วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๑


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

 

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



บทนำเรื่อง



             จันทร์เต็มดวงทรงกลดทอรัศมีเป็นวงซ้อน ๆ แสงนวลกระจ่างขับเน้นให้เดือนเด่นฟ้า กลบหมู่ดาวจนอับแสง หลีกเร้น ลับหาย

             ท้องฟ้าใต้แสงจันทร์สุกสว่าง ไร้หมู่เมฆมาบดบัง แลเห็นบ้านหลังใหญ่สีขาวตั้งตระหง่านโดดเดี่ยว ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อมเป็นชั้น เป็นแถวแนวระเบียบ จนสายตาบุคคลภายนอกยากจะสามารถสอดส่องเข้ามาได้

             บรรยากาศรอบบ้านสงบงัน ร้างผู้คน ทว่า...หากใครลองเงี่ยหูสักนิด จะได้ยินเสียงแว่วเบา ๆ เมื่อค่อยไล่ตามกระแสเสียงนั้น จากนอกบ้านเข้าไปตามช่องลมอันมืดมิด เสียงแผ่วเบาค่อยสดับชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

             ช่องลมที่แรกตามเข้ามามันมืดมิด คล้ายถ้ำดำลึก พอตามลงไปเรื่อย จะเริ่มเห็นแสงสลัวรางที่ค่อย ๆ สว่างทีละน้อย ทีละน้อย

             แสงสว่างมาพร้อมกับเนื้อเสียงที่คมชัด ดังกังวาน ยากฟังออกว่าเป็นภาษาใด ถ้อยคำที่หลุดออกมาแต่ละคำล้วนทรงพลังอันลึกลับ พลังนั้นมีกระแสความดำมืด ความเกลียดชัง ขุ่นเคือง มันไม่ได้เป็นแค่ความเกลียดชัง ขุ่นเคืองแบบสามัญธรรมดา

             ความขุ่นเคือง โกรธแค้นนี้ ถูกถักทอออกเป็นแหอันหนาแน่น มืดสนิท มีคมและอาบด้วยพิษร้ายไม่อาจหาโอสถใดมาแก้ไข รักษาได้

             ถ้อยคำถูกสวดเป็นจังหวะกระชั้น เร่งเร้า กระแทกกระทั้น มีเจตนาส่งมันออกไปถึงใครบางคน

             คนนั้น...คือเป้าหมายแห่งความพยาบาท เกลียดชัง

             ตามแสงสว่างลึกลงไป ลึกลงไป ก็จะเห็นที่มาของมัน ซึ่งเป็นเทียนเล่มน้อยเพียงดวงเดียว แสงจากเทียนดวงเล็กสามารถส่องให้ห้องที่ดูคล้ายอุโมงค์ลึกลับสว่างไสวขึ้น จนมองเห็นบางสิ่งที่ติดอยู่บนผนังได้ชัดเจน

             บนผนัง มีตุ๊กตาที่พับจากกระดาษขนาดครึ่งฝ่ามือติดอยู่ บนกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือเขียนตัวอักษรซึ่งไม่อาจอ่านเนื้อความออก ที่พอจะสังเกตชัดก็เป็นลายเซ็นชื่อตรงท้ายกระดาษ ปรากฏเป็นตัวอักษร

             เสียงสวดดังกระชั้น เร่งเร้า ก้องกังวานทั่วห้องลับ บรรยากาศ อับทึบ หนาแน่น สิ่งที่ไร้ตัวตนบางอย่างขยายตัวรวดเร็ว มันคือกระแสดำมืดแห่งโทสะที่เติบกล้า แข็งแกร่ง บีบให้ห้องนั้นอึดอัดแทบระเบิด

             กระแสนั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจ และหากจะมีปฏิกิริยาใดยืนยันความมีอยู่ของมัน สิ่งนั้นก็กำลังปรากฏอยู่บนผนังห้อง

             ปรากฏจุดสีดำขึ้นตรงกลางตุ๊กตากระดาษ มันขยายวงกว้างทีละน้อยคล้ายโดนความร้อนสูงแผดเผา โดยไม่มีเปลวอัคคีสัมผัสแม้สักน้อย

             จุดสีดำขยายตัวรวดเร็วขึ้น พร้อมกับเสียงสวดเร่งเร้า ร้อนแรงขึ้นทุกขณะ...

สุดท้าย ตุ๊กตากระดาษก็กลายเป็นสีดำสนิท กรอบเกรียม ค่อย ๆ ป่นเป็นฝุ่นผงดำร่วงลงพื้นทีละน้อย

             เสียงสวดแผ่วเบา จางลง จางลง...เปลวเทียนสว่างไสวค่อยหรุบลู่ หรี่แสง ราวกับเชื้อเพลิงพิเศษที่เคยมีถูกพรากออกไป

             ถอยออกจากช่องลม ความมืดค่อยโรยตัว ไล่ตามมาช้า ๆ เรื่อย ๆ จนหลุดออกมาอยู่นอกบ้านหลังใหญ่นั้น

             แสงทรงกลดของจันทร์เพ็ญหายไปแล้ว เมฆสีเทาเคลื่อนมาบดบังรัศมีฉายทีละน้อย ฟากฟ้าราตรีมิอาจสว่างนวลเช่นเคย

             บ้านสีขาวตกอยู่ใต้เงาหม่นมืด เงียบกริบ ไร้สรรพเสียงใด ๆ ราวกับว่า...ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย...แม้สักคนเดียว

 

 

- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -




บทที่ ๑



             ลึกเข้าไปจากถนน แลเห็นตึกสูงห้าชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จ ปล่อยร้างจนวัชพืชปกคลุม ฝนพรำเป็นเส้นบาง ๆ สะท้อนแสงไฟริมถนน นานครั้งจะเห็นรถผ่านมาสักคัน

             ตึกนั้นซ่อนตัวอยู่หลังพงป่าหญ้ารก มองเห็นเค้าโครงราง ๆ ของต้นเสาและผนังแต่ละชั้นที่ก่อสร้างเพียงครึ่ง ๆ ภายในมีมุมมืดเร้นลับที่ไม่อาจสอดสายตาสังเกตได้

             ภายใต้ความสลัวราง เงียบสงัด ถูกแทรกด้วยเสียงสวบสาบเบา ๆ เงาดำสี่ห้าร่าง ท่าทางประเปรียวกระจายกำลังกันล้อมตึกนั้นไว้หลวม ๆ ก่อนจะกระชับเข้ามาแทบปราศจากซุ่มเสียงผิดปกติ

             ผู้นำเป็นชายหนุ่มร่างสูงเพรียว โครงหน้าคม สันจมูกโด่งชัดตัดกับเงามืด นัยน์ตามีประกายเจิดจ้า ดุ ฉับไว เขาหลบอยู่ต้นเสาใกล้บันไดเป็นคนแรก ขณะที่ลูกน้องแต่ละคนกำลังซุ่มตามจุดต่าง ๆ ที่วางแผนตกลงกันไว้

             ทีเกื้อรำคาญเม็ดฝนที่ตกพรำขณะนี้ ถึงมันอาจช่วยกลบร่องรอย ซุ่มเสียงการเคลื่อนไหวของเขาและพรรคพวก แต่บรรยากาศของมันอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความระวังตัวกว่าเดิม

             ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ เงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบน ยังไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวผิดปกติ จึงส่งสัญญาณมือบอกให้ลูกน้องกลุ่มหนึ่งกระชับกำลังเข้ามา ส่วนอีกกลุ่มคอยดักทางหนีของฝ่ายตรงข้าม

             เขาก้าวขึ้นบันไดนำหน้าลูกน้องอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบ สายตาที่ชินกับความมืด ประกอบกับการถูกฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาไม่เกิดเสียงผิดปกติ ขึ้นไปชั้นบนโดยฝ่ายตรงข้ามไม่อาจสำเหนียกรู้ตัวง่าย ๆ

             ถ้าข่าวที่ สาย รายงานมาไม่ผิด พวกมันต่างกบดานกันอยู่ที่ชั้นสี่ เตรียมตัวย้ายคนและ ของ ออกจากที่นี่ก่อนรุ่งเช้า

             ทีเกื้อได้รับข่าวตอนหัวค่ำ จึงระดมกำลังมาโดยเร็วที่สุด พอมาถึง สาย ที่ให้แอบซุ่มรอก็ยืนยันว่าพวกมันยังไม่ไปไหน

             เขาพาลูกน้องขึ้นมาถึงชั้นสอง เปิดหูสดับเสียง สายตามองฝ่าความสลัวราง เงาตะคุ่มเพื่อหาสิ่งผิดปกติ ทว่า...สิ่งที่เห็นคือความสงบนิ่ง เสียงที่ได้ยินคือความเงียบ

             มันนิ่งเกินไป และเงียบสงบจนน่าหวั่นใจ

             ชายหนุ่มก้าวผ่านจากชั้นสองขึ้นสู่ชั้นสาม ส่งสัญญาณมือให้ผู้ติดตามอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม พร้อมกับทิ้งคนไว้ที่ชั้นสองป้องกันพวกมันเล็ดรอดลงมาได้

             ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวขึ้นบันไดเหยียบบนชั้นสาม กระแสบางอย่างก็พุ่งมาปะทะใจรุนแรง มันเหมือนลมร้อน ๆ ที่กดดัน แฝงความอำมหิตปนหวาดกลัวแบบหมาจนตรอก เป็นกระแสที่เข้ามาอย่างเงียบกริบ ไม่ได้ยินด้วยหู ไม่เห็นด้วยตา หากสัมผัสชัดที่ใจ!

             ทีเกื้อรู้...มีอันตรายรออยู่

            พวกมันซุ่มรออยู่ที่ชั้นสาม ไม่ใช่ชั้นสี่อย่างที่สายบอก พวกมันรู้ว่าเขากำลังจะมา แต่หนีไม่ทัน...หนทางเดียวที่เลือกได้คือต้องสู้ตาย!

             สัมผัส...ความเข้าใจจิตใจฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดไหลมาสู่ ความรู้สึก ของเขาในรวดเดียว

             ทีเกื้อรีบส่งสัญญาณมือ ออกคำสั่งให้ลูกน้องรีบหลบเข้าที่กำบัง...แต่...มันช้าไปสำหรับตนเอง

             เปรี้ยง!”

             กระสุนนัดแรกระเบิดขึ้น มือปืนเล็งมายังหน้าอกชายหนุ่มผู้นำทีม ทีเกื้อรู้สึกถึงทิศทาง วิถีกระสุนที่ตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ เขารีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ไม่อาจพ้นเสียทีเดียว คมกระสุนแหวกเข้ามาทะลุผ่านหัวไหล่

             แสงวาบจากปลายกระบอกปืน บอกที่ซ่อนของฝ่ายตรงข้าม เขาจึงสาดกระสุนกลับไปโดยไม่ลังเล อาศัยต้นเสามุมผนังใกล้สุดเป็นที่กำบังตัว จากนั้นเสียงกระสุนจากทั้งสองฝ่ายก็กระหน่ำใส่กันอย่างไม่ยั้ง

             สมรภูมิย่อย ๆ เกิดขึ้น...

             เลือดไหลย้อมหัวไหล่ทีเกื้อ อาการเจ็บปวดยังไม่ปรากฏ เขาต้องรีบจัดการปิดบัญชีพวกมันก่อนร่างกายจะแสดงอาการ

             การต่อสู้นี้ เริ่มต้น และใช้เวลาจบไม่นานนัก



- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -


             เสียงรถหวอดังลั่น ก่อนจะมีการนำผู้ป่วยฉุกเฉินขึ้นเตียงเข็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว รถยนต์ตามมาจอดอีกสองสามคัน จากนั้นคณะผู้ติดตามคนป่วยก็รีบลงจากรถ วิ่งตามเตียงเข็น เข้าไปยังห้องฉุกเฉิน

             หมอ...หมออยู่ไหน รีบมาเดี๋ยวนี้เลย ผู้พูดเป็นชายร่างใหญ่ วางก้าม ลักษณะแบบผู้ติดตามคนใหญ่คนโต

             ไปตามผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาเลยดีกว่า...อาการของ ท่าน หนักขนาดนี้ หมอทั่วไปรักษาไม่ได้หรอก คราวนี้คนพูดเป็นชายร่างเล็ก สวมแว่น แววตาบอกถึงการวางอำนาจจนชิน

             เสียงกลุ่มลูกน้องเอะอะโวยวายดังลั่นห้องฉุกเฉิน ขณะที่หญิงวัยกลางคนภรรยาผู้ป่วยที่เดินมาตามหลังกลับสงบนิ่ง ไม่พูดจาเร่งเร้าว่าต้องการให้มีการรักษา ดูแลคนป่วยเป็นพิเศษกว่าคนอื่นเลย

             เสียงเอะอะเร่งเร้าให้ตามแพทย์เวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดังออกมาจากห้องฉุกเฉินไม่เกินสองสามนาที คุณหมอสาวร่างผอมบาง ใบหน้าเนียนใส ดวงตาคมสวยจัด ผมยาวรวบง่าย ๆ เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แฝงความสง่า และมีพลังบางอย่างที่ทำให้ผู้ชายทั้งหมดหุบปากทันทีเมื่อเธอเดินมาถึงห้องฉุกเฉิน

             พวกคุณออกไปก่อนได้ไหม น้ำเสียงไม่มีการออกคำสั่ง นัยน์ตาคมแลตรงแบบไม่เกรงใคร แต่ก็ไม่ข่มใคร ทำให้อีกฝ่ายเกิดความละอาย รีบออกไปโดยไม่รู้สึกตัว

             เหลือเพียงภรรยาผู้ป่วยที่ยืนเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง คุณหมอสาวเห็นอย่างนั้นจึงยิ้มให้...ยามริมฝีปากของเธอขยับยิ้ม ผู้ที่ได้รับจะรู้สึกถึงความสว่าง อบอุ่นที่บังเกิดขึ้นรอบตัว รู้สึกไว้วางใจคุณหมอสาวคนนี้ขึ้นมาในฉับพลัน

             ม่านถูกรูดปิด พยาบาลต่อเครื่องมือช่วยชีวิตเข้ากับผู้ป่วยอย่างรู้งาน รวดเร็ว แพทย์หญิงดูอาการผู้ป่วย เพียงแวบแรกที่เห็น สัมผัสในใจก็บอกทันทีว่า...ไม่รอด

             ผู้ป่วยเป็นชายวัยกลางคน ร่างเล็ก ดูจากการแต่งตัวก็บอกได้ว่ามีบารมีไม่น้อย ร่างของเขาแดงเถือกไปทั้งตัว ริมฝีปากซีดคล้ำ หายใจพะงาบ ๆ เหมือนกำลังจะคว้าอากาศเข้าปอดเพื่อต่อชีวิตตนเอง

             ผู้ป่วยไม่ได้ถูกไฟลวก หรือโดนความร้อนอะไรมาเลยค่ะ แต่อุณหภูมิในร่างกายสูงมาก พวกลูกน้องเขาบอกกันว่า เจ้านายไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นอนดูทีวีอยู่บ้าน จู่ ๆ ก็เกิดสะบัดร้อน แล้วตัวก็แดงเถือกขึ้นมาแบบนี้

             แพทย์หญิงเอื้อกานต์เอื้อมมือแตะแขนผู้ป่วยเบา ๆ คล้ายวัดอุณหภูมิ ใช้สัมผัสนั้นโน้มนำให้จิตเกิดความรู้สึกบางอย่าง ที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นเข้าใจ

             ช่วยไม่ได้แล้ว!”

             เสียงกระซิบกลางหัว บอกให้เธอรู้ พร้อมกับสัญญาณชีพที่โชว์ในเครื่องวัดลากยาวเป็นเส้นตรง

             ตึ้ด...ด...ด...เสียงลากยาวฟังบาดหูชวนใจหาย

             เตรียมเครื่องปั๊มหัวใจ คุณหมอสั่ง

             ถึงรู้ว่าไม่รอด แต่ก็ต้องช่วย!

             เอื้อกานต์บอกต่อตนเอง ก่อนจะออกคำสั่งให้พยาบาลเตรียมเครื่องมือช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และตนเองก็เข้าหาร่างที่เพิ่งหัวใจหยุดเต้น ปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ

             การต่อสู้ในห้องฉุกเฉินแห่งนี้ ตรงข้ามกับการต่อสู้ที่ตึกร้างในเวลาใกล้เคียงกันอย่างเป็นคนละเรื่อง

             สถานที่นี้...ต่อสู้เพื่อช่วยชีวิต สถานที่อีกแห่ง...ต่อสู้เพื่อสังหารชีวิต



- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



            เวลาผ่านไป การต่อสู้กับมัจจุราชจบลง เอื้อกานต์วางมือจากร่างไร้ลมหายใจ เครื่องช่วยทุกอย่างถูกถอดออก รูดม่านเปิด คุณหมอสาวเดินเข้าไปหาหญิงกลางคนที่คิดว่าเป็นภรรยาผู้ป่วย

             หมอเสียใจด้วย คุณเป็นญาติผู้ป่วยใช่ไหมคะ

             ดิฉันเป็นภรรยาเขาค่ะ ต้องขอบคุณคุณหมอมาก ที่ช่วยเขาอย่างเต็มที่

             ขณะที่ภรรยาผู้เสียชีวิตสามารถทำใจได้เร็ว กลุ่มผู้ชายตัวโต ๆกลับมีท่าทีเอาเรื่อง

             ท่านเสียชีวิตเพราะอะไร ชายร่างเล็กสวมแว่นถาม

             ต้องผ่าพิสูจน์ถึงจะทราบสาเหตุ เอื้อกานต์ตอบ

             อะไรนะ เป็นหมอทำไมถึงไม่รู้ ผู้พูดตั้งใจหาเรื่อง

             คุณหมอสาวมองอีกฝ่ายตรง ๆ ไม่หลบสายตา ประกายบางอย่างในดวงตาคู่สวยมีอำนาจทำให้ชายวางก้ามไม่กล้าเสียมารยาทมากกว่านี้

             ไม่ต้องผ่าพิสูจน์หรอกค่ะคุณหมอ ผู้เป็นภรรยาบอกเรียบ ๆ

             แต่...นายแม่ ฝ่ายลูกน้องทำท่าค้าน

             ให้ท่านไปอย่างสงบเถอะ คำพูดนี้สามารถปิดปากลูกน้องสามีได้

             เอื้อกานต์เห็นอาการนิ่งอั้นของชายทั้งกลุ่ม บอกไม่ถูกว่าเหตุใด ใจส่วนลึกถึงคอยกระซิบว่า...เรื่องมันยังไม่จบ ถึงอย่างไรก็ต้องได้ผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายรายนี้

             ภรรยาและลูกน้องผู้เสียชีวิตกลับไปหมดแล้ว ศพถูกฝากไว้ที่โรงพยาบาล รอติดต่อวัดเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

             หลังจากศพถูกเข็นไปห้องดับจิต พยาบาลในห้องฉุกเฉินก็ถอนใจยาวพูดกับคุณหมอสาว

             คุณหมอทราบไหมคะว่าผู้ตายเป็นใคร

             ใครล่ะ เอื้อกานต์ถาม

             นายเกริกภพไงคะ คนดังในย่านนี้เลย แกรวยมหาศาล มีอิทธิพลเยอะ แถมยังมีนักการเมืองหนุนหลังอีก

             เป็นมาเฟียว่างั้นเถอะ เอื้อกานต์สรุป

             ค่ะ...แกใหญ่มาก บริจาคเงินให้พวกนักการเมืองไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ธุรกิจของแกถึงเฟื่องเอา เฟื่องเอา นี่เห็นว่าจะรับสมัครเลือกตั้งสมัยหน้าด้วย

             แปลกนะ ที่ภรรยาเขาทำใจได้เร็วจัง คุณหมอตั้งข้อสังเกต

             โธ่...ตานี่แกก็เหมือนคนใหญ่คนโตทั่วไปแหละค่ะ...มีอีหนูเป็นร้อย ส่วนเมียเป็นแค่เครื่องประดับบ้าน แกคงหวานอมขมกลืนมานาน ตอนนี้คงเหมือนได้อิสระ น่าจะดีใจด้วยซ้ำ

             เอื้อกานต์เงียบ นัยน์ตาฉายแววสงสัย...

             คุณหมอไปพักเถอะค่ะ ถ้ามีอะไรหนูจะโทรฯบอก

             คุณหมอสาวยิ้มนิด ๆ ขยับขาจะเดินกลับไปห้องพักแพทย์ แต่กลับชะงักเท้า รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ขึ้นแวบหนึ่ง จิตถูกกระตุ้น สติตั้งมั่น สายตามองผนังสีขาวเบื้องหน้า ใจสงบ ปรากฏนิมิตชายหนุ่มถูกยิงที่หัวไหล่กำลังถูกหามขึ้นรถ ส่งโรงพยาบาล

             เดี๋ยวก่อนก็ได้ หญิงสาวพูดเบา ๆ นิมิตกระจายหาย

             คะพยาบาลทำหน้าสงสัย

             เดี๋ยวหมอขอดูอะไรที่นี่อีกแป๊บนึง เอื้อกานต์ยิ้ม ใจสัมผัสเข้าไปถึงชายหนุ่มที่เห็นในนิมิต

             ...ถูกยิงที่หัวไหล่ อาการบาดเจ็บไม่รุนแรง...

             ข้อสรุปอาการปราดเข้ามาในหัว คุณหมอนั่งรอบนเก้าอี้ ก่อนอมยิ้มหยิบชาร์ตนายเกริกภพ ผู้เสียชีวิตมานั่งอ่านทบทวนอีกรอบ

             เวลาผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงหวอตำรวจก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเข็นเตียงพยาบาลออกไปรับผู้ป่วย เอื้อกานต์ลุกจากเก้าอี้ พยาบาลในห้องฉุกเฉินเตรียมเครื่องมือพร้อม

             ผู้ป่วยที่ถูกนำตัวมาเป็นชายหนุ่ม ใบหน้าค่อนข้างซีด มอมแมมด้วยเศษฝุ่นเศษดิน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถปิดบังดวงตาคมดุ ฉายแววเจิดจ้าลงได้ เลือดแดงฉานไหลย้อมตั้งแต่หัวไหล่ลงมาถึงหน้าอก ลักษณะเช่นนี้หากเกิดกับคนทั่วไปคงตกใจขาดสติไปแล้ว

             หมอเอื้อครับ ผู้กองถูกยิง นายตำรวจลูกน้องทีเกื้อ บอกกับเอื้อกานต์อย่างคนคุ้นเคย

             เห็นแล้ว คุณหมอบอก สายตาสบต่อชายหนุ่มบนเตียงโดยไม่ตื่นเต้น ร้อนใจ

             ไปจับโจรประสาอะไร ปล่อยให้ตัวเองโดนยิงมาแบบนี้

             นอกจากจะไม่สนใจเข้าไปดูอาการแล้ว ยังดุซ้ำอีก

             ผู้กองหนุ่มกลับไม่ถือสา หนำซ้ำยังยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจ

             กระสุนแค่ทะลุเนื้อออกไป ไม่โดนจุดสำคัญ ไม่เท่าไหร่หรอก

             ดี...ถ้ารู้ขนาดนี้แล้วก็รักษาตัวเองซะเลยสิ คนเป็นหมอพูดกึ่งบ่น

             ถ้าตำรวจรักษาตัวเองได้ แล้วจะมีหมอไว้ทำไมล่ะ คำย้อนตอบทันกัน

             คำโต้ตอบเช่นนี้ชวนให้คนนอกนึกสงสัย ทั้งสองตำรวจ คุณหมอมีสัมพันธ์กันอย่างไร...

             ขอกรรไกร คุณหมอสั่งพยาบาล

             เสื้อที่ชุ่มด้วยเลือดถูกตัดออกไป เผยให้เห็นบาดแผลจริงตรงหัวไหล่ คุณหมอสั่งพยาบาลให้เตรียมเครื่องมือด้วยสีหน้าสงบ อ่อนโยน

             ทีเกื้อเงยหน้าอมยิ้ม นัยน์ตาสบต่อคุณหมอสาวอย่างอบอุ่น วางใจ จากนั้นหลับตาผ่อนคลาย พร้อมวางชีวิต ร่างกายไว้ในมือเอื้อกานต์ด้วยความเต็มใจ



- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



             ขณะคุณหมอเอื้อกานต์กำลังเย็บแผลให้คนไข้ พยาบาลมือใหม่ที่ไม่ได้ช่วยอยู่ข้าง ๆ ก็ถอยออกมาคุยกับพยาบาลอาวุโส

              เวรของหมอเอื้อคืนนี้เจอแต่รายหนัก ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ

             ใช่...ตั้งแต่หัวค่ำยันดึกนี่ รายล่าสุดถือว่าเบากว่าเพื่อนแล้ว

             แผลถูกยิงมานี่ ก็ไม่ใช่เบา ๆ นะคะป้า แต่คนไข้รายนี้กำลังใจดี อึดน่าดู รูปหล่ออีกต่างหาก แถมยังมีแรงคุยล้อเล่นกับคุณหมอของเราได้อีก

             ได้ยินอย่างนี้ พยาบาลอาวุโสค่อยหัวเราะเบา ๆ

             เอ...หัวเราะแบบนี้ อย่าบอกหนูนะคะว่าผู้กองรูปหล่อคนนี้เป็นแฟนกับคุณหมอของเรา พยาบาลสงสัย

             ไม่ใช่หรอก ผู้สูงวัยกว่าบอกเบา ๆ ผู้กองเขาเป็นน้องชายหมอเอื้อ!”

             หา!” พยาบาลสาวอุทานเสียงไม่เบานัก จริง ๆ น่ะ

             พี่น้องฝาแฝดกันด้วย เกิดวันเดือนปีเดียวกัน ห่างกันแค่ไม่กี่นาที

             จริงน่ะ ป้ารู้ขนาดนั้นเลย

             คนแถวนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหละ มีแต่เธอเพิ่งมาทำงานใหม่ เลยไม่รู้...อยู่ ๆ ไปเถอะเดี๋ยวก็ได้เจอผู้กองคนนี้บ่อย ๆ



- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



             เอื้อกานต์เย็บแผลให้น้องชายเสร็จ ผู้กองหนุ่มค่อยลืมตาขึ้น

             กลับบ้านได้เลยมั้ย ขี้เกียจนอนโรงพยาบาล

             ไม่ได้

             แผลแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอกน่า ได้หมอมือเซียนเย็บให้แบบนี้ ชายหนุ่มแกล้งยอ พลางขยับตัวลุกขึ้น

             ไม่ได้ห่วงเรื่องแผล คุณหมอดันหน้าอกคนไข้ให้นอนลง แต่กลัวตำรวจบ้าจะออกไปเคลียร์คดีต่อ จนไม่ยอมหลับยอมนอนน่ะสิ

             ทีเกื้อถอนใจ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดแทงใจตน

              ก็อุตส่าห์จับพวกมันได้แล้ว ก็อยากไปสะสางต่อให้จบ ชายหนุ่มบอก

             ไม่เป็นไรหรอกผู้กอง ลูกน้องที่อยู่ใกล้ยื่นหน้ามาพูด เดี๋ยวพวกผมจัดการต่อเอง คืนนี้นอนที่โรงพยาบาลเถอะ...ฝากด้วยนะครับหมอเอื้อ

             เอื้อกานต์ยิ้มรับคำฝากฝัง หลังตำรวจที่เหลือกลับไป หญิงสาวจึงหันมาหาน้องชายตนเอง

             เดี๋ยวให้พยาบาลพาไปนอนพักที่ห้องนะ ห้ามหนีไปไหน อีกเดี๋ยวจะตามไปดู คำบอกกึ่งสั่ง

             เป็นหมอหรือผู้คุมนักโทษเนี่ย ชายหนุ่มบ่นเบา ๆ สบตาคุณหมอแล้วสัมผัสบางสิ่งที่ค้างคาใจอีกฝ่าย...รู้ว่าสิ่งนั้นไม่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตน

             มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเอื้อเขาถามด้วยน้ำเสียงของคน รู้ ใจกัน

             อืมม์... คุณหมอพยักหน้ารับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ไปพักผ่อนก่อนเถอะ

             ชายหนุ่มถอนใจ ถึงจะมีหลายครั้งที่ รู้ ว่าพี่สาวฝาแฝดคิดอะไรอยู่ แต่ก็มีบ่อย ๆ ที่มองเห็นม่านบาง ๆ มาบดบัง จนไม่สามารถเห็น ใจ อีกฝ่ายได้ชัดเจนเช่นตอนเยาว์วัย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



- - - - - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -  - - -



สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks





แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP