สารส่องใจ Enlightenment

นิพพานอยู่ไม่ไกล



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่


การคบเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราคบเพื่อนดี ก็ทำให้ชีวิตเจริญได้
แต่ถ้าเราคบเพื่อนไม่ดีก็อาจทำให้ชีวิตของเราตกต่ำ
เราเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ เราก็มีโอกาสได้พบทั้งคนดีและคนไม่ดี
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราเป็นผู้ฉลาดในการคบเพื่อน
ถ้าเพื่อนไม่ดีอย่างนี้ เราก็รู้จักว่าเราไม่ควรคบค้าสมาคมมากจนเกินไป คบแต่เพียงผิวเผิน
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าคนชั่วเพียงคนเดียวนี้สามารถทำให้คน ๑๐๐ คนเสื่อมได้
มีอยู่ในพระวินัยของพระ
ท่านยังตรัสห้ามคบกับอลัชชี คือคนไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่ละอายต่อบาป
ถ้าใครคบพระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติ
ถ้าคนไหนดี ถึงเราไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย
เราก็ต้องพยายามคบค้าสมาคมด้วย เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆ จากเขา
คนเรามันต้องมีเพื่อน มีฝูง มีหมู่ มีคณะ
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นคนฉลาดในการคบเพื่อน


ที่เรามาบวช ที่เรามาถือศีล ที่เราได้มาปฏิบัติธรรม
เราก็มาเพื่อพบพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ปฏิบัติเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรม ไม่ตามใจตนเอง
งานของพระพุทธเจ้าก็คืองานปฏิบัติธรรม เอาพระธรรมเป็นที่ตั้ง

เอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่ตั้ง
บังคับตัวเองด้วยการปฏิบัติตามศีล ตามข้อวัตรปฏิบัติ ตามกติกาที่เราตั้งไว้
ตั้งขึ้นเพื่อบังคับตัวเราเอง ว่าเวลาไหนทำอะไร
ถึงเวลาเราก็ต้องทำตาม มันจะขี้เกียจก็ทำ มันจะขยันก็ทำ
จะไม่ทำตามขี้เกียจหรือว่าขยัน เราจะได้ทำตามหน้าที่
ให้เรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดี ให้ใจกับกายมันอยู่ด้วยกัน
นี้เขาเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ให้มันควบคู่ไปพร้อมๆ กัน


สิ่งที่มันเป็นอดีตก็ผ่านไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้
สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังไม่มาถึง เราก็อย่าได้ไปวิตกกังวล
เราปฏิบัติหน้าที่ของเราในปัจจุบันให้ดีที่สุด
พยายามให้เรามีศักยภาพในปัจจุบันทั้งกาย วาจา ใจ
แก้ปัญหาเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ปัญหาเรื่องเล็กๆ ให้มันหายไป
และเราอย่าได้ไปโทษสิ่งภายนอก สิ่งภายนอกมันก็เป็นปรากฏการณ์ตามเหตุปัจจัยของมัน
เราอย่าไปว่าสิ่งโน้นเป็นอย่างโน้น สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ อย่าไปตัดสินนินทาวิพากษ์วิจารณ์
สิ่งภายนอกมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ฉลาดก็ไปรับเอามาใส่ใจของเรา
ให้ตัวเราเป็นทุกข์ เป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์หลาย

เราจะไปปฏิเสธสิ่งต่างๆ ภายนอกนั้นไม่ได้
ถ้าใครปฏิเสธสิ่งต่างๆ แสดงว่าต้องการความว่างที่มันขาดสูญ ความว่างที่มันไม่มีอะไร
หมายถึงเราไม่ต้องการให้มันมีความเกิด ความแก่ ความตาย
ไม่อยากให้มีโลกธรรมทั้ง ๘ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ยศ ลาภ สรรเสริญ นินทา
ทุกอย่างมันมีของมันอยู่อย่างนั้น เพียงแต่เราไปรับเอามาใส่ใจ
ความรับเอามาใส่ใจเขาเรียกว่า ความปรุงแต่ง
ความปรุงแต่งคือสิ่งไม่ใช่ของจริง เพราะมันเป็นของปรุงแต่ง

การที่เข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นสุขอย่างยิ่ง


ที่เราเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้เกิดจากการปรุงแต่งของเราเอง
หาเรื่องหาราวมาใส่ใจเราเอง เราไปรับอิทธิพลต่างๆ มาให้กับตัวเราเอง
คนเรามันรับเอาอิทธิพลต่างๆ นั้น ตั้งแต่แบเบาะจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้
อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิตประจำวันเรารับเอาสิ่งภายนอกมา
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีการเสื่อมเป็นธรรมดา
ทุกอย่างมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ให้เราเห็นมันอย่างชัดแจ้งชัดเจน ให้เราพยายามตั้งมั่นในศีล
เราพยายามไม่หวั่นไหวในการมีสมาธิ มีความรู้จักรู้แจ้งในสติปัญญา
เราอย่าได้ฟุ้งซ่านไปตามสิ่งที่มันมากระทบทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เราถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ให้เราได้พัฒนาตนเอง
ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็ให้สถานที่นั้นเป็นที่ดับทุกข์ของจิตใจเรา
การดับทุกข์ทางกายมันอาจจะแก้ปัญหาได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่จิตใจของเรานั้นมันต้องดับทุกข์ตลอด
นิพพานมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ที่ใจของเรา อยู่กับกายของเรา อยู่ที่วาจาของเรา


เราอย่าได้ไปปฏิบัติตามความเบื่อความไม่เบื่อ ความชอบไม่ชอบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เราต้องรู้จักปล่อยวาง เราต้องรู้จักคำว่าช่างหัวมัน
ถ้ามิฉะนั้นแล้วเราจะเป็นคนไม่รู้จักโตนะ เป็นคนมีอินทรีย์บารมีไม่แก่กล้า
เป็นคนหนีความจริงหนีปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นคนที่อยากให้โลกนี้มันว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เช่น อยากเป็นคนหูหนวก คนตาบอด คนพิการ เป็นคนคิดว่าไม่มีสิ่งโน้นสิ่งนี้มารบกวนมันดี
เขาเรียกว่าความคิดแบบนี้เปรียบเสมือนคนหูหนวก ตาบอด คนพิการ
เป็นคนไม่มีสติปัญญา ไม่ใช่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า


เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างมีคุณประโยชน์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ถ้าเรารู้จักรู้แจ้งมันเป็นคุณ ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งมันเป็นโทษ
สำหรับความสุขความสะดวกสบายมันก็มีคุณ
แต่ถ้าเราไปหลงติดสุขติดสบายมันก็มีโทษ
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป

ถ้าเรามีสติปัญญาละก็ เราก็ไม่รับสิ่งที่เป็นคุณเป็นโทษมาทำร้ายตัวเอง
ให้เราเอามันมาส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติของเรา
เราอาศัยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นกัลยาณมิตร เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติดี
เราเกิดมาเราก็เกิดคนเดียว เราแก่เราก็แก่คนเดียว เราตายก็ตายคนเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกอย่างมันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น
แต่เราไปสำคัญมั่นหมายมันผิด ว่ามีตัวเราของเรา
ว่าเป็นบ้านของเรา พ่อของเรา แม่ของเรา ความเจ็บป่วยของเรา
แต่สิ่งเหล่านี้แท้จริงเป็นเพียงแค่นามสมมุติเฉยๆ โดยการแต่งตั้งเฉยๆ
แท้จริงมันไม่ได้มีอะไรเป็นของเรา


พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ
การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ
ก็ให้เรามีความตั้งมั่นในชีวิตประจำวันของเราให้กายกับใจมันอยู่ด้วยกัน


อย่าไปปรุงแต่งให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์
ให้เราทำใจให้มันสบายตั้งแต่ตื่นเช้าจนนอนหลับ ตื่นขึ้นก็ให้ทำใจให้สบาย
ทำอย่างนี้ทุกๆ วัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้มันเกิดประโยชน์ต่อบุคคลอื่น
เพราะคนอื่นเขาต้องการผลประโยชน์จากเรา
เขาต้องการคนมีศีลมีธรรมเป็นมือเป็นเท้าให้กับเขา เป็นหูเป็นตาให้กับเขา
สมดังเจตนาของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า
จงยังประโยชน์ของตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทด้วยเทอญ สาธุ


ปรกฺกโม ภิกขุ
(บันทึก)
๒๑/๕/๕๔

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - -

คัดจาก สมบัติของพ่อพระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP