จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
หัดสังเกต
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
ผมเชื่อว่าคงมีท่านผู้อ่านหลายท่านที่เป็นผู้อุปการะเด็กในมูลนิธิต่าง ๆ นะครับ
ผมเองก็เป็นผู้อุปการะเด็กหลายคนใน ๒ มูลนิธิมาหลายปีแล้ว
ในทุก ๆ ปี ทางมูลนิธิก็จะมีการจัดส่งการ์ดมาให้เราเขียนส่งให้เด็กในอุปการะในเทศกาลต่าง ๆ
หรือไม่ก็ให้เราสั่งซื้อของขวัญวันเกิดหรือของขวัญเปิดภาคเรียนให้เด็กในอุปการะ
ซึ่งด้วยความที่ผมต้องเขียนการ์ดเหล่านี้ทุกปี ปีละหลาย ๆ ใบ
ในขณะที่ผมมีงานประจำอยู่เยอะ และมีงานอื่นที่ต้องรับผิดชอบอีกไม่น้อย
ผมจึงมักจะเขียนข้อความคล้าย ๆ กัน ทำนองว่าให้เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ ตั้งใจเรียน เป็นต้น
(บางทีงานเยอะและด่วนมากจนทำไม่ทัน ก็ต้องขอให้เพื่อน ๆ หรือน้อง ๆ ช่วยเขียนให้แทนก็มี)
ส่วนของขวัญนั้นก็จะเลือกสั่งซื้อสินค้าตามที่มูลนิธิเขามีรายการมาให้เลือก
เพราะรายได้จากการจำหน่ายสินค้าก็เป็นการสนับสนุนทางมูลนิธิด้วย
โดยก็ทำอย่างนี้ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว
แต่เมื่อประมาณ ๓ หรือ ๔ ปีก่อน ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่มาสะดุดใจผม
คือมีรุ่นพี่ในที่ทำงานท่านหนึ่ง เขาเป็นผู้อุปการะเด็กในมูลนิธิแห่งหนึ่งเหมือนกัน
เขาได้คุยให้ผมฟังว่า เขาไม่ซื้อสินค้าของมูลนิธิให้เด็กในอุปการะหรอกนะ
ผมก็ถามว่า “ทำไมพี่ไม่ซื้อสินค้าของมูลนิธิล่ะครับ”
เขาตอบว่า “ซื้อไม่ได้หรอก ผมรับอุปการะเด็กคนนี้มาหลายปีจนกระทั่งตอนนี้เขาเป็น “นาย” แล้ว
แต่สินค้าของมูลนิธิที่นำเสนอมานี้ ยังเหมาะที่จะเป็นของขวัญสำหรับเด็กประถมอยู่เลย”
ผมได้ฟังพี่เขาคุยอย่างนี้แล้ว ผมก็รู้สึกสะดุดใจตนเองนะครับว่า
ผมเองก็รับอุปการะเด็กหลายคนมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตเห็นตรงนี้
เพราะว่าผมเองไม่เคยให้ความสำคัญ หรือให้ความสนใจในรายละเอียด
โดยผมคิดเพียงแต่ว่า เราอุปการะเด็ก เราได้ทำบุญ เราโอนเงินเข้ามูลนิธิ เราเขียนและส่งการ์ด
และเราสั่งซื้อของขวัญให้ในเทศกาลต่าง ๆ ก็ถือว่าเราทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว
แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ครับ ผมเองยังไม่เคยให้ความใส่ใจในรายละเอียดของเด็ก ๆ เท่าไร
ผมกลับไปบ้านในวันนั้น ผมก็เริ่มหยิบข้อมูลของเด็ก ๆ ที่อุปการะมาดูอย่างละเอียด
ก็ได้พบว่าเด็ก ๆ ที่ผมรับอุปการะไว้ใน ๒ มูลนิธินั้น อายุแตกต่างกันมาก มีตั้งแต่ ๓ – ๔ ขวบ
บางคนก็ ๑๐ – ๑๒ ขวบก็มี และบางคนก็เป็นนาย หรือเป็นนางสาวแล้วด้วย
แต่ว่าเวลาผมเขียนการ์ดในแต่ละเทศกาลให้แก่เด็ก ๆ ทุกคนนั้น
ผมกลับเขียนข้อความเหมือน ๆ กันให้กับเด็กทุก ๆ คนทั้งที่อายุเด็ก ๆ แตกต่างกันมาก
ถ้าเป็นเมื่อหลาย ๆ ปีก่อนที่ผมยังไม่ได้หันมาสนใจศึกษาธรรมะแล้ว
ผมก็จะบอกกับตัวเองว่า งานประจำเราเยอะจะตาย เวลาจะนอนก็แทบไม่มี
วันหนึ่ง ๆ ก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง และทำแทบไม่ทันอยู่แล้ว
แล้วจะให้เรามามีเวลาสนใจเขียนการ์ดให้เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันได้ยังไง
ในลักษณะนั้นก็ย่อมจะถือว่าเป็นการที่ผมไปโทษสิ่งอื่น ๆ แต่ไม่ได้มาโทษตนเอง
ในคืนนั้นที่ผมได้พบความจริงว่า ผมได้ละเลยการใส่ใจในรายละเอียดเรื่องเด็กมาโดยตลอด
ผมยอมรับว่าเป็นความผิดหรือความบกพร่องของผมเองที่ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มหันมาสนใจในรายละเอียดของเด็ก ๆ มากขึ้น
โดยเวลาที่เขียนการ์ดเองให้เด็ก ๆ แต่ละคน ผมก็จะดูว่าเด็ก ๆ อายุเท่าไร
และผมจะเขียนการ์ดให้เด็กแต่ละคนด้วยข้อความที่ไม่เหมือนกัน
โดยอาจจะให้ข้อคิดหรือแนะนำข้อธรรมที่เหมาะสมกับวัยหรืออายุของเด็กนั้น ๆ ด้วย
ในส่วนของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ ที่ให้แก่เด็กในอุปการะนั้น
ผมก็จะพิจารณาก่อนว่าสินค้าของมูลนิธิเหมาะสมกับอายุเด็กในอุปการะหรือเปล่า
หากสินค้าของมูลนิธินั้นไม่เหมาะสมกับอายุเด็ก เช่น เด็กอายุมากเกินที่จะเล่นของนั้น ๆ แล้ว
ผมก็จะไปเดินร้านหนังสือหาหนังสือที่น่าอ่านและเหมาะสมกับอายุของเด็กส่งไปให้เป็นของขวัญ
โดยแม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มากขึ้นก็ตาม
แต่ผมกลับรู้สึกว่าตนเองได้ทำหน้าที่เป็นผู้อุปการะที่สมบูรณ์มากขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้น
อนึ่ง ขอเรียนชี้แจงว่าที่เล่ามานี้ ไม่ได้จะบอกว่าสินค้าของมูลนิธิไม่ดีนะครับ
สินค้าของมูลนิธินั้นก็ดีอยู่แล้ว และการช่วยซื้อสินค้ามูลนิธิ ก็เป็นการช่วยทำบุญกุศลด้วย
แต่เราก็ต้องยอมรับว่า จะให้มูลนิธิจัดสินค้ามาให้เลือกมากมาย (เหมือนกับห้างสรรพสินค้า)
หลากหลาย เพื่อให้จัดส่งให้เด็ก ๆ แต่ละคนแตกต่างกันนั้น คงไม่ใช่วิสัยที่มูลนิธิจะสามารถทำได้
ทางมูลนิธิก็พยายามทำได้ดีที่สุดคือ จัดสินค้าที่เห็นว่าน่าจะเหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่
ซึ่งผมเห็นว่ากรณีจึงเป็นหน้าที่ของผู้มีอุปการะเองที่ต้องทำหน้าที่ตนเอง
โดยพิจารณาว่าสินค้าของมูลนิธินั้นเหมาะสมกับอายุของเด็กที่เราอุปการะหรือไม่
ถ้าไม่เหมาะสม เราก็ควรจะไปหาของขวัญอื่นที่เหมาะสม และช่วยสมทบค่าจัดส่งให้ทางมูลนิธิ
ดังนี้แล้ว เราพึงสนใจในรายละเอียด และหมั่นสังเกตเป็นระยะ ๆ ครับ
เพราะสิ่งที่เราทำอยู่ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทำเป็นประจำ หรือทำต่อเนื่องมานั้น
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมในทุกกาลเสมอไป
สิ่งที่เราทำนั้นอาจจะถูกต้องและเหมาะสม ณ เวลานั้น ๆ ในอดีต
แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ได้
เสมือนอย่างของขวัญที่เราให้เด็กที่เราอุปการะนั้น ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามวัยของเด็ก
ถ้อยคำที่เขียนในการ์ดก็ควรปรับเปลี่ยนไปตามวัยของเด็ก
เช่น แม้ว่าเด็กที่ผมอุปการะจะมีอายุหลากหลายตั้งแต่ ๓ หรือ ๔ ขวบ
ไปจนถึงโตเป็นนายหรือนางสาวแล้วก็ตาม
แต่ในอดีตนั้น ผมก็ยังเขียนการ์ดให้เด็ก ๆ ทุกคนเหมือน ๆ กันทำนองว่า
“ทำตัวเป็นเด็กดี และเชื่อฟังพ่อแม่นะ ขยันเรียนนะจ๊ะ” อะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่ได้จำแนกตามวัย
ในเรื่องนี้ผมเองก็สำนึกในข้อบกพร่องของตนเอง และตั้งใจว่าจะไม่ทำบกพร่องซ้ำอีก
คุยมาตั้งยาวแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าเรื่องธรรมะเลย จึงขอวกเข้าเรื่องธรรมะว่า
ในเรื่องของการศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
โดยเราพึงสนใจในรายละเอียดและหมั่นสังเกตการปฏิบัติธรรมของเราเองด้วย
ว่าเราสมควรจะต้องปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงตรงไหนบ้างหรือไม่
กรณีไม่ใช่ว่าเราทำเหมือนเดิมอย่างนั้นไปเรื่อย โดยที่ก็ไม่ทราบว่าได้พัฒนาอะไรบ้างหรือไม่
ในการพิจารณาพัฒนาการของตนเอง เราก็พิจารณาได้ไม่ยากนะครับ
โดยเราอาจจะพิจารณา “พละ ๕” หรือ “อินทรีย์ ๕” ก็ได้
กล่าวคือพิจารณาว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาเจริญขึ้นหรือไม่
หรือไม่เช่นนั้น เราอาจจะพิจารณาว่าทาน ศีล และภาวนาของเราเจริญขึ้นบ้างไหมก็ได้
ในส่วนของการภาวนาซึ่งเป็นเรื่องละเอียดนั้น
บางทีเราก็อาจจะไม่ทราบว่าตนเองกำลังติดตรงไหนอยู่
เราก็อาจจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยชี้แนะให้
แต่ก็ไม่ควรไปรบกวนครูบาอาจารย์โดยไม่จำเป็นนะครับ
พึงช่วยกันถนอมธาตุขันธ์ครูบาอาจารย์ และเปิดโอกาสให้ท่านอื่นที่จำเป็นด้วย
ในการพิจารณาตนเองนี้ มีศัพท์ภาษาบาลีว่า “โยนิโสมนสิการ”
ซึ่งในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ได้ให้ความหมายว่าหมายถึง “การใช้ความคิดถูกวิธี คือ
การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า
สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบ
และโดยอุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะ
และตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย และเป็น ฝ่ายปัญญา”
ทีนี้ ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าการใช้โยนิโสมนสิการนี้ก็ต้องสังเกตอย่างแยบคาย
โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านะครับ
ไม่ใช่ว่าสังเกตพิจารณาเอาตามความรู้สึกตนเอง คิดเอาเอง หรือเดาเอาเอง
ไม่เช่นนั้นแล้วก็คือไม่ได้ใช้หลักธรรมแล้ว แต่ว่าใช้หลักกูต่างหาก
ฉะนั้นก็ต้องพิจารณาและเปรียบเทียบกับพระธรรมคำสอนครับ
การที่เราใช้โยนิโสมนสิการนี้ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งนะครับ
ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตร วิริยารัมภาทิวรรค
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้
กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป
เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป”
http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=20&item=68&items=1&preline=0&pagebreak=0
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้
อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป
เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป”
http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=20&item=67&items=1&preline=0&pagebreak=0
จะเห็นได้ว่า การใช้โยนิโสมนสิการเป็นเหตุให้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป
แต่ในทางกลับกัน การไม่ใช้โยนิโสมนสิการก็ย่อมเป็นเหตุให้
อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป
นอกจากนี้แล้ว ในเสขสูตรที่ ๑ ได้กล่าวว่า
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต)
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้เป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตผล
ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุอันหนึ่งอย่างอื่น
กระทำเหตุที่มี ณ ภายในว่ามีอุปการะมาก เหมือนโยนิโสมนสิการนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมนสิการโดยแยบคาย ย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญกุศลให้เกิดมี
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ธรรมอย่างอื่นอันมีอุปการะมาก เพื่อบรรลุประโยชน์อันสูงสุดแห่งภิกษุผู้เป็นพระเสขะ
เหมือนโยนิโสมนสิการ ไม่มีเลย
ภิกษุเริ่มตั้งไว้ซึ่งมนสิการโดยแยบคาย พึงบรรลุนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งทุกข์ได้”
http://www.84000.org/tipitaka/read/?25/194/236
ก่อนจบ ก็ขอย้ำว่าที่ได้เล่ามาทั้งหมดในเรื่องของการหัดสังเกตนี้
เป็นเรื่องของการหัดสังเกตตนเองนะครับ หรือสังเกตรูปนาม หรือกายใจตนเอง
โดยไม่ได้แนะนำให้ไปสังเกตคนอื่นนะครับ
เพราะหากเราสังเกตแต่คนอื่น หรือข้อบกพร่องของคนอื่น หรือกายใจคนอื่นแล้ว
ก็มีแต่จะทำให้เราเกิดโมหะ โทสะ หรือตัณหา (อยากจะไปยุ่งหรือไม่ยุ่งกับเขา) มากยิ่งขึ้น
แต่หากเราสังเกตตนเองแล้ว จะทำให้เราพบข้อบกพร่องของตนเองได้
และก็ช่วยทำให้เรามีโอกาสขจัดข้อบกพร่องนั้น และพัฒนาตนเองได้นะครับ
< Prev | Next > |
---|