วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๔๐


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

 

ลักษณ์ตรวจเช็คเอกสารเดินทางของตนกับลูกสาวเพื่อความเรียบร้อย พรุ่งนี้จะเดินทางแล้วเขาไม่อยากให้มีปัญหาเสียเวลาทีหลัง

 

ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องห่วง เมื่อตัดใจได้ ถึงตอนนี้เขาเชื่อว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ยอมเดินหนีไม่ต่อสู้ ช่วงชิงสมบัติร้อนให้เผามืออีก สุขศจีจะจัดการอย่างไรก็ช่าง จะถลุงสมบัติทั้งหมดภายในเดือนเดียวก็ตามใจ เขากับลูกปลอดภัย พอมีกินมีใช้ตลอดชีวิตโดยไม่ขาดแคลนก็ดีอยู่แล้ว

 

พูดถึงรุ่งรตีก็อดแปลกใจไม่ได้ หล่อนกับเขาทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย ขนาดลงมือลงไม้จนต้องหนีออกจากบ้าน จู่ๆ อีกวันหล่อนเดินกลับมาบ้าน พร้อมบอกง่ายๆ

 

“ไปก็ได้พ่อ”

 

ลักษณ์แทบไม่เชื่อหู โล่งใจที่สุด เขาคงเป็นห่วง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หากให้รุ่งรตีอยู่ที่นี่ท่ามกลางคนของสุขศจีที่พร้อมทำอะไรก็ได้ยากคาดเดา

 

ลูกของรามเป็นตัวอย่าง เขาไม่รู้พวกหลานโดนกระทำอย่างไรบ้าง แต่ไม่คิดให้ลูกสาวตนต้องเสี่ยงเฉียดใกล้เหตุการณ์เหล่านั้นเด็ดขาด

 

เขาย้ายมาอยู่คอนโดฯ กรุงเทพฯ บอกกับทุกคนจะมาเตรียมตัวเดินทาง เหตุผลแท้จริงคือไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสุขศจีและกลุ่มมาเฟียพวกนั้นอีกเลย รุ่งรตีขออยู่ที่นั่นต่อ...ลักษณ์คัดค้าน เจ้าหล่อนก็เสนอว่าจะพักบ้านคุณจิตใส ไม่เข้าบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลที่มีอาสุขศจี กับอาเขยอยู่ก็ได้

 

ลักษณ์ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้ลูกสาวฟังมากนัก แต่รุ่งรตีก็ฉลาดพอที่จะเห็นความกินแหนงแคลงใจระหว่างพ่อกับอาสาวและอาเขย จึงไม่อยู่บ้านนั้นให้เขาเป็นห่วง

 

แต่อยู่บ้านคุณจิตใส...ลักษณ์ใช่จะวางใจร้อยเปอร์เซ็นต์

 

เขามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างรุ่งรตีกับเชน ทั้งคู่ปลูกสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้ยังไม่แน่นแฟ้นฉันคนรัก แต่ก็ไม่ไกลนัก

 

ลักษณ์ไม่รังเกียจเชน ออกจะยินดีด้วยซ้ำที่ลูกรู้จักเลือกคนดี ถ้าไม่ติดตรงรุ่งรตีอาจมีอันตรายหากอยู่เมืองนั้น...การแยกหล่อนไปอยู่ต่างประเทศอาจมีผลดีต่อความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็ได้ อย่างน้อยเพื่อเรียนรู้ใจกัน ระหว่างที่ปัญหาตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลยังไม่คลี่คลาย

 

ตึ้ด...ตึ้ด...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลักษณ์ถอนใจ เบื่อจะรับสาย เบื่อที่จะต้องตอบคำถามคนรู้จักว่าจะไปอเมริกานานแค่ไหน

 

เบอร์ที่โชว์เป็นเบอร์ตู้สาธารณะ ลักษณ์ฉุกใจ รีบรับสาย

 

“ฮัลโหล”

 

“สวัสดีคุณลักษณ์” เสียงคุ้นเคย...บุญส่ง

 

“แกเองเหรอ” ลักษณ์ถามเสียงแปร่ง รู้สึกละอายใจต่อคนคนนี้

 

“ได้ข่าวว่าคุณจะไปอเมริกา”

 

“ใช่”

 

“ผมผิดหวังในตัวคุณจริงๆ” น้ำเสียงตรงตามที่พูด

 

“ฉันต้องขอโทษด้วย” ลักษณ์พูดจากใจจริง รู้กันว่าเรื่องใด

 

หึ...หึ...บุญส่งหัวเราะเสียงเครียด เจ็บแค้นลึก

 

“คำขอโทษไม่มีประโยชน์หรอก” บุญส่งพูดหยัน

 

“แกต้องการอะไรล่ะ”

 

“ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณแล้ว” คำตอบบุญส่งผิดคาด

 

ลักษณ์เงียบ ไม่รู้จะพูดอย่างไร ความละอายก่อตัวในใจ

 

“ผมแค่จะโทรมาบอกขอบคุณคุณเท่านั้น” คำพูดสร้างความประหลาดใจไม่น้อย

 

“ขอบคุณเรื่องอะไร” ลักษณ์สงสัย

 

“เรื่องที่คุณพยายามช่วยผมที่โรงพยาบาลไง” บุญส่งทบทวนความจำ

 

ลักษณ์นิ่งอั้น แสดงว่าบุญส่งได้ยินคำสนทนาระหว่างเขากับสุขศจีก่อนหลบหนีสำเร็จ

 

“ฉันทำได้แค่นั้นเอง”

 

“ผมถือว่านั่นเป็นบุญคุณต้องตอบแทน” บุญส่งพูดเสียงหนักแน่น

 

“ไม่ต้องหรอก” ลักษณ์ตอบ

 

“เอาเถอะ...ถือว่าผมช่วยคุณเป็นครั้งสุดท้าย” เงียบไปนิดนึง ก่อนเขาจะยิงคำถาม “รู้หรือเปล่าว่าคุณถูกจับตามอง”

 

ลักษณ์นิ่งอั้น...รู้สิ...ทำไมจะไม่รู้ สุขศจีไม่มีทางปล่อยให้เขาคลาดสายตาง่ายๆ การที่เขาทำตัวอยู่ในสายตาหล่อนมันก็มีผลดี ให้น้องสาววางใจได้ รุ่งรตีอยู่ทางโน้นก็ยังปลอดภัย

 

“รู้...” เขาตอบ

 

“งั้นวันนี้ก็พยายามทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนเสียหน่อย อย่าให้คนติดตามรู้ว่าคุณอยู่ไหน”

 

“ทำไม” ลักษณ์สงสัย

 

“ผมบอกคุณได้เท่านี้...ลาก่อน”

 

“เดี๋ยว...” ลักษณ์พยายามร้องเรียก

 

บุญส่งถอนใจหนักๆ ก่อนพูดอีกประโยค

 

“ขอร้อง...เชื่อผม...อย่าถามอะไรอีก...ต่อจากนี้เราคงไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว...ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย”

 

บุญส่งวางหู...ลักษณ์นั่งนิ่ง...คำเตือนนี้มีความหมายอย่างไร...และเขาจะปฏิบัติตามได้อย่างไร 

 

 

 

โรงเจวันนี้สงบเงียบเช่นวันก่อน ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแผ่ปกคลุมจนเหมือนสวนสาธารณะส่วนตัวกลางเมือง

 

เชนจอดรถไว้ด้านนอก พารุ่งรตีเดินเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำพลาสติกใส เป็นน้ำที่กรวดตอนรับพรจากท่านอาจารย์เมื่อเช้า ตั้งใจนำมาฝากคุณนายพวงทอง

 

พรุ่งนี้หญิงสาวต้องเดินทางไกล ระหว่างอยู่บ้านคุณจิตใสก็ไปวัดทุกวัน ปฏิบัติตัวอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ท่านอาจารย์แนะนำสั่งสอนเป็นแนวทางให้ด้วยเมตตา

 

วันนี้เป็นวันลา คืนนี้ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ขึ้นเครื่องบินพรุ่งนี้ ท่านอาจารย์ทิ้งคำสอนเป็นของฝากสั้นๆ

 

“จะไปไหนก็ขอให้มีสติอยู่กับตัว...อย่าลืมกาย ลืมใจ”

 

คำสอนเรียบง่าย หากได้ยินก่อนหน้านี้ รุ่งรตีคงรับฟังผิวเผิน ไม่ต่างจากฟังคำสั่งสอนทั่วไป...ยามได้ยินขณะนี้จิตใจซึมซับกระแสเมตตาของท่านอย่างซาบซึ้ง...ท่านอาจารย์ให้ของมีค่ายิ่ง...

 

“สติ” เป็นธรรมสำคัญล้ำค่า...เกินกว่าใครคาดคิด

 

“แปลกนะพี่เชน...ช่วงนี้ไม่ค่อยรู้สึกว่าคุณย่าท่านมาวนเวียนอยู่เลย” รุ่งรตีเปรย

 

“พี่สัมผัสคุณยายได้ครั้งล่าสุดก็ที่งานศพน้าราม” เชนบอก

 

“ท่านอาจไปดีแล้วก็ได้นะ” หญิงสาวพูดแง่ดี

 

เชนไม่พูดแสดงความเห็น เขารู้ว่าคุณนายพวงทองยังไม่ไปจากตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล เพียงแต่เธอติดอยู่กับอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่รู้ บอกไม่ถูก ขณะเข้ามาโรงเจวันนี้ยังสัมผัสกระแสร้อนอ้าวทั้งที่แดดไม่จัดกว่าเคย ต้นไม้ยังร่มรื่นดังเดิม กระแสร้อนนี้คล้ายคลื่นความร้อนคราวที่แล้วที่เขามากับแม่ มันเป็นคลื่นร้อนความทุกข์ ความเศร้า บีบคั้นหัวใจ กลายเป็นพันธนาการขนาดใหญ่ครอบคลุมคุณนายพวงทองไว้ ไม่อาจดิ้นรนหลบหนีไปไหน

 

ประตูศาลาเปิดกว้าง คลื่นความร้อนด้านนอกยังไม่จืดจาง เชนเปิดหน้าต่าง หวังช่วยระบายอากาศให้ปลอดโปร่งขึ้น...มันได้ผลเล็กน้อย ยังไม่ดีนัก เขามั่นใจคุณนายพวงทองถูกขังในกรงทุกข์เดิมๆ แน่นอน

 

เชนกับรุ่งรตีจุดธูปไหว้พระพุทธรูป หญิงสาวบอกลาคุณย่าในใจ ปักธูปกราบพระเสร็จก็หยิบน้ำที่ถือจากวัดขึ้นมา

 

“เราจะกรวดน้ำให้คุณย่าที่ไหนดีพี่เชน”

 

“ข้างนอกก็ได้ ที่จริงนี้เป็นน้ำที่เรากรวดให้ท่านจากวัดแล้ว เราแค่เอามาฝากท่านที่นี่เฉยๆ” เชนพูดแล้วฉุกใจ คราวก่อนแม่เคยแผ่เมตตาให้คุณนายพวงทองที่นี่ ซึ่งช่วยเธอรับกระแสความเย็นสัมผัสจิตใจ คลายความร้อนรุ่มจากทุกข์ลง เขาคงทำอย่างแม่ไม่ได้ แต่หากใช้น้ำที่กรวดรับพรจากท่านอาจารย์มาเป็นสื่อ อาจมีผลดีขึ้นบ้าง 

 

 

 

เชน รุ่งรตีนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณโรงเจ หญิงสาวเทน้ำรินรดต้นไม้ จิตใจจับอยู่กับกระแสความเย็น เอ่ยปากออกมาด้วยวาจาอ่อนโยน

 

“รุ้งมาลาคุณย่า...จะไปอเมริกา...ทำบุญมาฝาก...ขอให้คุณย่าชุ่มเย็นเหมือนน้ำนี้นะคะ”

 

ขณะที่หญิงสาวพูด จิตของเชนก็ตั้งมั่นขึ้นมาชั่วครู่ จับความเย็นของกระแสน้ำแล้วแผ่ออกกว้างดั่งทะเลมหาสมุทร ถ่ายทอดความอ่อนโยนปรารถนาดีจากจิตใจเข้าแตะสัมผัสจิตคุณนายพวงทองด้วยความคุ้นเคย

 

“ขอให้คุณยายได้รับกระแสผลบุญในวันนี้ เช่นเดียวกับที่พวกเราทุกคนได้รับด้วยครับ”

 

และแล้ว...เสียงแผ่วเบา...ทว่าชัดเจนก็ดังก้องในหูทั้งสอง

 

“...สาธุ...”

 

ปีติจากคำอนุโมทนาบุญสะท้อนกลับจนทั้งคู่ขนลุกซู่ ความร้อนอบอ้าวรอบกายคลายลง โรงเจค่อยปลอดโปร่งเฉกเช่นควรเป็น

 

เชนยิ้มให้รุ่งรตี รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป คุณนายพวงทองอนุโมทนาบุญแล้ว ความขุ่นหมองค่อยคลาย

 

“จากนี้เราจะไปไหนกันดีน้า...” หญิงสาวหันมายิ้มซุกซน

 

“พี่ว่างทั้งวัน...ไปไหนไปกัน” เชนตอบรับด้วยรอยยิ้ม

 

สองหนุ่มสาวมีเปลือกแจ่มใส เป็นสุข ลึกลงนัยน์ตาทั้งคู่มีเงาอาลัยลา สายใยผูกพันที่ก่อร่างสร้างมาทีละเล็กละน้อยกระตุกรั้งให้รู้สึกในวินาทีที่รู้ว่าจะต้องจากกัน

 

“งั้นช่วยพี่ปิดศาลาก่อน” เชนบอก ปกติโรงเจจะมีคนดูแลจากโรงแรมมาตรวจตราความเรียบร้อย วันละครั้งสองครั้งเช้าเย็น ต่อให้เขาไม่ปิดศาลาโรงเจ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ที่เชนบอกเช่นนี้ เพราะอยากยืดเวลาของการอยู่ร่วมให้นานอีกหน่อย

 

เชน รุ่งรตีช่วยกันปิดประตู หน้าต่างศาลาโรงเจเชื่องช้า อยากให้เวลาเดินถอยหลัง เสร็จเรียบร้อยแล้วมานั่งบนบันไดหน้าศาลา ไม่รู้จะไปไหนดี

 

“พี่เชนว่ารุ้งเรียนอะไรดี ที่มันจบเร็วๆ จะได้กลับเมืองไทย” รุ่งรตีชวนคุย

 

“พี่ว่ารุ้งเลือกเรียนอย่างที่ชอบดีกว่า” เขาตอบ “เรื่องกลับเมืองไทย มาตอนปิดเทอมก็ได้”

 

“จริงด้วย” หญิงสาวตอบรับเสียงประชด “พ่อรวยจะตาย กลับเมืองไทยทุกเดือนยังได้เลย”

 

เชนเฉยเสียอย่างคนรู้อารมณ์ฝ่ายตรงข้าม รุ่งรตีอารมณ์เปลี่ยนแปรเร็ว เมื่อเช้ายังอิ่มบุญจนมาถึงโรงเจ กรวดน้ำให้คุณนายพวงทองก็ยังเรียบร้อยดี พอไม่กี่นาทีให้หลัง ก็กลับเป็นเด็กแสนงอนคนเดิมอีกแล้ว

 

“ไม่จำเป็นต้องกลับทุกเดือนก็ได้จ้ะ” เขาพูดน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจวิบวับ ไม่ต่างจากคนนั่งข้างๆ

 

“เราเมลคุยกันทุกวันดีกว่า อินเตอร์เน็ตครอบคลุมทั่วโลกอยู่แล้ว ถ้าเวลาว่างตรงกันก็นัดแชตกันยังได้ โลกมันแคบลงตั้งเยอะ”

 

การสื่อสารพวกนี้รุ่งรตีรู้จัก แต่ถึงอย่างไร หล่อนก็พอใจกับการสื่อสารแบบเห็นหน้า สัมผัสตัวกันได้มากกว่า

 

“ถึงตอนนั้น รุ้งจะเมลมาหาพี่เชนก็แล้วกัน แต่บอกก่อนนะว่ารุ้งเขียนอะไรไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว” น้ำเสียงเจ้าหล่อนยังติดงอนๆ

 

“โธ่...พี่ก็ไม่ใช่คนเขียนอะไรเก่งเหมือนกัน คิดยังไงก็เขียนอย่างนั้นแหละ รุ้งอ่านแล้วอย่าเพิ่งเบื่อล่ะ”

 

หญิงสาวยิ้ม อารมณ์ดีขึ้น

 

“งั้นรุ้งจะไปเรียนคอร์สสั้นๆ ดีกว่า จบเร็วดี...อย่างพวกทำอาหารก็ไม่เลวนะ กลับมาจะสมัครเป็นกุ๊กร้านครัวพวงทองก็ได้”

 

เชนหัวเราะเบาๆ ยังดีที่ร้านครัวพวงทองปิดอย่างไม่มีกำหนด ไม่งั้นเขาคงแซวได้ว่า...ขืนหล่อนเป็นกุ๊ก...ร้านนี้มีหวังถูกปิดถาวรแน่...อยู่บ้านเดียวกันมาเป็นสัปดาห์ก็พอเห็นอยู่ ขนาดชงกาแฟ เจียวไข่ หล่อนยังทำไม่ได้เรื่อง ขืนให้เป็นกุ๊ก...สงสารลูกค้าแย่...

 

“เออ...พี่นึกออกแล้ว จะพารุ้งไปไหนดี” ความคิดหนึ่งแวบในหัว เชนรีบบอก

 

“ไปไหนเอ่ย” รุ่งรตีไม่สนใจเชนจะพาไปที่ใด...แค่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ต่อให้นั่งคุยกันที่บันไดโรงเจยันค่ำก็ไม่ว่า

 

“ไม่บอก เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง” เชนยิ้ม รอยยิ้มเขามีรำลึกอันงดงาม รุ่งรตีเห็นแล้วนึกสนใจ...อยากรู้...สถานที่แห่งใดทำให้เชนดูมีความสุขขนาดนี้ 

 

 

 

สองหนุ่มสาวออกจากโรงเจแล้ว เงาร่างคุณนายพวงทองค่อยปรากฏตรงหัวบันไดตรงที่ทั้งคู่เพิ่งลุกหมาดๆ กระแสใจคุณนายทำท่าจะเอื้อมตามไปแตะผู้คล้อยหลังแต่ชะงักงัน ลังเลไม่แน่ใจ

 

คุณนายพวงทองเกิดสังหรณ์อีกแล้ว...สังหรณ์ของเธอไม่เคยมีเรื่องดี ทุกครั้งที่สังหรณ์ผุดมาเช่นนี้ เธอต้องกระวนกระวาย หาทางบอกให้ทุกคนรู้ หาทางป้องกัน หลีกเลี่ยง...คราวนี้กลับแตกต่าง...คุณนายพวงทองเริ่มชืดชาต่อมัน ที่ผ่านมาแต่ละครั้ง เธอเคยขัดขวางการส่งผลของกรรมสำเร็จหรือไม่

 

ไม่เลย...สังหรณ์ที่เกิดเป็นแค่การเล่นเกมของธรรมชาติ ที่ล่อหลอกให้มีความหวัง ก่อนจะกระชากมันคืน เพื่อยืนยันให้เธอได้เรียนรู้ เห็นชัด...กฎแห่งกรรมเที่ยงตรง ไม่โอนเอน...ทำหน้าที่ของมันอย่างเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจความต้องการของใคร ดำเนินไปตามเหตุตามผลอย่างสมบูรณ์

 

ใจวิบวับบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาคุณนายพวงทองจมอยู่กับกองทุกข์เรื่องสูญเสียลูก และทุกข์หนักเมื่อเห็นพี่น้องฆ่ากันเอง ทะเลาะเบาะแว้งเรื่องสมบัติ ทุกข์เหล่านั้นพันธนาการเธอจนจมดิ่ง หม่นซึมเหมือนถูกขังคุกมืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

 

จนกระทั่งสัมผัสกระแสอันชุ่มเย็นของบุญ ได้รับรู้ถึงเจตนาดีจากใจของเชน รุ่งรตีนึกน้อมอนุโมทนาต่อความชุ่มเย็นในกระแสบุญนั้น คุกมืดค่อยเผยแสงจันทร์

 

เชนกับรุ่งรตีจากไป คุณนายพวงทองค่อยเกิดสังหรณ์ร้าย...สังหรณ์ร้ายครั้งนี้ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง ไม่มีสัญญาณสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งนั้น เปรียบกับถังแก๊สที่ถูกอัดเต็มที่จะระเบิด...มันวูบเดียว...พริบตาเดียว

 

...อะไรจะเกิด...ต้องเกิด...

 

เป็นครั้งแรกที่คุณนายพวงทองรู้ชัดถึงคำนี้ พอระลึกได้ ใจค่อยเบา ตะกอนทุกข์คลายตัว สัมผัสกับสุขในกระแสบุญที่เพิ่งอนุโมทนามาอย่างเต็มที่

 

 

 

รุ่งรตีแปลกใจที่เชนขับรถพามายังที่ดินเปล่าแปลงเล็กแปลงหนึ่ง บริเวณรอบนั้นเป็นบ้านเรือนหลังกะทัดรัด อยู่กันมาเกินสิบปี

 

ลงจากรถมาดูที่ดินใกล้ๆ จะเห็นร่องรอยสิ่งปลูกสร้าง น่าจะเป็นบ้านขนาดไล่เลี่ยกับบ้านเรือนรอบๆ...ตอนนี้มันกลายเป็นที่ดินโล่ง ปลูกไม้ดอกล้มลุกที่ผลิสวยเป็นอาหารตาแก่ผู้ผ่านไปผ่านมา

 

รุ่งรตีเดินดูไม่เท่าไหร่ ก็ไม่เหลือสิ่งใดให้สนใจอีก สังเกตว่าเจ้าของที่ดินคงมาดูแลบ้างไม่ปล่อยปละให้หญ้ารก มีแต่ดอกไม้สวยขึ้นเองตามธรรมชาติ

 

“จะชวนรุ้งซื้อที่แปลงนี้เหรอ” หญิงสาวถามล้อเลียน

 

“เปล่า” เชนนึกขัน “ที่แปลงนี้ไม่ต้องซื้อหรอก...ของพี่เอง”

 

รุ่งรตีแปลกใจ...คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มเข้าใจ ที่ดินแปลงนี้เชนคงไม่ได้เพิ่งซื้อมา ดูแล้วไม่ใช่ทำเลดีอะไรสำหรับทำการค้าขาย ถ้าจะเอาไว้สร้างบ้านก็ดูจะเล็กไปหน่อย สำหรับคนเคยอยู่ “คฤหาสน์” มาตลอดชีวิต อย่างรุ่งรตี

 

ที่ดินนี้...คงเป็นที่ดินในความทรงจำ...

 

“เป็นบ้านเก่าของพี่” เชนบอกด้วยสีหน้าละมุน ฉายรอยอดีตงดงาม

 

“ที่ถูกไฟไหม้ใช่มั้ย...” รุ่งรตีหลุดปากถามแล้วแทบกัดลิ้นตัวเอง กลัวอีกฝ่ายสะเทือนใจ

 

ผิดคาด รอยยิ้มเชนยังคงเดิม เสมือนคนมองอดีตด้วยสายตารู้เท่าทัน

 

“จ้ะ...ตอนนั้นไฟไหม้หมด ไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นที่ดินเปล่า...คนแถวนี้เคยขอซื้อ แต่พี่ไม่ขาย...เคยฝันไว้ว่า จะกลับมาสร้างบ้านใหม่บนที่ดินตรงนี้ให้ได้...”

 

รุ่งรตีรู้สึกราวกับตัวเองกำลังร่วมความฝันของเขา

 

“แล้วทำไมยังไม่ทำล่ะ” หล่อนถาม

 

“นั่นน่ะสิ” เชนยิ้มใส ดวงตาที่มองมาทำเอารุ่งรตีหัวใจสะเทือน เชนคล้ายมีบางคำพูดอยู่ในแววตานั้น “อาจเป็นเพราะพี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกของพ่อแม่จริงๆ แล้วมั้ง...หรือบางที...พี่อาจรอใครสักคน มาช่วยพี่ออกแบบบ้าน”

 

คำท้ายมีความหมายอย่างที่หญิงสาวไม่เคยได้ยินจากใครมาก่อน

 

“มิน่าล่ะ พี่เชนถึงเลือกทำอาชีพขายวัสดุก่อสร้าง...ไม่เป็นทหารอย่างคุณลุง” รุ่งรตีรีบพูดอีกเรื่อง เกิดเขินอายที่คำพูดนั้น ใกล้ตัวเข้ามาทุกที

 

ดวงตาของเชนมีรอยยิ้ม...รอยยิ้มเท่าทัน...รู้ทันความคิดหญิงสาวเบื้องหน้า 

 

“ก็น่าจะมีส่วน” เขายอมรับ “เมื่อก่อนพี่ก็อยากเป็นทหารเหมือนพ่อ แต่คงเพราะความฝันที่อยากสร้างบ้านหลังนี้มั้ง เลยเปลี่ยนใจ”

 

รุ่งรตีคิดว่าจะรอดตัว สุดท้ายโดนตลบหลัง ไม่นึกว่าผู้ชายเรียบๆ อย่างเขา จะมีลูกเล่นวาจาเช่นกัน 

 

“ความฝัน ความคิดมันอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความรู้สึกบางอย่างในใจพี่มันคงเปลี่ยนยากมาก...จนแทบบอกว่ายากจะเปลี่ยน...ถ้าหากอีกฝ่ายมีความรู้สึกตรงกัน”

 

ได้ยินเช่นนี้ เล่นเอาสาวมั่นอย่างรุ่งรตีตอบไม่ถูกไปครู่หนึ่ง...ใจหล่อนมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าให้พูดออกมา คงขัดเขิน ยากจะรักษาภาพของตัวเองได้

 

“รุ้งนึกออกแล้วว่าจะไปเรียนอะไรดี” หญิงสาวรีบนอกเรื่อง ใบหน้าร้อน “เรียนออกแบบดีกว่า...ไม่รู้ว่าเขาจะมีหลักสูตรสั้นๆ ในการออกแบบบ้านมั้ย...”

 

พูดออกมายาวๆ เช่นนี้ ใจคอค่อยโล่งขึ้น ดวงตาทอประกายระยิบระยับ ความรู้สึกในใจยากจะปกปิดทางแววตา

 

“ถ้าเรียนจบแล้ว รุ้งจะมาออกแบบบ้านให้พี่เชนดีมั้ย...ไม่คิดตังค์ด้วย...แต่ถ้าเอาไปสร้างแล้วบ้านพัง อยู่ไม่ได้ อย่ามาโทษก็แล้วกัน”

 

เชนหัวเราะเบาๆ ดวงตามีประกายไม่ผิดกับหญิงสาว ตอนนี้ถึงไม่พูดก็เข้าใจ

 

“ถ้าเป็นบ้านที่รุ้งออกแบบให้ พี่ชอบอยู่แล้ว...ให้สิทธิตกแต่งตามใจเลย ไม่ค้านสักคำ”

 

“ให้มันจริงเถอะ” หล่อนงึมงำในลำคอ

 

ถึงแกล้งบ่นอย่างนั้น รุ่งรตีก็รู้ว่าเชนพูดจริง ความจริงใจฉายชัดผ่านแววตา สัมผัสได้ด้วยใจเช่นนี้ มันยากจะปลอมแปลง หลอกลวง มันอาจต้องใช้เวลาในการพิสูจน์บ้าง บนเส้นทางแห่งการพิสูจน์ใจ คงต้องใช้เวลาสักระยะ แต่มันจะเป็นเวลาที่มีค่า เมื่อดอกผลของมันผลิบาน 

 

 

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP