วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๔๔ (จบ)


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

ตอนอวสาน

 

 

เวลาผ่านไป...เกือบสองปี...

บนถนนยามสาย รถราไม่หนาแน่นนัก เชนขับรถตามสบาย ใจเย็น หญิงสาวที่นั่งข้างมีอาการกระสับกระส่าย ดูนาฬิกาบ่อยครั้ง

“ขับเร็วๆ หน่อยไม่ได้เหรอพี่เชน” เนื้อเสียงไม่ถึงกับหงุดหงิด แต่มีเจตนาเร่ง

“จะรีบไปไหน ขับอย่างนี้ปลอดภัยกว่า” เขาพูด ดวงตามีร่องรอยหยอกล้อ

“ถ้าไปงานเปิดตลาดไม่ทัน รุ้งจะโทษพี่เชนคนเดียวด้วย”

เชนยิ้มไม่ถือสา ยังแหย่ต่อ 

“พี่บอกแล้ว ให้มาถือศีลวันอื่นก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ กว่าจะออกจากศีล กว่าจะฟังเทศน์จบก็จวนเจียน” 

“แหม...คนเค้าตั้งใจทำความดี ไม่ยอมส่งเสริมกันบ้างเลย” หล่อนพูดงอนๆ 

เมื่อวานเป็นวันพระใหญ่ รุ่งรตีมาอยู่วัดถือศีลแปดกับคุณจิตใส ทั้งที่วันนี้มีงานเปิดตลาดใหม่ เชนแนะนำให้เลื่อนวันก็ไม่ยอม หญิงสาวพยายามถือศีลแปดเดือนละครั้งติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว มีความหวังจะเขยิบเป็นเดือนละสองครั้งสามครั้ง จึงไม่อยากเสียเจตนาตน

ตอนเช้าออกจากศีลก็อยู่ฟังเทศน์จากท่านอาจารย์จนจบ เชนมารอรับไม่กล้าเร่ง ออกจากวัดได้เขาก็ขับรถตามปกติ ไม่คิดเหยียบทำเวลาให้ไปทันงาน

“ใครว่าพี่ไม่ส่งเสริม ก็อนุโมทนาทุกครั้งแหละ พี่เองยังถือศีลแปดไม่ได้อย่างรุ้งเลย” เขาชมจากใจจริง รุ่งรตีอาจดูหลักลอย ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าหล่อนตั้งใจทำจริงแล้ว ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

“จะไปทันงานมั้ยเนี่ย” รุ่งรตีบ่น เป็นห่วงเรื่องงาน

 

 

หลังจากตลาดทรัพย์ยั่งยืนถูกไฟไหม้จนราบ ลักษณ์ก็เหนื่อยใจเกินกว่าคิดทำอะไรต่อ ไหนจะบ้าน ไหนจะอู่ต่อรถ ไหนจะร้านอาหาร งานโรงแรม ห้างฯ ล้วนเป็นภาระบนบ่าให้เขาแบกทั้งนั้น

รุ่งรตีกระตุ้น เร่งเร้าให้เขาสร้างตลาดขึ้นใหม่ รวมถึงเรือนพักพ่อค้าแม่ค้าแก่ๆ ที่ไม่มีบ้านช่องของตัวเอง ตอนแรกลักษณ์ลังเลคิดจะปฏิเสธการทำตามความคิดลูกสาวมันต้องใช้เงินลงทุน ซึ่งตอนนี้ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลกำลังล้ม กิจการแทบทุกอย่างหยุดชะงัก ไม่รู้จะเอาเงินหนุนกิจการไหนก่อน

รุ่งรตีชี้ให้เห็นถึงความลำบากของพ่อค้าแม่ค้าแก่ๆ ที่ไร้ที่อยู่ที่กิน คนเหล่านี้อยู่กับตลาดมาตั้งแต่รุ่นคุณนายพวงทอง อาศัยตลาดเป็นบ้าน เป็นที่ทำมาหาเลี้ยงชีวิต ถ้าไม่มีตลาดพวกเขาไม่รู้จะไปไหน

ลักษณ์ประหลาดใจความคิดอ่านของลูกสาว จึงลองเสนอเงื่อนไข...ถ้าฟื้นฟูตลาด...รุ่งรตีต้องมาช่วยเขาทำงานส่วนนี้ด้วย 

หญิงสาวนิ่งอยู่อึดใจก่อนรับคำ

“ทำก็ทำพ่อ”

จากนั้นตลาดจึงเป็นกิจการฟื้นฟูอันดับแรก เริ่มจากทำเรือนพักชั่วคราวให้พวกที่บ้านถูกไฟไหม้ กางเต็นท์ยาวทำตลาดให้ค้าขายก่อน และเริ่มสร้างตลาดถาวรทีละส่วน กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ร่วมปี

วันนี้เป็นวันเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ รุ่งรตีในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการตลาดจำเป็นต้องมาร่วมงานด้วย เชนมาถึงตลาดทันงานพิธีเปิด รุ่งรตีรีบลงจากรถก้าวยาวๆ เข้างาน ลืมสนใจโชเฟอร์ที่อุตส่าห์พามาส่ง

ชายหนุ่มเดินตามเอื่อยๆ ไม่เร่งร้อน พิธีเปิดกำลังเริ่มในอีกไม่กี่นาที ตลาดทรัพย์ยั่งยืนยุคใหม่แทบไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น...มันกว้างขวาง โปร่งโล่ง แบ่งส่วนเป็นโซนๆ ทันสมัย

ใครจะคาดคิดสถานที่แห่งนี้เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เป็นเพียงกองขี้เถ้าที่ชุ่มน้ำตาและชีวิต

เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป...และเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง...วนเวียนเป็นวัฏจักร...นี่คือธรรมดาของโลก

 

 

ตลาดถูกเปิดเป็นทางการ บนรอยยิ้มแช่มชื่นของแม่ค้าทั้งหลาย ยายหอมได้เรือนพักใหม่แถมยังได้แผงที่ดีกว่าเดิม เด็กชายที่เชนเคยเห็นร้องไห้หาพ่อแม่เมื่อเกือบสองปีก่อน วันนี้กลับวิ่งเล่นซนเบิกบาน พ่อแม่เขาได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้ ถูกส่งรักษาที่โรงพยาบาล ความชุลมุนทำให้เด็กพลัดหลง กว่าจะเจอก็อีกวันต่อมา

ที่ตลาดทรัพย์ยั่งยืนมีรอยยิ้ม แต่กิจการอื่นของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลไม่เป็นเช่นนั้น ลักษณ์กับสมุทรนัดคุยกับผู้จัดการมรดกทั้งสามเรื่องยกเลิกบริษัทกงสี แยกแต่ละกิจการออกจากกัน เหล่าผู้จัดการมรดกเห็นด้วย และแนะนำวิธีจัดการให้

ในที่สุดลักษณ์กับสมุทรตัดสินใจยอมขายอู่ต่อรถทัวร์ และกิจการเดินรถ สัมปทานทั้งหมดให้กับเสี่ยทรงยศ ที่เคยมาขอซื้อผ่านศรีนวล เพราะไม่สามารถดูแลประคับประคองไหว บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลอันใหญ่โตโอ่อ่า ถูกทุบทิ้ง ลักษณ์ไม่มีแก่ใจซ่อมแซมบูรณะมันใหม่ คิดว่าตนคงทำใจกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้อีกแล้ว ห้างสรรพสินค้าทรัพย์ยั่งยืนคอมเพล็กซ์ถูกขายให้กับห้างฯใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัล แค่พยายามประคองตัว ลักษณ์ยังไม่ตัดสินใจว่าจะรักษาไว้ ประกาศขาย หรือหาหุ้นส่วนมาร่วมบริหาร สุดท้ายร้านครัวพวงทองก็ให้เช่าสถานที่และชื่อร้านเปิดขายต่อไป เป็นการลดภาระการดูแลไปอีกส่วนหนึ่ง

นี่คือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล รายได้ ผลประโยชน์ลดน้อยลงแต่ภาระความรับผิดชอบก็น้อยลงตามกัน

ลักษณ์เพิ่งรู้สึก “เบาตัว” ก็ช่วงนี้เอง

สมุทรรับเงินส่วนของตนไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริษัท แต่ก็ยังมีผลประโยชน์จากกิจการโรงแรมตลาดบ้าง ลักษณ์นำเงินจากการขายอู่ต่อรถ กิจการเดินรถ ตึกแถว อาคารต่างๆ ส่งไปให้ศรีนวล เพื่อชดเชยในส่วนที่รามควรจะได้จากตระกูล ศรีนวลรับเงินเงียบๆ ไม่มีคำพูดขอบใจสักคำ

 

 

พิธีเปิดตลาดทรัพย์ยั่งยืนเสร็จสิ้นลง รุ่งรตีเห็นเชนเดินเกร่อยู่รอบๆ จึงรีบเข้าไปหา

“ไปกันหรือยังพี่เชน” หล่อนถามเสียงใส

“ไม่กลับพร้อมน้าลักษณ์หรือ” เขาถาม

“ไม่ล่ะ พ่อต้องรับแขกอีกนาน รุ้งกลับก่อนดีกว่า”

“ก็ได้” เชนไม่ขัด ชักเริ่มเคยชินกับการตามใจหญิงสาวคนนี้แล้ว

ขึ้นรถเสร็จรุ่งรตีชวนเขาแวะซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อพวกเครื่องกระป๋อง ของใช้จนเต็มเสร็จแล้วแวะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

ที่นั่นเป็นบ้านเก่าของเชน

ครั้งแรกที่รุ่งรตีเห็น มันเป็นที่ดินโล่ง มีแต่ดอกไม้ล้มลุกปลูกไว้สบายตา มาบัดนี้กลับมีบ้านหลังเล็กๆ ปลูกแทนที่ ด้านหน้ามีป้ายติดไม่ใหญ่นัก...“บ้านพวงทอง...”

มันไม่ใช่บ้านของเชนอีกแล้ว เขายกที่ดินแปลงนี้ให้คนคนหนึ่งไว้ใช้ประโยชน์ 

รุ่งรตีเปิดประตูเข้าบ้านคุ้นเคย ปล่อยให้เชนหอบข้าวของพะรุงพะรังตามมาคนเดียวเหมือนโดนแกล้ง

ในบ้านมีผู้หญิงร่างผอมบางนั่งหันหลังอยู่บนรถเข็น เบื้องหน้าหล่อนเป็นจอคอมพิวเตอร์ มีข้อความปรากฏให้อ่านเรื่อยๆ

“สวัสดีค่ะอาจี” รุ่งรตีทักทายเสียงใส

ร่างบนรถเข็นหันกลับมา นี่คือสุขศจี แต่เป็นสุขศจีในสภาพที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หล่อนพิการครึ่งตัว ต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ใบหน้ามีบาดแผลจากไฟไหม้จนเสียโฉม ไม่อาจเยียวยา แก้ไข

“รุ้งซื้อของมาฝาก เดี๋ยวจะจัดให้นะคะ” หญิงสาวยังพูดต่อ โดยที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้

เชนยกมือไหว้ ยิ้มทักทาย ก่อนนำข้าวของที่ซื้อมาไปเก็บในตู้อย่างรู้จักที่ทาง ทำประจำ

สุขศจีรอดตายจากกองเพลิง เพื่อมีสภาพอย่างที่เห็น พิการเป็นอัมพาต เสียโฉมไฟไหม้ทั้งใบหน้า ลำตัว และเกือบจะเข้าคุกคดีพัวพันมาเฟียฮ่องกง

ลักษณ์ต้องวิ่งเต้นทั้งทนาย ทั้งเงินเพื่อให้น้องสาวหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยทุกคดี ยกความผิดทั้งหมดไปให้ “หลิง” สามีที่ตายคนเดียว กว่าจะเรียบร้อยก็แทบแย่ เพราะสุขศจีแทบไม่สนใจอะไรเลย เกือบไม่เป็นผู้เป็นคน ทำใจกับสภาพตัวเองไม่ได้ ร้องห่มร้องไห้ อาละวาด เสียใจจะฆ่าตัวตาย

พ้นจากคดี ลักษณ์ค่อยมาฟื้นฟูจิตใจน้องสาว จ้างนางพยาบาลมาดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมง อาการทางกายดีขึ้น สภาพจิตใจไม่กระเตื้อง ไม่ยอมคุยกับใคร นิ่งเงียบเป็นหุ่นใบ้ได้เป็นเดือนๆ

คนที่ดึงสุขศจีออกจากโลกส่วนตัวได้สำเร็จคือรุ่งรตี

วิธีของหล่อนไม่มีอะไรมาก เริ่มจากนั่งคุย พูดจาเรื่อยเปื่อยไร้สาระตามประสา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเหลือบแลสนใจหรือไม่ ตอนหลังเปลี่ยนเอาหนังสือต่างๆ มาอ่านให้ฟัง...การ์ตูน เรื่องสั้น นิยาย หนังสือแฟชั่น ซุบซิบดารา คนดัง สุดท้ายก็หยิบหนังสือธรรมะมาอ่านให้ฟัง...คราวนี้ได้ผล...สุขศจีหันมาพูดกับหลานสาวครั้งแรก...

“ไปอ่านไกลๆ ได้มั้ย...เบื่อจะฟัง” 

เท่านั้นเองรุ่งรตีก็ยิ้มร่า ถามด้วยสีหน้าแจ่มใส

“อาจีอยากให้รุ้งอ่านเล่มไหนคะ ถึงจะไม่เบื่อ”

นั่นคือจุดเริ่มที่ดึงสุขศจีมาสู่โลกแห่งการรับรู้ หล่อนยอมคุยกับหลานสาวคนเดียว รุ่งรตีพยายามสอดแทรกธรรมะ ความเห็นถูกเข้าไปในความคิดอาสาวทีละน้อย สุขศจีกำลังเคว้ง หาที่ยึดเหนี่ยว พอตั้งใจฟังก็เห็นจริงตามคำพูดหลานสาว ลองหยิบหนังสือธรรมะที่คิดว่าน่าเบื่อมาอ่านเอง

รุ่งรตีเห็นอาสาวสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ก็ชวนสุขศจีเล่นอินเตอร์เน็ต เข้าเว็บไซต์ธรรมะต่างๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โลกทัศน์ ความรู้กับคนที่ไม่เห็นหน้า คราวนี้เท่ากับหล่อนได้เปิดโลกอีกใบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

จากการที่เป็นฝ่ายพูดคุย ไถ่ถามผู้ที่อยู่ในเน็ต เกี่ยวกับเรื่องธรรมะ ปัญหาข้อข้องใจในชีวิต ก็กลายเป็นผู้ตอบบ้างในบางเรื่อง การพูดคุยโดยไม่เห็นหน้านี้ทำให้สุขศจีสบายใจ เป็นตัวของตัวเองและมีความกล้าที่จะเปิดตัวเองต่อผู้อื่นมากขึ้น...จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...เกิดความกล้าบางอย่าง...

“บอกพ่อของเรากับอาหมุดให้มาหาอาหน่อยสิ” สุขศจีสั่งหลานสาวไปเช่นนั้น

ลักษณ์กับสมุทรปิดประตูคุยกับน้องสาวอยู่นาน รุ่งรตีรออยู่หน้าประตู ไม่รู้ผู้ใหญ่คุยอะไรกันจนประตูเปิด ใบหน้าของลักษณ์กับสมุทร ดูปลอดโปร่ง เหมือนคนหมดทุกข์ได้ด้วยการให้อภัย

สุขศจีน้ำตานองหน้า ดวงตาฉายแววตื้นตัน หล่อนมีคำพูดประโยคเดียวตามหลังพี่ชายทั้งสอง

“จีมันเลว สมควรถูกลงโทษแล้ว...ขอบคุณเฮียจริงๆ ที่ยังให้อภัย”

...เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง...สุขศจีได้ไอเดียจากในเว็บไซต์อยากสร้างประโยชน์แก่ผู้คนในวงกว้าง...หล่อนมีรายได้จากส่วนแบ่งรายเดือนมากพอสมควร คิดจะหาวิธีใช้มันทำประโยชน์อย่างตั้งเป็นมูลนิธิพวงทอง แต่ดูท่าจะยุ่งยาก และต้องเปิดเผยตัวมากไป จะทำเว็บไซต์เองก็ไม่มีความรู้ จึงท่องไปตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีประโยชน์ ดูว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรใครได้บ้าง ก็จะเข้าไปช่วย โดยใช้ชื่อว่า “ป้าพวงทอง”

สุขศจีจำความรู้สึกที่กำลังจะตายนั้นได้...เธอขอโอกาสที่จะกลับมาแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาด...ขอให้ได้เป็นคนดี...คุ้มค่ากับการได้เกิดเป็นมนุษย์... 

ตอนนี้...เธอได้โอกาสนั้นแล้ว...สุขศจีจึงพยายามใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด เธออาจไม่มีความสามารถ่ายทอดธรรมะ แนะนำผู้คนในเว็บไซต์ที่เธอเข้าไปได้ แต่เธอก็มีประสบการณ์ตรงในเรื่องของ “กรรม” มาเล่าสู่ให้สาธารณะได้รับรู้ ยืนยัน เอาตัวเองเป็นพยาน หนักแน่นในเรื่องที่ง่ายที่สุด

ทำดีได้ดี...ทำชั่วได้ชั่ว...

สุขศจีเติบโตในเส้นทางความดี ขณะเดียวกันก็พอใจที่จะปลีกตัวอยู่โดดเดี่ยว เห็นที่ดินของเชนอยู่ในที่เหมาะสม คนไม่พลุกพล่านวุ่นวาย และไม่ไกลเกินไป จึงขอซื้อปลูกบ้านอยู่คนเดียว

เชนไม่ขาย เขายินดียกที่ดินแปลงนี้ให้ตั้ง “บ้านพวงทอง” เรือนหลังน้อย สำหรับผู้ที่หวังเดินบนถนนสายกุศล มองเห็นว่าสุขศจีจะเป็นผู้มีประโยชน์แก่โลก และคนทั่วไปในวงกว้างขึ้น

สุขศจีเปลี่ยนไปทีละน้อย เธอเริ่มเป็นผู้หนักแน่นในการให้ทาน มีใจเอื้อเฟื้อผู้คนแม้จะไม่เคยเห็นหน้า พยายามรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ช่วยเหลือผู้คนทั้งทางปัจจัย และจิตใจ ทำทุกสิ่งเพื่อแก้ไขบาปผิดของตน...

เปรียบเสมือนเติมน้ำใสสะอาดลงไปในบ่อที่เต็มไปด้วยเกลือ...แรกๆ น้ำย่อมเค็มปร่าใช้ไม่ได้...แต่ตราบใดที่ขยันเติมน้ำสะอาดโดยไม่หยุดไม่ถอย...ความเค็มย่อมจืดจาง...ถึงจุดหนึ่ง...น้ำอาจไม่มีรสเค็มสักนิด...ทั้งที่เกลือในบ่อยังคงเดิม...ไม่ลดน้อยลง

ด้วยศักยภาพของมนุษย์ สามารถทำได้เช่นนั้น ตราบใดยังมีชีวิต ย่อมมีโอกาส ขอเพียงสำนึกได้...ละวางความชั่วทั้งมวล...เฉกเช่นไม่ยอมเติมเกลือเพิ่มลงในบ่อน้ำ...มุ่งหน้าบำเพ็ญความดีถ่ายเดียวโดยไม่ลดละท้อถอย...

บุญไม่อาจลบล้างบาปได้...แต่บุญที่สร้างสมเป็นกองมหาศาล ย่อมมีน้ำหนักมากกว่าบาปเก่าอย่างไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ ยามขึ้นตาชั่ง ขอเพียงมีความเห็นถูก...ปฏิบัติตรงเท่านั้น... 

 

 

“คุณย่าเงียบหายไปเลยนะพี่เชน” รุ่งรตีเปรยขึ้นหลังออกจากบ้านพวงทอง

“ท่านคงไปเกิดใหม่แล้ว” เชนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“จริงเหรอ รุ้งคิดว่าท่านไปตามล่าบุญส่งเสียอีก” หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง

บุญส่งยังไม่ถูกจับ เขาหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ลูกน้องมีทั้งถูกจับ ทั้งแตกกระจาย ลักษณ์สงสารลูกเมียบุญส่งจึงให้เงินก้อนหนึ่งเพื่อตั้งตัว คนทั่วไปชื่นชม สรรเสริญที่เห็นเขาไม่อาฆาต ครอบครัวคนที่ทำลายกิจการทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

มีแต่ลักษณ์ที่รู้...บุญส่งทำเพื่อราม...เพื่อตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล...ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ทุกอย่างที่แม่สร้างต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือมาเฟียฮ่องกง...สุขศจีก็ยิ่งจมลงในหล่มบาปชนิดไม่มีโอกาสขึ้นมาได้ 

อย่างนี้เขาจะอาฆาตบุญส่งได้อย่างไร

“อย่าไปอาฆาตบุญส่งเลย ปล่อยให้กรรมตามไล่ล่าเขาเองเถอะ” เชนพูด

ถึงบุญส่งจะทำเพื่อตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล แต่ผลของมันทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ผลของกรรมเช่นนี้ ย่อมมีการตามล่า เพื่อให้เขาชดใช้แน่นอน

“เฮ้อคิดแล้วก็แปลกนะพี่เชน” รุ่งรตีพูดขึ้น “ตอนแรกที่รุ้งมาอยู่เมืองนี้นะ อยากจะอาละวาด แผลงฤทธิ์ ไม่อยากอยู่เลยจริงๆ”

เชนยิ้ม เหลือบตามองหล่อน ไม่อยากบอกว่า ถึงตอนนี้เจ้าหล่อนก็ยังไม่หมดฤทธิ์หรอก

“แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอบอุ่น เหมือนได้กลับบ้านจริงๆ เป็นบ้านที่มีครอบครัวคอยอยู่”

หญิงสาวยิ้มละไม มองเสี้ยวใบหน้าชายหนุ่ม ความอบอุ่นในใจอาจมาจากเขาคนนี้ก็ได้

“พูดเหมือนอยากแต่งงานหรือเปล่า” เชนแซว ปรายตามองแววตายิบๆ

“ก็ต้องรอให้มีผู้ชายมาขอก่อนไม่ใช่เหรอ” หล่อนเหน็บกลับ

“ขอลูกสาวตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลนี่ ต้องมีสินสอดเท่าไหร่...ผู้ใหญ่ที่มาสู่ขอต้องเป็นระดับนายกฯ มั้ย”

“ไม่รู้สิ...เรื่องนั้นต้องให้ผู้ใหญ่คุยกัน” หญิงสาวแกล้งเฉไฉ ใบหน้าเริ่มร้อน

“อืม...นั่นสินะ” เชนมีรอยยิ้มพราย

รุ่งรตีไม่ต่อคำ รอคำพูดอีกฝ่ายนานจนนึกขัดใจ แกล้งเบือนหน้าหนี แต่แล้วเชนกลับเอื้อมมือมากุมมือหล่อนนิ่งๆ ความอบอุ่นจากสัมผัสแล่นปลาบสู่ใจ

“รอก่อนนะจ๊ะ” คำพูดเขาทอดหวาน อ่อนโยน “วันนี้ สิ่งที่พี่บอกรุ้งได้คือ...พี่รักรุ้ง...”

คำบอกรัก...ง่าย ตรงไม่ซับซ้อนเฉกเช่นจิตใจเขา ฟังแล้วใจหล่อนพลันอบอุ่น ละไม

“พี่เคยขาดแคลนทุกอย่าง ไม่มีใครเลยในชีวิต จนกระทั่งได้พบพ่อ แม่...และรุ้ง เวลานี้พี่มีความฝัน อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นสุข ของตัวเอง ต่างคนส่งเสริมกันทำความดีอย่างพ่อกับแม่...ความรักมันเปลี่ยนแปลงได้... แต่ถ้าเป็นไปได้พี่ขอให้มันเปลี่ยนไปเป็นเมตตา เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันและกัน ตลอดเวลาที่อยู่ร่วม ชั่วชีวิตหนึ่งนี้...” 

รุ่งรตีไม่ตอบ ไม่พูด...มีแต่อาการเคลื่อนไหวของมือเล็กบีบกระชับตอบอุ้งมือใหญ่...แทนคำยืนยัน...หล่อนจะพยายาม... 

 

 

บนเส้นทางที่ทอดยาวเฉกเช่นวัฏสงสารนั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยันว่าสามารถทำตามคำพูดตนได้หรือไม่

เชนกับรุ่งรตีไม่ได้ตั้งความหวังยิ่งใหญ่อะไรมากไปกว่า...ขอเป็นคนดี ประพฤติดี ไม่ตกไปในทางที่ชั่ว สนับสนุนกันให้อยู่บนเส้นทางสายกุศลโดยไม่พลัดหล่น...เพื่อจะได้ไม่ต้องหวาดกลัว ระแวดระวังยามขึ้นตาชั่งกรรม สามารถยิ้มให้ท่านผู้พิพากษาศาลกรรมได้เต็มหน้า โดยไม่หวั่นเกรงจะโดนกรรมชั่วตามไล่ล่า

 

 

จบ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP