วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๙


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

รุ่งรตีตื่นมาพบเช้าที่สดใส บนห้องนอนรับแขกที่บ้านเชน ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยน้ำตา เงาอดีตผ่านพ้น เช่นฝันชั่วข้ามคืน เชนให้หล่อนนอนค้างที่บ้านทั้งที่กระอักกระอ่วนใจเพราะอยู่กันแค่สองคน แต่มันยังดีกว่าปล่อยให้หล่อนไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่น

หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวลงมาข้างล่าง ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กในครัว จึงเดินตามเสียงไปพบเจ้าของบ้านแต่งชุดลำลองสบายๆ ต้มโจ๊กหน้าเตา รุ่งรตีไม่ขยับตัว ยืนมองภาพของเขาให้มันประทับความทรงจำ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยยังเด็ก พ่อเคยต้มโจ๊กให้วันที่ลูกสาวงอแงไม่ยอมกินข้าวที่แม่ครัวทำ...ร้องอยากกินอาหารฝีมือพ่อ...หล่อนจำรสชาติโจ๊กวันนั้นไม่ได้ แต่จดจำใจอันอบอุ่นเมื่อได้รับการเอาใจใส่จากพ่อโดยไม่ลืม

ภาพของเชนซ้อนทับภาพของพ่อในวันวาน...ชายหนุ่มร่างสูง ดูอบอุ่นอยู่หน้าเตา ท่ามกลางแสงสว่างแรกอรุณ...รสชาติอาหารไม่สำคัญเท่าจิตใจคนปรุง 

“อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ” เชนหันมายิ้มให้ “พอดีเลย ใกล้เสร็จแล้ว รออีกเดี๋ยวนะ”

รุ่งรตียิ้มตอบ...ไม่อยากพูดจา นอกจากมองชายหนุ่มตรงหน้าให้เนิ่นนาน

มื้อเช้าที่อบอุ่นผ่านไปรวดเร็ว รุ่งรตีเป็นฝ่ายถามเชน เกี่ยวกับเรื่องคุณลุงคุณป้า

“พี่เชนจะไปรับคุณลุงคุณป้าตอนไหน”

“สักสายๆ เดี๋ยวก็ไปจ้ะ” เขาตอบ

“อยากไปด้วยจัง” รุ่งรตีพูดพลางลูบแก้มตนเอง รอยแดงฝ่ามือเมื่อวานกลายเป็นรอยช้ำเขียวเห็นชัด

“ก็ไปสิจ๊ะ ใครว่าอะไร” เชนไม่คิดว่ารอยช้ำนั้นจะเป็นปัญหา

“อายคนเขาแย่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก รุ้งผมยาวอยู่แล้ว หวีปิดสักหน่อยก็สังเกตยากแล้วล่ะ” เขาแนะนำ เห็นหญิงสาวลังเลจึงพูดต่อ

“ช่วงนี้ท่านอาจารย์ ที่เป็นอาจารย์ของพ่อแม่พี่ก็มาจำพรรษาที่นี่ รุ้งไปกราบท่านเสียหน่อยจะได้เป็นสิริมงคลแก่ตัว”

รุ่งรตีไม่คัดค้าน บอกไม่ถูกทำไมถึงนึกอยากไปทันที ทั้งที่ใบหน้ามีรอยเช่นนี้ ความอายมันจางหายไป เมื่อได้ยินเชนเอ่ยถึง “ท่านอาจารย์” หล่อนรู้สึกอยากพบท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาก่อน 

 

 

สองหนุ่มสาวมาถึงวัดตอนสาย พระฉันเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์กำลังเทศนาอบรมสั่งสอนเหล่าลูกศิษย์ที่เพิ่งออกจากศีลแปด เชนพารุ่งรตีเข้ามาในศาลา หาที่นั่งด้านหลังสุด คุกเข่ากราบท่านอาจารย์แล้วนั่งพับเพียบ ฟังเทศน์ด้วยอาการสำรวม

ท่านอาจารย์กำลังเทศน์เรื่องการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันสำหรับลูกศิษย์ฆราวาส เสียงท่านดังกังวาน ทุกคนได้ยินชัดเจน จนเนื้อหาเรื่องการปฏิบัติจบลง ท่านก็ขึ้นอีกประเด็น...

“คนที่เป็นพ่อเป็นแม่รักลูก ก็อยากให้ลูกได้ดีทั้งนั้นแหละ แต่วิธีการแสดงความรักไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ คนเป็นลูกก็อยากให้พ่อแม่แสดงความรักอย่างที่ตัวเองต้องการ...คนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูกเชื่อฟัง ทำตามในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี โดยไม่ยอมเข้าใจกันเลยว่าต่างคนต่างมีมุมมอง วิธีคิดของตัวเอง” 

“ความเข้าใจกันเป็นเรื่องสำคัญในครอบครัว ถ้าทุกคนเอาแต่ ตัวกู เป็นหลัก ครอบครัวก็พังอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนรู้จัก ตัวกู และเข้าใจ ตัวกูของคนที่อยู่ร่วมกัน ปัญหามันก็มีทางประนีประนอม ปรองดองกันได้...ความเข้าใจ ความอ่อนโยน เมตตากันเป็นสิ่งสำคัญ มองแต่ความต้องการของตัวเอง โดยไม่ยอมมองเหตุผลของคนอื่น มันจะทำให้ตัวกูยิ่งฝังลึก ปัญหาเดิมก็ไม่จบ เกิดทุกข์แบบเดิมซ้ำๆ ซากๆ”

“ถ้าเรากล้าเปลี่ยนตัวเอง กล้าเดินออกมาจากความต้องการของกิเลส มองโลก คนรอบตัวด้วยดวงตาที่มีเมตตา เข้าใจ เราจะเห็นสิ่งรอบตัวกว้างขึ้น ปัญหาที่คิดว่าหนักหนา แก้ไม่ได้ จะกลายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย” 

รุ่งรตีนั่งฟังเทศน์ด้วยความรู้สึกเหมือนโดนแทงทะลุกลางอก ทุกวาจา คำพูด ผ่าม่านอัตตาในใจอย่างแหลมคม เฉียบตรง ฟังแล้วรู้สึกปลอดโปร่ง สว่าง...ก้อนทุกข์ที่ค้างคาก็หลุดถอน ละลายไปโดยไม่จำเป็นต้องเพียรพยายาม

เทศน์จบ หญิงสาวเปล่งวาจา “สาธุ” อนุโมทนาเต็มตื้น พร้อมกับคนทั้งศาลา คุกเข่ากราบท่านอีกครั้งด้วยหัวใจหมอบราบ เคารพยิ่ง

 

 

เหล่าลูกศิษย์ทยอยออกจากศาลา คุณจิตใส นายพลทางธรรม หันมาเห็นสองหนุ่มสาวนั่งอยู่ด้านหลัง จึงลุกมาหา

“รุ้งมาวัดด้วยหรือจ๊ะ แหมดีจังเลย” คุณจิตใสทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า รุ้งอยากเข้าไปกราบท่านอาจารย์จังเลย คุณป้าช่วยพาไปหน่อยได้มั้ยคะ” รุ่งรตีอยากกราบท่านใกล้ๆ จนแน่นหัวอก ลืมความอายที่ใบหน้ายังมีรอยเขียวช้ำ

คุณจิตใสสัมผัสปีติที่แน่นหัวอกหญิงสาว ใบหน้าหล่อนกระจ่างใส แม้มีร่องรอยเขียวช้ำก็ไม่ทำให้สะดุดตา

“ไปสิจ๊ะ” คุณจิตใสตอบรับ พลางมองสามี แอบส่งรอยยิ้มแก่กันโดยไม่ตั้งใจ

“ลูกศิษย์เก่า” ของท่านอาจารย์เช่นคนทั้งสองย่อมรู้ การเทศนาของท่านแต่ละครั้งล้วนมีจุดมุ่งหมาย วันนี้ท่านเทศน์เรื่องการปฏิบัติธรรมแก่ลูกศิษย์ที่มุ่งต่อความเพียร ตอนท้ายเทศน์ท่านกลับพูดถึงอีกเรื่อง ซึ่งดูเจาะจงจี้ “ใคร” บางคน เวลานี้ทั้งคู่รู้แล้วว่าท่านมุ่งหมายเมตตาใคร

รุ่งรตีก้มกราบพระภิกษุชราด้วยกิริยาเคารพ สำรวมที่สุดเท่าที่เคยทำ ความอบอุ่นแล่นปลาบจับหัวใจ บอกต่อตนเอง...กระแสเมตตาเป็นเช่นนี้เอง...มีทั้งความอบอุ่น อ่อนโยน ชุ่มเย็น หนักแน่นสัมผัสชัดได้ด้วยใจ

“หลานสาวเจ้าค่ะ...ลูกน้องชาย” คุณจิตใสแนะนำ

“อืม..เพิ่งมาครั้งแรกหรือ” ท่านเจาะจงถามหญิงสาว

“ค่ะท่าน” รุ่งรตีตอบ

“ฟังเทศน์เข้าใจไหมล่ะ” ท่านถามชวนคุยธรรมดาทั่วไป รุ่งรตีกลับตื้นตัน มั่นใจว่าตนเข้าใจไม่ผิด...ท่านเจาะจงสอนหล่อนโดยเฉพาะ

“เข้าใจค่ะ” หล่อนตอบเสียงไม่ปกตินัก น้ำตาพานจะไหล เงยหน้ามองท่านอาจารย์ด้วยดวงตาเคารพ “ต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยค่ะ”

ใบหน้าท่านอาจารย์ยังมีรอยยิ้ม อ่อนโยนเมตตาดังเดิม เฉกเช่นตะวันอุ่นฉายแสงแก่ผืนโลกเสมอกัน ไม่หวังต่อคำชื่นชมยินดี หรือกังวลต่อเสียงบ่น ก่นด่าจากใคร 

 

 

นั่งรถกลับพร้อมกัน เบิกบาน อิ่มเอม จิตใจรุ่งรตีผ่อนคลายมากพอที่จะพูดกับคุณจิตใสด้วยน้ำเสียงปกติ

“เมื่อวานรุ้งทะเลาะกับพ่อหนักมาก...เลยมาขอพี่เชนค้างที่บ้านคุณป้า...พ่อเขาอยากให้รุ้งไปเรียนต่อที่อเมริกา คราวนี้เขาจะไปอยู่ด้วย รุ้งไม่อยากไป เลยทะเลาะกันใหญ่”

หญิงสาวหยุดพูด ถอนใจยาวก่อนยิ้มสดใส

“ตอนนี้รุ้งว่า...ไปก็ได้ค่ะ...พ่อเขาคงหวังดีจริงๆ และรุ้งมันก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ ด้วย”

หญิงสาวตอบพลางมองเชน การเปิดใจเมื่อคืนทำให้หล่อนรู้ว่าคนที่เคยทุกข์ มีปัญหากว่าตนเองยังมี เขาไม่เคยสนใจมองบาดแผลเก่าในใจตนด้วยซ้ำ ผิดกับหล่อนที่คอยย้ำคิด ย้ำทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันนี้ได้ฟังเทศน์แทงใจ เหมือนเปิดตาให้กว้าง พลิกของคว่ำให้หงายขึ้น เข้าใจ เห็นชัดเจนจนไม่ต้องพยายามฝืนใจทำอะไรเลย

“รุ้งจะไปเมื่อไหร่จ๊ะ” คุณจิตใสถาม

“เห็นพ่อบอกว่าอีกสองอาทิตย์ค่ะ”

เชนฟังแล้วใจหาย หัวใจโดนกระตุก...สองสัปดาห์...เร็วเกินไปหรือไม่...ได้ยินแล้วรู้สึกกลวงๆ บอกไม่ถูก เงยหน้าขึ้นสบตารุ่งรตีผ่านกระจกมองหลัง พบว่าหล่อนกำลังมองมาเช่นกัน 

ดวงตาสองคู่สบกัน เกิดความรู้สึกหนึ่ง...อ้อยอิ่ง...อาลัย...ไยดีไม่อยากจากพราก...

ตอนนี้เชนสัมผัสถึงบางสิ่งที่แอบงอกงามในใจโดยไม่รู้ตัว...

รุ่งรตีก็เพิ่งเข้าใจตนกระจ่าง...เหตุผลที่แท้จริงที่ไม่อยากไปอเมริกาก็คือผู้ชายคนนี้...

ระหว่างรู้จัก ใกล้ชิด ไม่เคยมองเห็นความรู้สึกเช่นนี้เลย จนกระทั่งต้องจากกันแน่ สายใยบางเบาที่มองไม่เห็น จึงกระตุกรั้ง...ทำให้รู้ใจตนเอง

 

 

 

 

บทที่ ๓๐

 

 

ที่นี่เป็นที่แห่งไหนกัน ทำไมช่างอึมครึม วังเวง อ้างว้างจนน่ากลัวเช่นนี้

รอบกายสุขศจีมีแค่แสงสลัวสีเทาซีด ผืนดินสีเทา ท้องฟ้าสีเทา มองไกลสุดสายตาเห็นโลกเป็นสีเทากลืนกันไปหมด หล่อนยืนเคว้งคว้างเดียวดายท่ามกลางโลกร้างไร้สรรพชีวิต หนาวเย็นยะเยือกเสมือนถูกความตายห้อมล้อม

รอบกายมีแท่งหินสีเทาตั้งเรียงเป็นระเบียบ ลองเดินเข้าไปใกล้ มองดูมันอย่างสนใจแกมหวั่นประหลาด พอเห็นต้องสะดุ้งเฮือก ใจหาย

แท่งหินเหล่านั้นเป็นป้ายหลุมศพ...ป้ายหลุมศพสีเทาเรียงรายเต็มไปหมด 

...ที่นี่คือสุสาน...

ป้ายหลุมศพมีชื่อที่หล่อนคุ้นเคยทั้งนั้น...พวงทอง...สีดา...ราม...ลักษณ์...สมุทร...กระทั่งถึงชื่อของหล่อน...สุขศจี...และถัดมา...หลิง 

มองไกลสุดสายตา แท่งหินป้ายหลุมศพมองเห็นเหลือคณานับ...เสียงหนึ่งผุดขึ้นในหัว 

...ทุกคนต้องตาย...ไม่มีใครหนีพ้น...นี่คือความหมายอันแท้จริง รุ่งรตีกับเชนเคยฝันเห็นเช่นนี้แต่เข้าใจมันผิดพลาด

...ถึงที่สุดแล้วทุกคนต้องตาย เหตุไฉนมาเบียดเบียนกัน...โรคภัยไข้เจ็บ และมรณกรรม ยังเบียดเบียนผู้คนไม่พออีกหรือ?

เสียงแกร้ก แกร้กอันคุ้นเคยแว่วเข้าหู สุขศจีหันขวับ ตกตะลึงชาวาบหัวจดเท้า 

คุณนายพวงทอง...มารดาที่เสียชีวิตกำลังนั่งบนรถเข็นมองหล่อนน้ำตาไหลพราก

“แม่...” สุขศจีหลุดปากแปร่งแปลก หัวใจถูกบีบไม่มีสาเหตุ

คุณนายพวงทองกับรถเข็นคันเดิม ไม่เลื่อนเข้าใกล้ ไม่หนีห่างไกล ใบหน้านองน้ำตาเช่นนั้นเป็นภาพที่สุขศจีไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต

แม่เป็นคนเข้มแข็ง หญิงเหล็ก กล้าได้กล้าเสีย ไม่เคยเสียน้ำตาให้ใครเห็น ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ใครรู้ คราวนี้นอกจากใบหน้าเปื้อนน้ำตา สุขศจียังสัมผัสความเศร้า ความทุกข์ เสียใจที่แผ่จากใจแม่กระทบถึงใจเธอ

ทำไมแม่เศร้าขนาดนี้ ทำไมแม่ทุกข์ทรมานขนาดนี้ หล่อนอยากเอ่ยปากถาม...ทั้งหมดที่ทำได้คือยืนนิ่ง มองดูแม่พร่าเลือนทีละน้อย เสียงของแม่แว่วกระทบ เหมือนพยายามอย่างที่สุด ที่จะตะโกนร้องบอกต่อลูกสาวคนเล็ก

“กลับมา...จี...กลับมา...” เสียร้องเรียกดังวูบเดียวก็ดับหายฉับพลัน การติดต่อถูกตัดด้วยอำนาจที่สูงกว่า

 

 

สุขศจีลืมตาตื่นหัวใจวิบโหวง กลวงเปล่าราวกับไม่มีสติ ไม่มีความรู้ตัวหลงเหลือ ครู่หนึ่งค่อยขยับตัวลุกขึ้นนั่งแบบคนไม่มีวิญญาณ

ชายที่นอนเคียงข้างพลิกตัวลืมตามองครึ่งๆ...หลิงรู้สึกตัวไวเสมอ แม้กระทั่งยามหลับเช่นนี้ พอเห็นเป็นหล่อนจึงถามเบาๆ

“จะไปไหน”

“เอ่อ...จะไปเข้าห้องน้ำ” สุขศจีตอบ

เขาพยักหน้า หลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้สุขศจีค่อยเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ลมหายใจผ่อนแผ่วเบา ความทรงจำทบทวน หล่อนเพิ่งฝันถึงสุสานกว้างใหญ่ เห็นแม่นั่งอยู่บนรถเข็น มองมาด้วยน้ำตานองหน้า

แม่ร้องไห้ทำไม...หรือว่าเศร้าเสียใจกับการกระทำของเธอ

สุขศจีลุกจากเตียง หยุดยืนริมหน้าต่างมองความมืดเบื้องนอก บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ตลาด บริษัทเดินรถ อู่ต่อรถทัวร์ทั้งหมดอยู่ในกำมือหล่อนแล้ว

หลังจากลักษณ์เซ็นใบมอบอำนาจ สมุทรก็เกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล จากนั้นพี่ชายคนนี้ก็ไม่คัดค้านการครองอำนาจของหล่อนอีก สุขศจีมีอำนาจเต็มในการบริหาร เบิกจ่ายเงินบัญชีกงสีทุกอย่างราบรื่น เรียบร้อย

...ราบรื่น...จริงหรือ? 

ไม่ใช่หรอก กว่าจะเดินทางถึงจุดนี้ ต้องทุ่มเท ลงทุนลงแรงไม่ใช่น้อย สุขศจีไม่อาจทำสำเร็จเลย หากไม่มีหลิงหนุนหลัง

การได้พบหลิงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นจุดหักเหจากชีวิตลูกเศรษฐีธรรมดากลายมาเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด

สุขศจีรู้ว่าแม่ไม่ยอมให้หล่อนแต่งงานกับหลิงแน่ จึงเฝ้ารอคอยเวลา โอกาส คุณนายพวงทองไม่ใช่คนอายุยืน เจ็บออดๆ แอดๆ จนเจ็ดสิบเศษก็ตาย ช่วงระยะเวลานั้น หลิงกำลังไต่เต้าสร้างผลงานในแก๊ง โดยมีสุขศจีสนับสนุนเงินทุนลับๆ

หลังคุณนายพวงทองตาย หลิงก็พร้อมช่วยเหลือคนรักให้ยึดครองสมบัติ โดยแสดงศักยภาพด้วยการแหย่หนวดเสืออย่างราม แอบเปลี่ยนยางรถสมุทร แกล้งปากระจกรถสีดาโดยไม่ทิ้งร่องรอยให้จับได้

แผนการเกือบจะเริ่มแล้ว ถ้าพิทักษ์ เนื้อนวลไม่ชิงฆ่าสีดาเสียก่อน หลิงกับสุขศจีจึงนิ่งติดตามดูเชิง ปล่อยสถานการณ์เป็นไปตามธรรมชาติของมัน จนกระทั่งรามสั่งบุญส่งข่มขู่สองผัวเมียให้เซ็นใบยินยอมแล้วปล่อยทั้งคู่เป็นอิสระ

หลิงเห็นว่ามันอันตรายเกินไป ทั้งสองอาจวกมาแว้งกัดได้ ควร “เก็บกวาด” ให้เรียบร้อย สุขศจีไม่คัดค้าน

การเก็บกวาดครั้งนี้ นอกจากจะปิดปากคนมาแย่งมรดกแล้ว ยังทำให้ราม...ทายาทอันดับหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาป สั่นคลอนบัลลังก์ทายาท แต่รามก็พ้นมลทินจนได้

รามอาจไม่ตายเร็วขนาดนี้ ถ้าเขาไม่คิดยึดอำนาจตระกูล ยอมคืนเงินให้สุขศจี

สถานการณ์ตอนนั้น หลิงเพิ่งก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊ง จำเป็นต้องใช้เงินปรับปรุง รักษาความบอบช้ำจากสงครามภายใน อีกทั้งยังต้องใช้ซื้อใจคนเก่าให้จงรักภักดี

สุขศจีให้เงินเขาไม่ได้ โดนพี่ชายยึดมรดก...ทางเดียวที่แก้ไขคือ...กำจัดขวากหนาม

แรกๆ สุขศจียังลังเลใจมาก อย่างไรเสียก็เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต เหตุผลของหลิงทำให้หล่อนนิ่ง ยอมรับ รามตายเพียงคนเดียว อุปสรรคการยึดอำนาจตระกูลก็หมด กระบวนพี่ชายทั้งสามไม่มีใครมีอำนาจ บารมี ลูกน้องเท่ากับราม ถ้ารามยังอยู่ การก้าวมาเมืองไทยของหลิงต้องประสบปัญหา

ทั้งสองคาดการณ์ถูก รามตายคนเดียว อุปสรรคการยึดอำนาจตระกูลก็หมด เหลือปัญหาเล็กน้อยก็ “เคลียร์” ไม่ยาก

ลักษณ์ พี่ชายคนรองมีสมองแต่ขาดกำลัง ยอมถอยตามสถานการณ์ สมุทรมีแต่แรงดันทุรังไม่มีทั้งสมอง ไม่มีทั้งกำลัง โดนสั่งสอนครั้งเดียวก็เงียบ...ปิดปากสนิท

ถึงตอนนี้จะบอกว่าสุขศจียึดอำนาจสมบูรณ์แล้วก็ไม่ผิด ลักษณ์วางมือจากงานทั้งหมด ย้ายไปอยู่คอนโดฯ ที่กรุงเทพฯกับลูกสาว เตรียมตัวไปอเมริกา สมุทรนอนเข้าเฝือกอยู่กรุงเทพฯ ไม่โทรถามไถ่เรื่องงาน ไม่สนใจถามถึงมรดกสมบัติใดๆ

อีกวันสองวันลักษณ์จะไปอเมริกา สมุทรหมดพิษสง สุขศจีก็จะเป็นใหญ่...นี่คือเรื่องน่ายินดี...แต่ทำไมจิตใจหล่อนหดหู่นัก 

เหลือบตามองผู้ชายบนเตียง หล่อนฝันจะได้เคียงคู่กับเขาอย่างเปิดเผย มีความสุขบนกองทรัพย์สิน ตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว ยังมีอะไรคาใจอยู่...

...ไม่รู้...สุขศจีตอบไม่ถูก หล่อนน่าจะมีความสุข บนจุดหมายสูงสุดที่ตัวเองหวัง ทำไมถึงเคว้งคว้างขนาดนี้ ทั้งที่มีชายในดวงใจอยู่เคียงข้าง

...หรือว่า...มันเป็นเส้นทางสกปรก...ถนนที่มาถึงมันเต็มไปด้วยเลือด...

สุขศจีหนาวยะเยียบ ภาพน้ำตาแม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด พรั่นพรึง เหมือนยืนอยู่บนความว่างเปล่า ไม่มีที่ให้หยัดกาย ความมืดเป็นกำแพงหนาโอบล้อมตลอดเวลา แม้ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างก็ตาม

อะไรกัน...นี่น่ะหรือความสุข สมหวังที่ตะกายใฝ่ฝันหา 

 

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


 




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP