเอื้อกินข้าวหรือยังไม่รู้ ถ้ายังไงจะได้ชวนกินข้าวด้วยกัน

             คนป่วยไม่ตอบวาจา เปลี่ยนทิศทางจากลิฟต์ ไปยังห้องพักแพทย์ ที่เขารู้ว่าเอื้อกานต์ยังไม่ออกไปไหน



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -  - - -   - - -   - - -



            เอื้อกานต์ออกเวรแล้ว ยังไม่ไปไหน มีงานด่วนเพิ่งเข้ามา ต้องนั่งทำรายงานรายละเอียดการตายของนายเกริกภพให้เสร็จเรียบร้อยส่ง ผอ.โรงพยาบาลโดยด่วน

             การตายของนายเกริกภพไม่ใช่เรื่องที่จบกันง่าย ๆ แค่รับศพไปบำเพ็ญกุศลเงียบ ๆ เสียแล้ว เมื่อนักข่าวรู้เรื่องการตายของคนดังผู้นี้ อีกทั้งยังได้ข้อมูลจากทางญาติผู้เสียชีวิต ว่าเป็นการตายแบบไม่ปกติ จึงแจ้งทางโรงพยาบาล ขอให้แถลงข่าว อธิบายสาเหตุการตาย และขั้นตอนการรักษาอย่างชัดเจน

             เอื้อกานต์คิดว่าภรรยาผู้เสียชีวิตคงต้องการให้เรื่องนี้จบเงียบ ๆ บุตรชายกับลูกน้องเขาคงไม่ยอม แอบไปบอกนักข่าว เพื่อให้สื่อมากดดัน ทั้งทางโรงพยาบาลและภรรยาผู้ตาย

             ในฐานะแพทย์เวร เอื้อกานต์จึงต้องไปตรวจศพพร้อมกับ ผอ. และแพทย์เฉพาะทางอีกครั้ง แล้วจึงมานั่งเขียนรายงานให้เสร็จก่อนบ่าย

             เพิ่งเขียนรายงานเสร็จ อ่านทวน สั่งพิมพ์ ประตูห้องพักแพทย์แง้มออก ใบหน้าคนคุ้นเคยโผล่มา

             มีอะไรเกื้อ...ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก เอื้อกานต์ถาม

             กินข้าวหรือยัง มีคนอยากเป็นเจ้ามือ ทีเกื้อพูดหน้าตาเฉย

             หญิงสาวขยับจะถามว่า เป็นใคร พอดีเห็นชายหนุ่มอีกคนเดินตามน้องชายเข้ามาในห้อง

             นภ...มาเยี่ยมเกื้อเหรอ คุณหมอทัก

             ทีแรกตั้งใจอย่างนั้นแหละหมอเอื้อ แต่ดูอาการมันแล้วไม่น่าห่วงเท่าที่คิดเลย

             อือ จริง...เกื้อดวงแข็ง เอาไว้กระสุนเจาะกะโหลกเมื่อไหร่ค่อยห่วงก็ยังทัน เอื้อกานต์หยอกน้องชาย

             ทีเกื้อไม่สนใจ สายตาเหลือบเห็นรายงานที่กำลังพิมพ์จากคอมพ์ของพี่สาว

             ทำอะไรอยู่น่ะ เขาถาม

             เขียนรายงานผลตรวจการตายของนายเกริกภพ บ่ายนี้จะมีการแถลงข่าว

             เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียว ทีเกื้อสงสัย

             นายเกริกภพนี่เป็นมาเฟียคนดังในย่านนี้นี่ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตายแล้ว นภเสริมขึ้น

             ทีเกื้อก้มมองรายงาน ก่อนเงยหน้าสบตาพี่สาว สัมผัสถึงความขุ่นมัวบางอย่าง คล้ายจะบอกว่า รายงานฉบับนี้ เจ้าตัวฝืนเขียนไปตามหลักฐานการตรวจของแพทย์ ไม่ได้เขียนอย่างที่เธอ รู้ จริง ๆ

             เรื่องนี้หรือเปล่า...ที่เป็นปัญหา บอกว่าจะเล่าให้ฟังเมื่อคืน ชายหนุ่มย้อนความจำ

             อือ... คุณหมอยอมรับ ไปกินข้าวกันเถอะ แต่ขอกินที่โรงพยาบาลนี่แหละนะ ถ้าออกไปกินข้างนอก เดี๋ยวกลับมาเอารายงานให้ ผอ. ไม่ทัน

             สองหนุ่มไม่มีปัญหา หญิงสาวรวบรวมรายงานที่เพิ่งพิมพ์เสร็จใส่แฟ้มวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบกระเป๋าเดินนำออกจากห้อง



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



            วงสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่เคร่งเครียดนัก เรื่องที่คุยส่วนใหญ่ จะเกี่ยวกับนายเกริกภพ ซึ่งเอื้อกานต์ไม่ได้ให้รายละเอียดการตายแบบลึกซึ้งอะไร คนที่รู้ข้อมูลมาเฟียคนนี้ดีกลับเป็นนภ ผู้เคยทำคดีเกี่ยวข้องกับนายเกริกภพมาหลายคดี

             พวกธุรกิจมืด ๆ หลายอย่างมีนายคนนี้อยู่เบื้องหลังทั้งนั้น แต่ไม่มีใครสาวไปถึงตัวเขาได้เลย ธุรกิจบังหน้าที่เขาใช้ฟอกเงิน ก็ตรวจสอบไม่พบหลักฐานทุจริตอะไร มันดูสะอาดมาก ๆ เขาสร้างภาพไว้ดี เห็นว่าเตรียมตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้านี้ด้วยซ้ำ

             มีใครเป็นแบ็คให้เขาบ้าง ทีเกื้อถาม

             หลายคน...เป็นคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองเวลานี้ทั้งนั้น มันทำงานเบื้องหลัง หาเงินสนับสนุนให้ ถึงไม่มีใครกล้าแตะมันได้ไง...เฮ้ย...อย่าพูดไปนะ...ขนาดรัฐมนตรีธีรนัฐ ที่ว่ามือสะอาด ก็ยังมีข่าวว่าเคยใช้งานนายเกริกภพนี่เลย

             ขณะชื่อรัฐมนตรีธีรนัฐหลุดออกมา แววตาทีเกื้อก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเข้มขึ้น ทอประกายกล้าแข็ง จนพี่สาวต้องหันมามอง

             ยังดีนะ ที่บ่ายนี้ ผอ.เป็นคนออกหน้า แถลงข่าว ให้สัมภาษณ์เอง แต่เอื้อก็ต้องร่วมนั่งโต๊ะด้วย ไปไหนไม่ได้ เพราะดันเป็นแพทย์เวรเมื่อคืน

             หญิงสาวพยายามพูดอีกเรื่อง เพื่อดึงให้ห่างจากชื่อรัฐมนตรีคนนั้น

             บ่ายนี้ผมว่าง ไปนั่งฟังแถลงข่าวด้วยคนได้มั้ย นภเสนอตัว

             น่าจะได้นะ เขาไม่ได้ปิดกั้นอะไรนี่ เอื้อกานต์ตอบรับ

             ไอ้ที...อยู่ฟังด้วยกันไหม นภหันไปถามเพื่อน

             กูต้องกลับไปที่หน่วยฯก่อน ทีเกื้อตอบ

             ไหนบอกว่าจะกลับไปนอนที่บ้าน คุณหมอซักไซ้

             เคลียร์งานเมื่อคืนเสร็จ แล้วค่อยกลับไปนอนบ้านก็ได้ ชายหนุ่มเลี่ยง

             แผลอาจระบมได้นะ

             จะระวังน่า... ผู้พูดรู้ว่าพี่สาวเตือนไปอย่างนั้นเอง

             หลังจากการรักษาแบบ พิเศษ เมื่อคืนนี้ ถึงปากแผลจะไม่ถึงขั้นปิดสนิท อาการปวดระบม อักเสบรับรองได้ว่าไม่เกิด อาจมีบ้างแค่ตึง ๆ แปลบ ๆ นิดหน่อยตรงหัวไหล่ พอให้รู้ว่ามันยังไม่ปกติร้อยเปอร์เซ็นต์



             อ๋อ...ไอ้คดีจับพวกค้ายา ที่มึงโดนยิงมาเมื่อคืนใช่ไหม นภเอ่ยขึ้น ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว พวกลูกน้องกับเจ้านายมึงเขาจะจัดการต่อให้เสร็จเอง

             รู้ได้ไงวะ ทีเกื้อถาม

             หนอย...แล้วคิดว่ากูรู้เรื่องมึงโดนยิงมาจากไหนล่ะ...ก็ลูกน้องมึงนั่นแหละ โทรมารายงานกูเสร็จสรรพ แถมยังฝากบอกด้วยว่า พักผ่อนเยอะ ๆ ไม่ต้องห่วงงานทางนี้ แล้วตอนเย็นพวกเขาจะยกโขยงมาเยี่ยมมึง...ใครจะไปคิดล่ะว่ามึงจะออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขนาดนี้

             ทีเกื้อแอบสบตาพี่สาว ถ้าไม่มีเอื้อกานต์ เขาคงต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองสามวันเป็นอย่างน้อย การที่ตนเองทุเลาอาการบาดเจ็บเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ชวนพูดถึงให้ใครสงสัยมากนัก จึงรีบตัดบทสั้น ๆ

             เออ...กูอยู่เป็นเพื่อนมึงก็ได้

             พูดจบรู้สึกหนักอกประหลาด เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้า ว่าอาจพบอันตรายที่คาดไม่ถึง ควรระวังตัว

             ทีเกื้อสูดลมหายใจลึก ๆ สายตามองตรงนัยน์ตาพี่สาว จิตมีความแน่วแน่ ส่งคำถามในใจไปสั้น ๆ

             เอื้อ...นายเกริกภพถูกฆาตกรรมใช่ไหม

             น่าจะ...ใช่

             คำตอบที่ได้ทำให้เขาระบายลมหายใจยาว...เข้าใจแล้ว...

             สองพี่น้องมักใช้การสื่อสารทางใจเช่นนี้ เวลาต้องการปกปิดเรื่องราวที่คุย ไม่ให้คนนอกรู้เรื่อง เพราะบางครั้ง บางเรื่อง ใช่ว่าจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ง่าย ๆ

             เช่นเรื่องนี้ เอื้อกานต์รู้ว่านายเกริกภพไม่ได้ตายตามธรรมชาติ แต่หลักฐานทางการแพทย์ไม่สนับสนุน เธอจะพูดให้ใครเชื่อก็ไม่มีประโยชน์

             ทีเกื้อรับรู้ถึงความขุ่น อารมณ์สับสนของพี่สาว ประกอบกับได้ยินเรื่องราวของนายเกริกภพ และเกิดสัญญาณอันตรายขึ้นในใจ จึงตั้งคำถามกับพี่สาวด้วยช่องทางพิเศษ

             พอได้คำตอบ ประกายตาของทีเกื้อนุ่มนวล อ่อนโยนลง แทนคำพูดสื่อบอกไปว่า...ไม่ต้องห่วง...เขาจะอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่ามีเรื่องร้ายใด...ไม่ต้องกลัว



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



            ห้องแถลงข่าว

             โต๊ะแถลงข่าวถูกตั้งบนเวทียกพื้นสูง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นคนนั่งอ่านรายงานแพทย์ ด้านข้างเป็นเก้าอี้นั่งสำหรับแพทย์เวร และแพทย์เฉพาะทาง ผู้ที่จะให้คำตอบเพิ่มเติม ในกรณีที่นักข่าวหรือญาติผู้เสียชีวิตต้องการความกระจ่างกว่าเดิม

             นักข่าวกลุ่มใหญ่ตั้งกล้องทีวี กล้องถ่ายรูปห้อมล้อมเวทีแถลงข่าว แสงแฟลชสว่างเป็นระยะ ใกล้กับกลุ่มนักข่าวจะเป็นญาติผู้เสียชีวิตมานั่งฟัง พร้อมเตรียมคำถามชุดใหญ่ให้กับทางโรงพยาบาล

             ทีเกื้อกับนภนั่งฟังอยู่หลังห้อง ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเดียว สำหรับนภแล้ว เขาไม่สนใจสาเหตุการตายของนายเกริกภพ มากไปกว่าอยากอยู่ให้กำลังใจคุณหมอสาว



             ทีเกื้อรู้มานานแล้วว่าเพื่อนสนิทตนสนใจ ชอบเอื้อกานต์มากขนาดไหน ทั้งพยายามหาโอกาสใกล้ชิด สนิทสนม พูดคุย กระทั่งชวนออกเดทด้วยหลายครั้ง คุณหมอก็ไม่ยอมรับไมตรีเหล่านั้นสักที

             ความสนิทสนมที่เธอมีให้เพื่อนน้องชาย ไม่ต่างจากเห็นเป็นน้องอีกคน ...ทีเกื้อเคยเล่าให้นภฟังนานแล้วว่า เอื้อกานต์มีใครคนหนึ่งอยู่ในหัวใจ และคน ๆ นั้นยังไม่เลือนหายไปจากใจเธอ

             ผู้ชายที่เอื้อกานต์รัก เป็นผู้ชายซึ่งทีเกื้อออกปากว่า เป็นคนดี ที่กูนับถือใจเขา

             นภอาจยอมแพ้ ถ้าหากชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่!

             คนดีที่ตายไปแล้ว กับคนที่อาจไม่ดีเท่า...แต่ยังอยู่ใกล้ ๆ เธอ

             นภเชื่อว่าเขายังมีโอกาส...



             ทีเกื้อให้ความสนใจรายงานแพทย์ในระดับหนึ่ง นั่งฟังคำถามจากนักข่าว และคำอธิบายจากทางโรงพยาบาลอย่างตั้งใจ จนอยากจะเชื่อว่า...นายเกริกภพ ตายด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจริง

             ทว่าเขารู้จากเอื้อกานต์มาก่อนแล้ว ว่ามันเป็นการตายผิดปกติ...และน่าจะเป็นการฆาตกรรมด้วยซ้ำ!

             แต่การฆาตกรรมเช่นไร ถึงไร้ร่องรอยขนาดนี้ แนบเนียนชนิดที่การตรวจสอบทางแพทย์ไม่สามารถจับพิรุธได้

             ผอ.โรงพยาบาลสามารถตอบคำถามจากนักข่าว และญาติผู้ป่วยได้ทุกประเด็น พร้อมมีหลักฐานภาพถ่ายมายืนยัน อีกทั้งกล้าให้ทุกคนที่สนใจไปดูสภาพศพจริง ๆ ในปัจจุบันได้

             ระหว่างการซักถามเพิ่มเติม ทีเกื้อคร้านจะฟังต่อ จึงบอกนภ จะไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นลุกจากเก้าอี้เดินไปยังประตู กำลังจะผลักบานออก ฝีเท้ากลับสะดุดกึก เย็นสันหลังวาบ

             สัมผัสภายในบอก มีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เป็นการมองที่ไม่มีประสงค์ร้าย แต่จับจ้องเป็นพิเศษ จนเขารู้สึกตัว

             ทีเกื้อถอยจากประตู หันกลับมาช้า ๆ ไม่แสดงอาการผิดสังเกต สายตามองกลุ่มนักข่าวที่ยังหันหลังให้ กวาดตามองทุกคนในห้อง ไม่พบใครกำลังมองเขาแม้สักคนเดียว

             มีสิ เสียงในใจบอกเช่นนั้น

             ชายหนุ่มคุ้นเคยจนเชื่อในสัมผัสเร้นลับของตนดี เขาจึงมั่นใจว่ามีใครบางคนกำลังมองเขาอยู่จริง ๆ และคนนั้นอยู่ไม่ห่างเลย

             มวลอากาศใกล้ตัวเกิดการควบแน่นผิดปกติ เหมือนมีอาคันตุกะที่มองไม่เห็นยืนนิ่งจับจ้องไม่วางตา กลิ่นฉุนลอยมาจาง ๆ บอกไม่ถูกมาจากไหน มันเข้าครอบคลุมสติสัมปชัญญะทีเกื้อเบา ๆ

             ความเบาบาง เจือจางของมัน อาจทำให้รู้สึกไม่มีอันตรายใด...ทว่าชายหนุ่มกลับมึนเบลอ โลกหมุน วิงเวียน ตาพร่า สติขาดหายไปวูบหนึ่ง

             วูบที่สติขาดหาย ไม่รู้สึกตัวนั้นเอง ก็มีเงาจาง ๆ ลมเบา ๆ พัดผ่าน ประตูเปิดออก และมีใครบางคนเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP